เครื่องมือ AI ที่น่าใช้ และเทคนิคช่วยเพิ่มความ Productive ของงาน
พอเห็นว่าคำว่า AI ทุกท่านคงจะคุ้นชินกันอยู่แล้ว เพราะช่วงนี้กระแส AI ค่อนข้างมาแรง คนเริ่มรู้จักและหันมาใช้มากขึ้น แต่ต้องยอมรับเลยว่า คนที่ใช้งาน AI แล้วยังใช้งานอยู่ประจำมีค่อนข้างน้อย ส่วนนึงผู้เขียนมองว่าเป็นเพราะ เราไม่รู้ว่าจะให้ AI ช่วยทำอะไรในงานของเรา ดังนั้นผู้เขียนเลยจะมา แนะนำ เครื่องมือ AI ที่น่าใช้ เพิ่มช่วยให้เรามี Productivity มากขึ้นค่ะ
ต้องบอกก่อนเลยว่าเดิมทีผู้เขียนก็เป็นคนนึงที่รู้จักและใช้เครื่องมือ AI อยู่บ้าง แต่พอผู้เขียนได้รับความรู้และคำแนะนำจาก คุณโชติ Chogo Visavayodhin เลยรู้ว่า จริง ๆ แล้ว AI ยังมีอีกหลายประสิทธิภาพให้เราดึงออกมาใช้ และยังมี เครื่องมือ AI ที่น่าใช้ อีกหลายตัวด้วย
โดยเครื่องมือที่ผู้เขียนมาแนะนำนั้น เป็นเครื่องมือที่ผู้เขียนได้ลองใช้ และรู้สึกว่าสามารถช่วยให้งานมีประสิทธิภาพขึ้นได้ แต่อาจไม่ได้มีทุกตัวตามที่ทุกท่านรู้จักกัน เพราะในบางตัวผู้เขียนเองก็ยังไม่ได้ลองใช้ หรือ เครื่องมือตัวนั้นอาจยังไม่ช่วยในงานของผู้เขียนพอสมควร จึงไม่ได้นำมาเล่าให้ฟังค่ะ
1. ChatGPT
เครื่องมือตัวนี้เรารู้จักกันดีอยู่แล้ว เพราะค่อนข้างได้ยินบ่อย และมีการใช้งานอย่างแพร่หลายกว่าตัวอื่น ๆ โดยคุณสมบัติหลักของ ChatGPT คือผู้ช่วยในการทำงานของเรา แต่ผู้เขียนอยากบอกว่าการจะใช้ ChatGPT ให้มีประสิทธิภาพสูงสุดนั้น เราควรกำหรด Role หรือ บทบาทให้กับมันก่อนเริ่มใช้งานค่ะ
อย่างถ้าเราเป็นนักการตลาด หรือ ผู้บริหาร สิ่งที่เราต้องการจาก ChatGPT เวลาที่เราถามคำถามก็คือ คำตอบเชิงวิชาการที่มีหลักการตลาด หลักบริหาร และคำแนะนำในสายงานของเราถูกต้องมั้ยคะ
เพราะถ้าเรากำหนดบทบาทแล้วคำตอบที่ได้มาก็จะแตกต่างกันไปด้วยค่ะ ดังนั้นก่อนที่เราจะเริ่มใช้งาน ChatGPT ทุกครั้ง เราควร บอกมันว่า เราคือใคร หรือ เราต้องการให้มันทำอะไรนั่นเองค่ะ
ซึ่งการกำหนดบทบาทเราสามารถบอกมันทุกครั้งก่อนเริ่มทำงาน หรือ หากงานที่เราใช้ตัว ChatGPT มันความเหมือนเดิม ไม่ได้ต้องการเปลี่ยนบ่อยเราก็สามารถเลือก Cutomize ChatGPT เพื่อ Default ค่านั้นไว้ค่ะ
และอีกหนึ่งเทคนิคที่เราควรนำไปใช้กับเจ้าตัว ChatGPT คือ การให้มันตอบในสิ่งที่มันรู้และเข้าใจเท่านั้น เพราะว่าเราต้องเข้าใจก่อนว่า ChatGPT มันจะพยายามหาคำตอบจากฐานข้อมูลที่มีเพื่อมาตอบคำถามของเรา ซึ่งบางครั้งมันอาจไม่ได้รู้ในสิ่งที่เราถามแต่มันก็จะพยายามตอบ ซึ่งจะทำให้คำตอบผิดไปจากที่ควรจะเป็นค่ะ
แต่เมื่อเราใส่บอกเจ้าตัว ChatGPT ก่อนว่าให้มันตอบเท่าที่รู้มันก็ตอบตามที่เราตั้งค่าไว้ค่ะ ซึ่งการตั้งค่าแบบนี้อาจไม่เหมาะสำหรับงานที่ใช้ไอเดียเท่าไหร่ เพราะว่ามันก็ไม่ตอบอะไรเรามาเลย และเราจะไม่มีไอเดียเพื่อมาต่อยอดค่ะ
นอกจากนั้นยังมีตัว CRAFT framework ที่ทางคุณโชติ แนะนำให้เราใช้งานเวลาที่เราจะใช้เจ้า ChatGPT นี้ด้วยค่ะ
แต่อย่างที่บอกทุกคำตอบที่ได้มาเราต้องตรวจสอบความถูกต้องอีกรอบด้วยนะคะ ไม่ใช่เชื่อทุกอย่างที่มันบอกค่ะ
2. Claude
Claude นั้นมีความคล้ายกับ ChatGPT แต่ข้อดีของเจ้า Claude คือ เข้าใจและเขียนภาษาไทยออกมาได้ลื่นไหลมากกว่า อย่างที่เราทราบ ถ้าเราจะใช้ ChatGPT ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด คือต้องใช้เป็นภาษาอังกฤษ แต่เจ้า Claude นั้น เราสามารถใช้ภาษาไทยได้เลยค่ะ ที่สำคัญคำตอบที่ออกมาเป็นภาษาไทยที่อ่านแล้วไม่ติดขัด เป็นธรรมชาติ สละสลวยใช้ได้เลยทีเดียวค่ะ
ซึ่งสามารถบอก Claude ได้เลยว่าต้องการให้อธิบายหรือคำพูดในรูปแบบไหน ทั้งเป็นกันเอง ทางการ เชิงวิชาการ และที่สำคัญเราจะเห็นได้ว่า Claude มีการใช้ภาษาอังกฤษลงไปในคำควรเป็นภาษาอังฤษ เหมือนเวลาเราเขียน หรือ พิมพ์เอง ก็จะมีบางคำที่เรารู้สึกว่าคำนี้มันควรเป็นภาษาอังกฤษมากกว่าจะพิมพ์ทับศัพท์เป็นภาษาไทย หรือ แปลออกมาค่ะ
และทั้งหมดนี้คือความฉลาดของเจ้า Claue นั่นเองค่ะ ซึ่งจะเหมาะกับการที่เป็นการเขียน เช่น การเขียนบทความ เขียนอธิบายต่าง ๆ ที่เราต้องการเป็นภาษาไทย ซึ่งเจ้าตัวนี้จะสามารถใช้งานได้ดีเลยค่ะ
3. Copilot
Copilot จะแตกต่างจากอีกสองตัวที่กล่าวว่า เพราะ Copilot จะตอบคำถามของเราโดยดึงข้อมูลมาจาก Internet พร้อมกับอ้างอิงเพื่อให้เราสามารถไปอ่านเพิ่มเติมได้
ซึ่งจะเหมาะสำหรับคนที่ต้องการใช้อ้างอิงในการเขียน และยังสามารถ Recheck ความถูกต้องของเนื้อหาได้อีกครั้งด้วย แต่การใช้ภาษาไทยอาจไม่เท่า Claue และความฉลาดในแง่ภาษาอังกฤษอาจยังไม่ตอบโจทย์ ChatGPT ค่ะ
แต่อย่างที่บอกไป ไม่ว่าเราจะใช้ เครื่องมือ AI ที่แนะนำ ตัวไหน เราก็ควรตรวจสอบข้อเท็จจริงที่มันนำมาตอบก่อน ซึ่งเจ้า Copilot ก็จะ Recheck ง่าย เพราะมีแหล่งที่มาให้เราสามารถกดกลับไปอ่านได้เลยค่ะ
4. Perplexity
ต่อมาตัว Perplexity จะมีลักษณะที่คล้ายกับ Copilot แต่มีรายละเอียดบางอย่างที่แตกต่างกัน คือมีการอ้างอิงว่าคำตอบที่ได้มาจากไหน รวมทั้งแสดงวิธีการว่าไป Search มายังไงจากคำถามที่เราให้ไปค่ะ
แต่ในส่วนของการถามคำถามในภาษาไทยก็ยังมีบางจุดที่ยังไม่ดีอยู่บ้าง เช่น การถามบางอย่างเรื่องอาจจะไม่ได้คำตอบในแบบที่เราอยากได้ค่ะ
แต่ข้อเสียของเจ้าตัวนี้คือ เราสามารถ Search ข้อมูลแบบโปร หรือที่แสดงดังตัวอย่างได้เพียง 5 คำถามต่อวัน ส่วนถ้าเราจะใช้มากกว่านี้ก็ต้องสมัครใช้งานเพิ่มเติมค่ะ ซึ่งจะอยู่ที่ $20 ต่อเดือนนั้นเองค่ะ
เจ้าตัวนี้เหมาะกับสำหรับสายสร้างภาพ หรือ งานที่ต้องใช้รูปภาพ ไอเดียต่าง ๆ เพราะเป็น AI ที่มาจากทาง Adobe ซึ่ง Adobe Firefly มีเครื่องมือหลากหลาย ทั้ง Text to image ที่ใช้ Generate รูปภาพจากคำที่เราป้อนเข้าไป และ Generative fill ที่เปลี่ยนวัตถุเฉพาะส่วน และเครื่องมืออื่น ๆ อีกมากมาย รวมทั้งเครื่องมือที่จะมีมาเพิ่มในอนาคตค่ะ
อย่างตัว Text to image ที่ใช้ Generate รูปภาพ ซึ่งภาพที่ออกมาก็ค่อนข้างสมจริงทีเดียว และยังมีช่วยแนะนำ Prompt อีกด้วย แต่ Prompt ที่แนะนำจะเป็นภาษาอังกฤษนะคะ
และนี่คือ เครื่องมือ AI ที่น่าใช้ และเทคนิคที่จะช่วยเพิ่มความ Productive ของงานที่ผู้เขียนนำมาฝากค่ะ ซึ่งการใช้ AI ในการทำงานควรเป็นตัวช่วยในการทำงานเพื่อให้งานของเราไว และ มีประสิทธิภาพมากขึ้นนะคะ
เรายังไม่ควรนำ AI มาใช้เป็นหลักในการทำงาน เพราะตัวมันเองก็มีข้อผิดพลาดอยู่บ้าง ซึ่งเราที่เป็นมนุษย์สามารถ คิด วิเคราะห์ แยกแยะก็ต้องตรวจทานอีกรอบเช่นกันค่ะ
หวังว่าทุกท่าจะชอบเครื่องมือ AI ที่ผู้เขียนนำมาฝากในบทความนี้นะคะ สำหรับนักอ่านที่ชอบ และ อยากอ่านบทความเกี่ยวกับการตลาดเพิ่มเติม รวมถึงข่าวสารด้านการตลาดต่าง ๆ สามารถติดตามได้จาก เพจการตลาดวันละตอน รวมไปถึงเว็บไซต์ Twitter Instagram YouTube และ Blockdit ของการตลาดวันละตอนได้เลยนะคะ แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้าค่ะヽ(•‿•)ノ
บทความเพิ่มเติมที่แนะนำให้อ่านต่อ
Adobe เผย Generative AI Insight แบรนด์ไทยต้องใส่ใจอะไรบ้าง?
CRAFT Prompts Framework ดึงศักยภาพการใช้ ChatGPT อย่างมืออาชีพ