10 Marketing Trends 2024 สรุปเทรนด์การตลาดไทย โดยการตลาดวันละตอน

10 Marketing Trends 2024 สรุปเทรนด์การตลาดไทย โดยการตลาดวันละตอน

ถ้าพูดถึงเทรนด์การตลาดปีหน้า หรือ Marketing Trends 2024 เชื่อว่าหลายคนคงสงสัยและอยากรู้ว่าทิศทางการตลาดไทยจะเป็นอย่างไร แต่จากหลายรายงานก็พบว่าส่วนใหญ่นั้นอ้างอิงจากต่างประเทศเป็นหลัก ส่วนตัวผมที่ผ่านมาก็จะอ้างอิงจากต่างประเทศเหมือนกัน แต่ปีนี้ขอเป็นปีแรกที่อ้างอิงจากประสบการณ์ส่วนตัว ที่เป็น Data-Driven Marketing Advisor หรือที่ปรึกษาด้านการตลาดและการใช้ดาต้าให้กับบริษัททั้งขนาดเล็ก กลาง และใหญ่อยู่บ้าง บวกกับประสบการณ์ที่ได้ไปสอน บรรยาย พูดคุยกับผู้ประกอบการไทยและผู้บริหารบริษัทต่าง ๆ ทั้งปีที่ผ่านมา มาสรุปรวบรวมเป็น 10 Marketing Trends 2024 เทรนด์การตลาดไทย 2567 ว่าน่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง จากสิ่งที่เริ่มขึ้นแล้วในปีนี้ครับ

  1. Data Driven Marketing กลายเป็นเบสิคพื้นฐาน ที่ไม่ว่าจะ SME หรือ Enterprise ก็ล้วนใช้เรียบร้อยแล้ว
  2. CRM 2.0 หรือ Customer Relationship Marketing
  3. Personalized Marketing ในระดับ Segmentation
  4. Data Thinking ทักษะการตั้งคำถามจากดาต้าที่มีให้เป็น
  5. Creativity Driven Data ไม่ใช่แค่การตลาดแบบฉลาดใช้ดาต้า นักการตลาดวันนี้ต้องรู้จักเก็บดาต้าให้เป็น
  6. Data Monetization สร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่จากดาต้าที่มี
  7. Social Listening is New Normal เมื่อเครื่องมือตัวนี้ราคาถูกเหลือหลักพัน แล้วจะมีใครไม่ใช้อีก
  8. Generative AI เครื่องมือของคนทำงานยุคใหม่ ตั้งแต่ ChatGPT ไปจนถึง Dall E
  9. Affiliate Marketing เทรนด์การตลาดป้ายยา แค่แปะลิงก์ก็พร้อมทำเงิน
  10. Gen Z Marketing การตลาดเพื่อเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่ไม่เหมือนคนรุ่นไหนที่เคยมีมา

ถ้าพร้อมจะทำความรู้จักเทรนด์การตลาดไทยทั้ง 10 ที่เกริ่นหัวข้อมาแล้ว ลองมาดูกันนะครับว่าแต่ละเทรนด์นั้นมีบริบทอย่างไร

1. Data Driven Marketing กลายเป็น Basic ที่ทุกแบรนด์ทำแล้ว

ถ้าย้อนกลับไปแค่สองสามปีก่อน เมื่อพูดถึงเรื่อง ​Data-Driven Marketing ทีแรกจะกลายเป็นที่หวือหวา สมัยผมออกหนังสือ Data-Driven Marketing ปีแรก ๆ ยังพบว่าเมื่อถามเหล่าผู้ประกอบการ ผู้บริหาร หรือเจ้าของธุรกิจนั้นพบว่ามีน้อยคนมากที่ยกมือบอกว่าบริษัทตัวเองใช้ Data บ้างแล้ว

แต่ล่าสุดในปี 2023 เมื่อผมได้มีโอกาสไปตระเวนสอนเรื่อง Marketing Trends 2024 ให้กับเหล่าผู้ประกอบการ เจ้าของธุรกิจ และผู้บริหารมากมายทั้งประเทศไทย เมื่อถามคำถามเดิมว่า “มีบริษัทใครเริ่มต้นใช้ Data แล้วบ้างครับ ?”

จากที่เคยยกกันแค่ 2-3 เมื่อสองปีก่อน มาปีนี้ยกกันอย่างน้อยก็ 7-8 ส่วนที่เหลือผมว่าอาจไม่กล้ายก เพราะยังไม่มั่นใจว่าตัวเองใช้ดาต้าดีพอจะยกแล้วหรือยัง

เมื่อถามลงไปในรายละเอียดพบว่าแต่ละแบรนด์ก็เริ่มมีการใช้ Data-Driven Marketing ในแบบของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งกลุ่มลูกค้า วิเคราะห์ความสามารถในการขาย ประเมินสต็อกสินค้า ประเมินโปรโมชั่น สรุปภาพรวมได้ว่าทุกแบรนด์ต่างใช้ดาต้ากันหมดแล้ว เพียงแต่จะใช้ได้ดี ใช้ได้ลึกมากน้อยแค่ไหนนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

การทำ Dashboard หรือ Data Visualization กลายเป็นเรื่องปกติ บางแบรนด์ SME ยอดขายหลักร้อยล้านที่ผมเจอคือใช้วิเคราะห์ลงลึกถึงขั้นเจอ Insight ใหม่ว่าในสินค้ากลุ่มวัสดุสร้างและตกแต่งบ้านนั้น ถ้าเจอหมู่บ้านไหนมีลูกค้าที่เคยซื้อไปแล้วประทับใจ จากนั้นไม่นานคนทั้งหมู่บ้านจะแห่กันมาซื้อที่สาขาเรา

เมื่อรู้แบบนี้ก็นำไปสู่การปรับ Marketing Strategy และ KPI ใหม่ให้กับทีมงานว่า ถ้ามีลูกค้าใหม่คนไหนมาจากหมู่บ้านหรือพื้นที่ ๆ ไม่เคยมีลูกค้าเราอยู่ใกล้ ๆ มาก่อน จะได้รับการดูแลเป็นพิเศษ เพราะเขาคือ Key Influencer ธรรมชาติที่พร้อมจะป้ายยาอวดบ้านใหม่คนทั้งหมู่บ้านว่าร้านวัสดุก่อสร้างเรานั้นดีอย่างไร

แต่ปัญหาที่น่าสนใจกลับกลายเป็นแบรนด์ยิ่งใหญ่ยิ่งใช้ได้ช้า นั่นเป็นเพราะโครงสร้างองค์กรที่มีความซับซ้อน เน้นความปลอดภัยมากกว่าลองอะไรใหม่ ๆ ยิ่งเป็นเรื่อง Data ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเพราะยากที่ทีมการตลาดจะขอเข้าถึง Data ได้ ทำให้เคลื่อนตัวได้ช้ากว่าธุรกิจขนาดเล็ก หรือกลาง อย่าง SME มาก

ในฐานะที่ปรึกษาอย่างผมก็ได้แต่พยายามบอกว่าถ้าเราไม่ให้คนที่ต้องใช้ดาต้าได้เข้าถึงดาต้า แล้วเขาจะเอาดาต้าที่ไหนใช้ ลำพังแค่ Media Data จากการยิงแอดโฆษณานั้นไม่เพียงพอที่จะเอามาวิเคราะห์วางแผนกลยุทธ์ เพราะดาต้าที่ดีที่สุดคือ Customer Data บวกกับ Transaction Data

ยิ่งแบรนด์ที่มีการขายออนไลน์แล้วยิ่งดี แม้สัดส่วนการขายจากออนไลน์อาจจะอยู่ที่ 10-30% เท่านั้น อย่างน้อยก็ไม่ 0 ไม่เหมือนกับการฝากคนอื่นขายทางร้านค้าออนไลน์ที่เราแทบจะไม่ได้ดาต้ากลับมาเลย สรุปคงพอเห็นภาพแล้วนะครับว่าเทรนด์การตลาดแบบฉลาดใช้ดาต้า หรือ Data-Driven Marketing กับประเทศไทยนั้นเริ่มต้นไปเรียบร้อยตั้งแต่ปีนี้แล้ว

และส่วนตัวผมก็เชื่อว่าเทรนด์การใช้ Data-Driven Marketing จะลึกมากขึ้นในปี 2024 ซึ่งจะสอดคล้องกับเทรนด์การตลาดที่สองของไทยที่กำลังจะเล่าถึงในอันดับถัดไปครับ

2. CRM 2.0 หรือ Customer Relationship Marketing การตลาดแบบต่อยอดจากความสัมพันธ์

CRM ย่อมาจากคำว่า Customer Relationship Management หรือการบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า แต่กลายเป็นว่า CRM ถูกจำในภาพของบัตรสมาชิกสะสมแต้ม หรือ Loyalty Program เท่านั้น ดังนั้นเทรนด์การตลาดในปีหน้าข้อ 2 จะเป็นการทำ CRM จาก Customer Data ที่จริงจังขึ้น หรือที่ผมเรียกว่าเป็น CRM 2.0

และ CRM 2.0 สำหรับผมก็ย่อมาจาก Customer Relationship Marketing หรือกการตลาดแบบต่อยอดจากความสัมพันธ์กับลูกค้า ทำให้ลูกค้าอยู่กับเรานาน ๆ และอยากใช้เงินกับเราเยอะ ๆ

บวกกับลูกค้าหลายบริษัทที่ผมเป็นที่ปรึกษาอยู่ก็เริ่มหันมาทำ CDP หรือ Customer Data Platform กันอย่างจริงจัง ตัวผมเองก็เลยต้องศึกษาเรื่องนี้ค่อนข้างเยอะในปีที่ผ่านมา จนสุดท้ายได้ค้นพบ Pattern การทำ CDP ให้เต็มประสิทธิภาพ ผ่าน CRM Canvas ที่เคยเปิดเผยครั้งแรกในงาน DSME 2022 ครับ

CRM Strategy Canvas การตลาดแบบรู้ใจจาก Customer Journey

เพราะการตลาดแบบ CRM คือการต้องวิเคราะห์​ Customer Data จนเข้าใจก่อนว่าตอนนี้ลูกค้าคนนั้นกำลังมีความสัมพันธ์กับเราอย่างไร เขาเป็นลูกค้าเราหรือยัง ถ้ายังเขารู้จักหรือสนใจอะไรในเรามากขนาดไหน ? หรือถ้าเขาเป็นลูกค้าแล้วก็ต้องมาดูต่อว่าเป็นลูกค้ามานานหรือยัง บวกกับเป็นลูกค้าเราอย่างไร มีสินค้าสิบชนิดซื้อแค่หนึ่ง อันนี้ยังไม่มากเท่ากับลูกค้าที่ซื้อเรา 7 ใน 10 เป็นต้น

หรือกับกลุ่มลูกค้าที่กำลังจะเลิกเป็นลูกค้าเราในเร็ว ๆ นี้ อาจเนื่องจากหยุดซื้อเรามาจะครบปี อะไรแบบนี้เป็นต้น

ทั้งนี้ CRM Canvas นี้ผมคิดมาให้ลูกค้าผมเอาไว้ใช้ทุกงานร่วมกันระหว่างทีมการตลาด ทีมขาย และทีม Data ไปจนถึงทีม MarTech เพราะก่อนที่จะเริ่มต้น Config เครื่องมือประเภท Marketing Automation หรือ Journey Builder พวกนี้ได้เห็นภาพรวมที่ตรงกัน ไม่อย่างนั้นก็จะกลายเป็นเสียเวลาไปจนถึงเสียเงินค่าเครื่องมือรายเดือนแพง ๆ ไปเสียเปล่า

Marketing-Sable-thailand

และอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญของการทำ CRM 2.0 ที่จะเริ่งทวีคูณในปีหน้าคือเครื่องมือ CDP โดยบริษัท Startup ไทยนั้นเกิดขึ้นมากมายหลายเจ้า และแต่ละเจ้าก็มีราคาเริ่มต้นที่ไม่แพง ไม่ต้องจ่ายหลักแสนแบบก่อน ในวันนี้ดีไม่ดีหลักพันหรือหมื่นนิด ๆ ก็สามารถใช้ CDP ได้แล้ว

เราจะเริ่มเห็นธุรกิจขนาด SME ที่มียอดขายหลักสิบไปจนถึงร้อยล้านหันมาใช้ CDP กันเยอะขึ้น ส่วนบริษัทระดับ Enterprise นั้นไม่ต้องห่วง พวกเขามีใช้มานานแล้ว แต่จะใช้เต็มประสิทธิภาพกับเงินที่จ่ายไปแค่ไหน อันนี้ขอไม่พูดถึง

และประเด็นสำคัญที่อยากทิ้งท้ายไว้สำหรับเทรนด์การตลาด CRM 2.0 ในปี 2024 ก็คือเมื่อมีเครื่องมือใหม่เข้ามา ก็ต้องมีความรับผิดชอบใหม่เข้ามาด้วย นั่นก็คือทีมการตลาดที่จะทำเรื่องนี้ได้ดีจำเป็นต้องมีคนทำหน้าที่ Config Marketing Automation อย่างจริงจัง ไม่อย่างนั้นก็เหมือนกับคุณซื้อรถดี ๆ มาแต่ไม่มีคนขับ เพราะคนนึงก็ปัดกวาดถูกบ้านทั้งวัน ส่วนอีกคนก็รดน้ำต้นไม้ทำสวนทั้งวัน คุณจึงจำเป็นต้องมีคนขับรถเพิ่มอีกตำแหน่งครับ

เข้าไปโหลด CRM Canvs มาใช้งานได้ที่ลิงก์นี้ครับ : https://bit.ly/crmcanvas

3. Personalized Marketing การตลาดแบบรู้ใจในระดับ Segmentation

การตลาดแบบรู้ใจ Personalization จาก Segment Journey ที่เพิ่มผู้ใช้งานแอป 178%

การตลาดแบบรู้ใจ หรือ Personalized Marketing จากหนังสือเล่มแรกของผมที่ออกไปเมื่อปลายปี 2019 ในวันนั้นที่ดูเป็นแค่ Conceptual หรือ Inspiration เท่านั้น เพราะยังยากจะทำจริงได้ เนื่องจากแบรนด์ส่วนใหญ่ยังไม่ได้เริ่มต้นเก็บ Data อย่างจริงจัง

แต่พอมาปีนี้ เริ่มเข้าปี 2024 ก็พบว่าจากการที่บริษัทต่าง ๆ เริ่มลงทุนในเครื่องมือ MarTech อย่าง CDP ทำให้การจะทำ Personalization ไม่ใช่เรื่องยากเกินไป เพียงแต่จะทำอย่างไรให้ออกมาดี ต้องทำถึงระดับการตลาดเฉพาะบุคคล 1 ต่อ 1 เท่านั้นหรือเปล่า

อยากบอกว่าไม่ครับ เพราะในความเป็นจริงแล้วแม้ทุกคนจะแตกต่างกัน แต่ก็ยิ่งเรามีจำนวนลูกค้ามากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีคนที่คล้ายกันมากเท่านั้น เช่น กลุ่มคนที่เพิ่งซื้อสินค้าเราไปเมื่อ 10 นาทีที่แล้ว และเป็นลูกค้าใหม่ที่ไม่เคยมีประวัติการซื้อมาก่อน เราจะทำการตลาดกับเขาอย่างไร ?

หรือ กับกลุ่มคนที่เพิ่งทำการซื้อโทรศัพท์มือถือใหม่อย่าง iPhone 15 ไป เราจะทำการตลาดอย่างไรกับเขาต่อ ฟังดูเผิน ๆ ก็เหมือนกับเทรนด์การตลาดข้อ 2 Customer Relationship Marketing แบบต่อยอดจากความสัมพันธ์ ความจริงแล้วใช่เลยครับ แต่ผมเลือกที่จะขีดเส้นเทรนด์นี้ให้ชัด เพราะนั่นหมายความว่ายิ่งเราทำการวิเคราะห์ Customer Data Analytics ลูกค้าได้ละเอียดเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งแบ่งกลุ่ม Customer Segmentation ได้ใกล้เคียงระดับ 1 ต่อ 1 หรือ Personalization ยิ่งขึ้นไป

ดังนั้นใครทำ CRM 2.0 ได้ดีในปีนี้ จะยิ่งเข้าใกล้เป็นแบรนด์ที่รู้ใจลูกค้ามากขึ้นจนคู่แข่งยากจะไล่ตามได้ทัน ลองดูนะครับว่าเราจะรู้ใจลูกค้าให้มากขึ้นได้อย่างไร ลองทำความเข้าใจให้ลึกซึ้งว่ามีแง่มุมใดบ้างที่พวกเขาไม่เหมือนกัน จนเราสามารถทำ Personalized Marketing ในระดับ Segmentation ได้

อ่าน Case Study เรื่อง Personalized Marketing ในระดับ Segmentation

4. Data Thinking ทักษะการตั้งคำถามกับดาต้าให้เป็น

Data Thinking ทักษะในศตวรรษที่ 21 ลูกผสม Design Thinking กับ Data Science

จากหนังสือเล่มที่ 3 ที่เคยเขียนเรื่อง Data Thinking หรือทักษะการตั้งคำถามกับดาต้าให้เป็นในปี 2021 พบว่ายังคงเป็นเรื่องที่ทวีความสำคัญมากย่งขึ้น และจะมากขึ้นไปอีกในปี 2024 เพราะจาก 3 Marketing Trends 2024 ก่อนหน้าเราคงเห็นแล้วว่าการทำงานกับดาต้านั้นเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อีกต่อไป ดังนั้นคนที่สามารถตั้งคำถามกับดาต้าตรงหน้าได้ดีกว่า คมกว่า จะพาธุรกิจไปได้ไกลกว่า หรือสามารถกลายเป็นคนที่โดดเด่นในยุค Data Driven Everything ได้แม้จะไม่ได้เป็น Data Scientist ก็ตาม

เช่น เราเห็นกราฟแบบนี้มันน่าจะพยายามบอกอะไรเราอยู่ เบื้องหลังดาต้าแบบนี้มันหมายถึงอะไร หรือถ้าเราอยากรู้เรื่องนี้เราจะสามารถหาดาต้าได้จากไหน นี่แนวคิดหลัก ๆ ของทักษะ Data Thinking การคิดอย่างเข้าใจดาต้าที่มากกว่าคนอื่นครับ

เวลาผมไปจัดอบรม ไปสอน ไปทำ Workshop ให้กับทีมการตลาด ทีมขาย หรือแม้แต่ทีมผู้บริหารพบว่าเรื่องนี้ยังคงได้รับความสนใจ เพราะดาต้าเดียวกันมองกันสิบคนไม่เคยเจอเห็นตรงกัน 100% ทุกคนเลยสักครั้ง เพราะมันเป็นเรื่องของมุมมอง ความคิด หรือ Critical Thinking

กราฟเดียวกันตีความได้หลายแบบ และจากหลายแบบที่ว่าก็สามารถนำไปสู่กลยุทธ์และวิธีการทำการตลาดที่หลากหลาย จนสุดท้ายย่อมนำมาสู่ผลลัพธ์ทางธุรกิจที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง

ดังนั้นในวันที่เรามีดาต้าอยู่มากมาย ถ้าพนักงานเรามีทักษะนี้ดีกว่าคู่แข่ง ย่อมทำให้บริษัทเราได้เปรียบโดยไม่ต้องสงสัยครับ

อ่านเรื่อง Data Thinking เต็ม ๆ :

5. Creativity Driven Data การตลาดแบบฉลาดขอดาต้า

รีวิวแอป Robinhood แอป Food Delivery จาก SCB10X และเคล็ดลับการทำ Personalization แบบ Short-cut ด้วยการใช้ Zero-Party Data

แน่นอนว่าการตลาดยุคปัจจุบันนี้คือการใช้ Data-Driven Marketing กันแบบเข้มข้นเพื่อไปให้ถึงระดับ Personalized Marketing หรือการตลาดแบบรู้ใจ ดังนั้นหัวใจสำคัญของการตลาดคือดาต้า บวกกับทุกวันนี้ Consumer หรือผู้บริโภคอย่างเรา ๆ กังวลเรื่อง Privacy หรือข้อมูลส่วนบุคคลมาก น้อยคนมากที่จะยอมให้ข้อมูลแบบมั่วซั่ว ดีไม่ดีอ่านแทบทุกบรรทัด เจอบรรทัดไหนเขียนแปลก ๆ ก็พร้อมจะแคปเอาไปแชร์บนโซเชียลจนกลายเป็นไวรัล

ดังนั้นหน้าที่ใหม่ของนักการตลาดยุค Data-Driven Marketing ไม่ได้มีแค่การใช้ดาต้าให้เป็น แต่ยังรวมไปถึงการหาดาต้าให้เป็นด้วย นั่นก็คือเทรนด์ใหม่ที่จะมาแรงในการตลาดบ้านเราที่เรียกว่า Creativity Driven Data หรือการตลาดแบบฉลาดขอดาต้าครับ

จากทักษะ Data Thinking ในข้อ 4 ทำให้เรารู้ว่าปัญหาแบบนี้เราต้องใช้ดาต้าแบบไหนเข้ามาตอบ ถ้าดาต้านั้นมีอยู่ในมือก็ง่ายไป แต่ส่วนใหญ่ไม่ใช่แบบนั้นครับ เราต้องหาทางเก็บดาต้าแบบนั้นเพิ่ม

ตัวอย่างมีให้เห็นในบ้านเราอย่างตอนที่ Robinhood Delivery เปิดตัวครั้งแรก เมื่อผู้ใช้โหลดแอปใช้งานเป็นครั้งแรกก็จะมีให้ตอบคำถามสนุก ๆ ว่าชอบกินอาหารแนวไหน เมนูแบบไหน เพื่อจะได้ Personalization ร้านอาหารที่เราน่าจะชอบขึ้นมาตั้งแต่ครั้งแรกที่ใช้งาน โดยไม่ต้องรอเก็บดาต้าเราจากการใช้งานแบบแอปสมัยก่อนนั่นเอง

ดังนั้นนี่จึงเป็นอีกหนึ่ง Workshop ที่เวลาผมจัดมักได้รับความสนใจจากผู้เรียนและผู้บริหาร ที่สามารถนำไปต่อยอดใช้งานได้จริงเมื่อเรียนจบ ผ่าน Data Collection Canvas ที่ลองอ่านรายละเอียดการใช้งานเพิ่มเติมได้เลยครับ

รู้จัก Data Collection Canvas เครื่องมือช่วยเก็บดาต้าให้นักการตลาดง่ายขึ้น

6. Data Monetization จะสร้าง New S Curve ใหม่จากดาต้าที่มีได้อย่างไร

เปิดตัว The 1 for Business ปักหมุดผู้นำโซลูชั่นเพื่อธุรกิจด้วยแนวคิด ‘Customer First, Data First’ 

เมื่อเรามีดาต้ามากพอสิ่งที่ต้องทำต่อไม่ใช่แต่การใช้เพื่อสร้างยอดขายจากธุรกิจเดิม แต่สร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ด้วยการทำ Data Monetization

การจะทำ Data Monetization ได้ถ้าเราทำการตลาดแบบ Customer Relationship Marketing ได้ดี เก็บ Customer Data ได้ดีก็จะเป็นจริงได้ไม่ยาก เพราะนั่นหมายความว่าเราจะมีข้อมูลลูกค้าที่ละเอียดและครบถ้วนมากพอ บวกกับความเข้าใจที่ดีพอ แล้วยิ่งเสริมกับทักษะ Data Thinking ก้จะสามารถมองออกได้ว่าน่าจะมีธุรกิจแบบไหนบ้างที่น่าจะต้องการดาต้าที่เรามี

ตัวอย่าง The 1 for Business ก็เป็นธุรกิจที่ต่อยอดจากดาต้าที่มี หรือ Data Monetization นั่นเอง เมื่อ The 1 ยกระบบสมาชิก CRM ใหม่จนสามารถ Integrated Data ของลูกค้าได้ดีจนมีประสิทธิภาพ ก็นำมาสู่การสร้างธุรกิจใหม่ที่ให้บริการ Data Insights สำหรับธุรกิจที่สนใจอยากทำการตลาดกับลูกค้า The 1

ครั้งหนึ่งผมเคยให้คำปรึกษาแบรนด์ SME ขายผลิตภัณฑ์สินค้าคุณแม่ลูกอ่อนในไทยแบรนด์หนึ่ง เธอมาไม่รู้ว่าควรทำการตลาดต่อไปอย่างไรดี แบรนด์ก็ทำมาได้ดีเกือบสิบปีจะเป็นอันดับต้น ๆ แต่ก็เหมือนดูจะไม่มีทางไปต่อแล้ว เลยอยากรู้ว่าจะใช้ Customer Data ที่มีทำอะไรได้บ้าง

เบื้องต้นผมแนะนำให้ทำ Customer Segmentation ด้วยหลักการ RFM Model ดูก่อน แล้วก็ทำ CRM จากจุดนั้น จากนั้นก็แนะนำให้หาสินค้าที่โตตามกลุ่มเป้าหมาย จากคุณแม่ลูกอ่อนกลายเป็นคุณแม่ลูกเล็ก และก็เริ่มกลายเป็นคุณแม่เด็กโต

จนเธอบอกว่าเริ่มทำไปบ้างแล้ว ก็แต่ยังไม่สามารถโตได้มากกว่านี้ จนสุดท้ายผมเลยให้มุมมองใหม่ว่าแล้วจาก Customer Data ฐานข้อมูลคุณแม่ลูกอ่อนที่มี ลองคิดดูซิว่าน่าจะมีธุรกิจแบบไหนต้องการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเราบ้าง

รถยนต์ครอบครัวได้หรือไม่ ประกันสำหรับเด็กและครอบครัวได้หรือเปล่า หรืออาจเป็นอะไรก็ได้ที่เธอพอจะนึกออก พอไกด์ไปเท่านั้นเธอบอกขอบคุณมาก รู้แล้วว่าจะทำธุรกิจอย่างไรต่อ

ดังนั้นเทรนด์การตลาดที่ 6 ในปี 2567 เมื่อผ่าน 5 เทรนด์แรกมาที่ทำดาต้าได้ดีจนไม่รู้จะไปต่ออย่างไร ก็จะมาสู่การทำ Data Monetization การหา New S Curve ของธุรกิจจากดาต้าที่มีนั่นเองครับ

7. Social Listening ยกระดับการทำ Market Research ด้วยราคาหลักพันที่ใคร ๆ ก็ใช้เองได้

Data Research Insight ขอนแก่น ส่องการท่องเที่ยว ด้วย Social listening

Social Listening จากเดิมที่เป็นเครื่องมือ MarTech ราคาแพงเข้าถึงยาก การจะใช้ได้ต้องมีเงินหลักหมื่นต่อเดือน ต้องเซ็นสัญญาอย่างน้อยหกเดือน ดีไม่ดีใช้งานเองก็ลำบาก จนทำให้เป็นเครื่องมือทางการตลาดที่ถูกสงวนไว้กับบริษัทขนาดใหญ่ Enterprise ที่มีงบเหลือใช้ปีละหลายแสน ไปจนถึงหลักล้าน

แต่ในปี 2024 นี้จะไม่เป็นอย่างนั้นอีกต่อไป เพราะเครื่องมือ Socail Listening ในไทยมีตั้งแต่หลักพันไปจนถึงเริ่มสมัครใช้งานได้ฟรีด้วยตัวเอง แถมยังมี User Interface ที่ใช้งานง่ายจนสามารถใช้เองได้ จนทำให้นักการตลาดที่สนใจ ไปจนถึงอาจารย์มหาวิทยาลัย หรือนักศึกษาจบใหม่ก็สามารถเรียนรู้ที่จะใช้ Social Listening ด้วยตัวเองได้แล้ว

ส่วนตัวผมเองก็มีเปิดคลาสสอนทั้งแบบ Public ที่ใคร ๆ ก็สามารถเรียนออนไลน์ไปด้วยกันได้มาแล้วกว่า 25 รุ่น ยังไม่นับที่สอนตามมหาวิทยาลัยกับคลาสปิดในองค์กรต่าง ๆ อีกมากมาย อย่างน้อยก็น่าจะมีคนเคยเรียน Social Listening กับผมไปไม่น่าจะต่ำกว่าพันคนแล้ว ณ วันนี้

8 Step หลักวิธีการใช้ Social Listening ด้วยตัวเองแบบง่ายๆ

แบรนด์หรือธุรกิจ SME ในไทยเองก็เริ่มสมัครใช้งาน Social Listening ใช้เองกันมากมาย ที่ได้รับความนิยมสุดสำหรับ SME ไทยก็เห็นจะเป็น Mandala Analytics เพราะสามารถสมัครใช้งานฟรีด้วยตัวเองได้ ส่วนแบรนด์ใหญ่ ๆ ก็จะคุ้นเคยกับ Wisesight หรือ Zanroo หรือ DOM เป็นต้น

ดังนั้นถ้าใครยังไม่มี Social Listening ใช้ในบริษัทหรือหน่วยงานตัวเองอีก บอกเลยว่าคุณกำลังเสียเปรียบคู่แข่งอย่างมาก เพราะเขาอาจจะรู้ว่าใครกำลังพูดถึงแบรนด์คุณแบบไหน และนั่นหมายความว่าเขาอาจกำลังฉกลูกค้าคุณไปโดยไม่รู้ตัวครับ

ส่วนในเรื่องของการทำ Market Research จาก Social Listening นั้นก็ทำได้มากกว่าการ Research แบบเดิมเคยทำกันมาหลายสิบปี เพราะเราสามารถเข้าถึงเรื่องที่อยากรู้จากปากผู้บริโภคได้ในไม่กี่นาที แค่ใส่คีย์เวิร์ดที่สะท้อนถึงสิ่งที่อยากรู้เข้าไป จนนั้นก็จัดการกับดาต้าที่ได้จนกลายเป็น Data Research Insights สำคัญ

ลองดูตัวอย่างการใช้ Social Listening เพื่อทำ Market Research ผ่านโปรเจค Data 76 จังหวัด กันครับ

8. Generative AI เมื่อ ChatGPT มาแรง และ Dall E ก็ใช้ง่าย

กลางปีก่อนถ้าพูดถึงคำว่า ChatGPT หรือ Midjourney ทุกคนคงได้แต่เกาหัว แล้วถามว่ามันคืออะไร และยิ่งถ้าเราบอกว่าอีกหน่อยการหาข้อมูลจะง่ายเหลือแค่พิมพ์ถาม เพราะเราจะมี AI ตัวหนึ่งที่มาสรุปข้อมูลทุกอย่างให้ การวิเคราะห์ดาต้าจะเหลือแค่โยนไฟล์เข้าไปแล้วพิมพ์ถาม หรือสั่งผ่าน Prompt ที่ง่ายแบบภาษาเขียน คนรอบตัวคงหัวเราะว่าเราบ้าไปแล้ว

ยิ่งถ้าเราบอกว่า Designer จำนวนมากจะลำบาก เพราะใคร ๆ ก็สามารถวาดหรือออกแบบชิ้นงานได้ฝันได้ง่ายแบบแค่พิมพ์สั่งหรือพูดบอก Generative AI ที่ชื่อว่า Midjourney หรือ Dall E คนจะยิ่งหัวเราะเยาะว่าเราเพ้อฝัน

แต่หลังจากช่วงเดือนสิงหาคมเมื่อปี 2022 ที่โลกได้รู้จักกับ Midjourney ครั้งแรก บอกเลยว่าก็ก่อให้เกิดกระแส Generative AI อย่างมาก จนคนที่ใช้ Photoshop ไม่เก่งก็สามารถวาดภาพสวย ๆ เหนือจินตนาการผ่านการพิมพ์ได้ หรือต่อให้เรามีเอกสารเป็นร้อย ๆ หน้า ต้องคิดแผนการตลาดทั้งปี ก็สามารถทำเสร็จได้ในไม่กี่นาทีเมื่อคุยกับ ChatGPT ไม่กี่คำ

Number 24 x Shutterstock เปิดตัวโปรแกรมสร้างภาพ Generative AI อย่างเป็นทางการ

มาปีนี้เราเห็นหนังสือ หลักสูตร ไปจนถึงคอนเทนต์ที่สอนให้เราใช้ ​ChatGPT ในการทำงานให้เก่งมากมาย Google ปล่อย Bard ออกมา ส่วนทาง Microsoft ก็นำหน้าด้วยการร่วมลงทุนใน OPEN AI บริษัทแม่ของ ChatGPT แล้วยกเครื่อง Bing ที่ไม่มีใครคิดใช้ให้ต้องย้อนกลับไปใช้เมื่อมันทำอะไรได้มากมายในแบบที่ Google ไม่กล้าปล่อยให้ใช้ในตอนแรก

ทาง Shutterstock เองก็ออกมาให้บริการ Generative AI แบบถูกต้อง มีความคุ้มครองค่าเสียหายหากเกิดการฟ้องร้องขึ้น ส่วนทาง​ Getty Images เองก็เปิดตัว Generative Image ของตัวเองเช่นกัน ที่บอกว่าค่าสร้างภาพไม่ถึงสิบบาท บวกกับปกป้องความเสียหายจากการฟ้องร้อง 100% ทำเอาช็อคไปทั้งวงการครับ

อ่านบทความการใช้งาน Google Bard โดยละเอียดเพิ่มเติม

9. Affiliate Marketing เทรนด์การตลาดป้ายยาแปะลิงก์ ที่เกิดขึ้นกว่า 5 ล้านครั้งแค่ใน 9 เดือนแรก

จากการใช้ Social Listening เก็บ Data มาพบว่ามีการโพสลิงก์ Affiliate Links บนโซเชียลมีเดียไม่น้อยกว่า 5 ล้านครั้งแค่ใน 9 เดือนแรกของปี 2023

นั่นหมายความว่าเทรนด์การตลาดป้ายยาที่เคยใช้ได้ผลแค่กับบางคน กลายเป็นทุกคนก็สามารถป้ายยาได้ด้วยการรีวิวสินค้าแล้วแปะลิงก์ออกไป จากนั้นก็สามารถรอรับเงินได้สบาย ๆ ถ้ามีคนกดเข้ามาซื้อ หรือต่อให้ไม่ซื้อสินค้าที่แปะลิงก์ไป แต่ถ้าตราบใดที่ยังอยู่ในลิงก์นั้น หรือ Cookie ยังจำค่าได้ว่าล่าสุดเข้ามาผ่านลิงก์คุณ ก็จะยังสามารถทำเงินจากค่าส่วนแบ่งของการ Affiliate marketing ได้อยู่ดี

ส่งผลให้บรรดา Creator ทั้งหลายก่อให้เกิดระบบเศรษฐกิจใหม่ที่ผมเคยเรียกสิ่งนี้ว่า Creator Economy ครับ เมื่อบรรดา Influencer ยุคใหม่สามารถทำเงินได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องง้อหรือรอแบรนด์มาจ้าง และก็ได้เงินมากกว่าแค่การทำคอนเทนต์ให้ได้ล้านวิวจาก YouTube แบบเดิม ๆ เพราะต่อให้มีคนดูแค่หมื่น คนแชร์แค่ร้อย แต่ถ้าคนเหล่านั้นสนใจซื้อของที่เราแปะลิงก์ไว้ เท่านี้ก็สามารถทำเงินได้หลายพันไปจนถึงหลายหมื่นสบาย ๆ จากแค่ลิงก์เดียว

TikTok เองก็ยิ่งเป็นตัวเร่งให้เทรนด์ Affiliate Marketing พุ่งแรงขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ จนทำให้ตี๋โอ สามารถทำเงินได้จากการ LIVE ขายของผ่าน TikTok ถึง 1 ล้านบาทภายใน 1 ชั่วโมง จนล่าสุดสร้างสถิติใหม่ทำเงินได้ 22 ล้านบาทจากการ LIVE แค่ 17 ชั่วโมง

เรียกได้ว่าเทรนด์การตลาดแบบ Affiliate Marketing นั้นของจริงอย่างไม่ต้องสงสัย แบรนด์ต่าง ๆ ต้องปรับตัวมาจับมือกับ Creator ในการกำหนดส่วนแบ่งยอดขายจากการทำคอนเทนต์ใหม่ ยิ่งให้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งจูงใจให้คนอยากเอาสินค้าคุณไปรีวิวแล้วแปะลิงก์ขายมากเท่านั้น

ขนาดผมทำเล่น ๆ ยังสามารถป้ายยาขายไมค์ Wireless ได้สี่สิบกว่าอัน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมการตลาดแบบป้ายยาแปะลิงก์ถึงมาแรง และจะกลายเป็น New Normal ของ Marketing ไทยในอนาคตนับจากนี้ไปครับ

อ่านบทความเรื่องนี้ต่อ

10. Gen Z Marketing การตลาดวัยรุ่น คนรุ่นใหม่ ที่ไม่เหมือนวัยรุ่นไหนในอดีต

Insight Gen Z 2024 เจาะลึกเจนซีในทุกแง่มุม พร้อมสรุปเข้าใจง่าย

Gen Z ถูกพูดถึงในบ้านเราครั้งแรกราว ๆ ปี 2016-2017 ในวันที่แบรนด์ส่วนใหญ่ยังคงจับจ้องแต่กลุ่ม Gen Y หรือ Millennials เป็นหลัก แต่ก็เริ่มมีรายงานหรือนักวิชาการออกมาพูดถึง Gen Z บ้างในเวลานั้น ผ่านมาวันนี้หลังยุค Covid 19 พบว่า Gen Z ถูกพูดถึงกันหนักมาก จนกลายเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักที่นักการตลาดสนใจ แซงหน้า Gen X ไปแบบทิ้งฝุ่น และก็ทิ้งห่าง Gen Y มากขึ้นทุกวัน

เพราะคนรุ่นใหม่วันนี้มีความสามารถในการเข้าถึงสื่อมากกว่าวัยรุ่นในวันวาน แถมวัยรุ่นวันนี้ยังมีช่องทางในการหาเงินด้วยตัวเองได้ง่ายกว่าคนรุ่นก่อนหน้า ทำให้พวกเขามีอำนาจการซื้อสูง เหมือนที่ YouTuber บางคนสามารถซื้อบ้านหลักสิบล้านให้พ่อแม่แล้วทำคลิปให้พวกเราเห็นได้มากมาย

ก่อให้เกิดคำว่าวัยรุ่นร้อยล้าน หรือวัยรุ่นคริปโต หรือวัยรุ่นต่อด้วยคำพ่วงใด ๆ มากมาย ดังนั้นสิ่งหนึ่งที่ผมอยากบอกให้เข้าใจในฐานะคนที่ขึ้นพูดเรื่อง Gen Z Insights 2024 ในงาน CTC 2023 ก็คือวัยรุ่นวันนี้ไม่เหมือนกับวัยรุ่นเจนไหนในอดีต ไม่เหมือนวัยรุ่นยุค Gen Y และ Gen X โดยสิ้นเชิง ดังนั้นถ้านักการตลาดคนไหนยังคิดว่าเคยทำการตลาดกับกลุ่มวัยรุ่นในวันวานมาก่อน จะเอาสิ่งที่เคยทำแล้วเวิร์คมาใช้กับวัยรุ่น Gen Z วันนี้ บอกได้เลยว่ามีแต่เจ๊งกับเจ๊งรออยู่ข้างหน้าแน่นอนครับ

ดังนั้นถ้าอยากรู้จักวัยรุ่นสมัยใหม่ที่เป็น Gen Z เพิ่มเติมว่าต่างจากวัยรุ่นยุคก่อนอย่างไร อ่านจากบทความที่ผมเคยสรุปไว้จากงาน CTC 2023 ได้เลยครับ

  1. Data Driven Marketing จะกลายเป็นเรื่องเบสิคที่ใคร ๆ ก็ทำกัน
  2. CRM 2.0 หรือ Customer Relationship Marketing จะกลายเป็นมาตรฐานใหม่
  3. Personalized Marketing ในระดับ Segmentation เพื่อเตรียมพร้อมสู่ก้าวต่อไปของ Hyper Personalization
  4. Data Thinking เมื่อเราอยู่ในยุคดาต้าเต็มตัว ใครตั้งคำถามกับดาต้าได้ดีกว่าย่อมเป็นผู้ชนะ
  5. Creativity Driven Data นักการตลาดยุคใหม่ต้องฉลาดขอดาต้าลูกค้าให้เป็น
  6. Data Monetization หา New S Curve ของธุรกิจจากดาต้าดี ๆ ที่มีในมือ
  7. Social Listening เครื่องมือที่ทุกแบรนด์ต้องมี และต้องมีคนใช้งานเป็นอยู่ในทีม
  8. Generative AI เครื่องมือของนักการตลาดยุคใหม่ ทั้ง ChatGPT และ Dall E และอื่น ๆ อีกมากมาย
  9. Affiliate Marketing การตลาดป้ายยาแปะลิงก์ ที่ก่อให้เกิด Creator Economy
  10. Gen Z Marketing กลุ่มเป้าหมายใหม่ที่เป็นวัยรุ่นคนรุ่นใหม่ ที่ไม่เหมือนวัยรุ่นเจนไหนที่เคยมี

เป็นอย่างไรบ้างครับกับทั้ง 10 เทรนด์ที่อาจไม่ได้ฟังล้ำโลกหรือดูว้าวหวือหวาแบบสำนักต่างประเทศ แต่มาจากประสบการณ์ส่วนตัวในฐานะที่ปรึกษาด้าน Data-Driven Marketing Advisor ให้กับบริษัทต่าง ๆ ทั้งเล็ก กลาง ไปถึงใหญ่ บวกกับที่ได้ไปสอน ไปแชร์ให้กับเหล่านักการตลาด ผู้บริหาร และคนสายงานต่าง ๆ มากมายตลอดทั้งปีที่ผ่านมา ก็พอจะสรุปภาพรวมให้เห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับวิธีทำการตลาดในบ้านเรานั้นเป็นอย่างไร และน่าจะมีอะไรที่จะเกิดขึ้นอย่างเข้มข้นต่อไปในปีหน้า

หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับเพื่อน ๆ นักการตลาดในการตลาดวันละตอนไม่มากก็น้อย ถ้าคิดเห็นอย่างไรก็พิมพ์คอมเมนต์มาพูดคุยกันได้นะครับ

Nattapon Muangtum

เจ้าของเพจการตลาดวันละตอน / อาจารย์พิเศษวิชา Data-Driven Communication / เขียนหนังสือมาแล้ว 5 เล่ม Personalized Marketing, Data-Driven Marketing, Data Thinking, Contextual Marketing และ Social Listening / ที่ปรึกษา Data-Driven Advisor

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *