ถอดรหัส กลยุทธ์การตลาด MUJI แบรนด์ที่ไม่มีแบรนด์
MUJI เป็นบริษัทค้าปลีกของญี่ปุ่น ก่อตั้งขึ้นในปี 1980 มีจุดประสงค์เพื่อจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคในครัวเรือน เช่น เฟอร์นิเจอร์ เสื้อผ้า และผลิตภัณฑ์อาหาร โดยยึดมั่นคอนเซปต์ ‘Less is More’ เน้นความเรียบง่าย ซึ่งเป็นหัวใจหลักของบริษัท ซึ่งคอนเซปต์ที่แสนเรียบง่ายนี้เองที่กลายมาเป็นกลยุทธ์การตลาด MUJI และที่ผู้เขียนจะนำมาเล่าให้ฟังวันนี้ก็คือ “ถอดรหัส กลยุทธ์การตลาด MUJI แบรนด์ที่ไม่มีแบรนด์” ค่ะ
กลยุทธ์การตลาด MUJI : Brand Story
ชื่อเต็มของ MUJI คือ ‘Mujirushi Ryohin (無印良品)’ ซึ่งแปลว่า ‘No brand แบบมีคุณภาพ’ ซึ่งกลายมาเป็นปรัชญาของแบรนด์ สังเกตได้จาก Product Design ของแบรนด์ ที่มักจะมาในรูปแบบเรียบง่าย ไม่โดดเด่น เน้นการใช้งาน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เอกลักษณ์ความเป็น MUJI นั้นคงทน และยืนยาวเหนือกาลเวลา
ที่ MUJI ผลิตตั้งแต่กล่องเก็บของทั่วไป ไปจนถึงถุงเท้าถักที่ไม่จะหลุดจากเท้า ‘Asako Shimazaki’ ประธานของ MUJI สาขาสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า
…”เราต้องการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในทุกวัน สินค้าของ MUJI ทุกชิ้นถูกสร้างขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์เดียว เพื่อการใช้งานเพียงหนึ่งเดียว”…
อุดมการณ์ที่น่าสนใจที่สุดประการหนึ่งของ MUJI นั่นก็คือ ‘ความว่างเปล่า’ ซึ่ง ‘Kenya Hara’ – Art Director ของ MUJI กล่าวว่า “การออกแบบของแบรนด์นั้นเป็นการออกแบบสไตล์ญี่ปุ่นดั้งเดิม มุ่งเน้นไปที่ความเรียบง่าย” ซึ่งอุดมการณ์นี้ทำให้สินค้าของ MUJI เข้าไปอยู่ในไลฟ์สไตล์ของผู้คนได้เป็นวงกว้าง เพราะดีไซน์ที่เรียบง่ายนั่นเอง
4 Key Success Factors หัวใจของ กลยุทธ์การตลาด MUJI
การเลือกใช้วัสดุ
กลยุทธ์ ‘No-Brand’ ของ MUJI นั้นดึงดูดลูกค้าที่ต้องการความเรียบง่ายในชีวิตประจำวัน โดยเสนอตัวเลือกใหม่ที่แตกต่างให้แก่ลูกค้า ดังนั้นการเลือกใช้วัสดุจึงถือเป็นเกณฑ์ที่สำคัญที่สุดของ MUJI โดยจะเน้นใช้วัสดุที่คุ้นเคย เช่น ไม้ ผ้าฝ้าย และพอร์ซเลน
ลดขั้นตอนในการทำงาน
ทั้งนี้การใช้วัสดุธรรมชาติยังช่วยให้ MUJI ลดขั้นตอนในการย้อมสี-ทาสีตัวสินค้าอีกด้วย ดังนั้นสินค้าของ MUJI จึงมักมีสีที่เรียบง่ายด้วยโทนสีธรรมชาติ เช่น สีดำ สีขาว สีเบจ ฯลฯ ด้วยการปรับปรุงในส่วนของกระบวนการผลิตนี้ ทำให้ MUJI สามารถลดความสิ้นเปลือง และต้นทุนระหว่างการผลิตได้
Packaging เรียบง่าย
MUJI บรรจุสิ่งของของตนในแพ็คเกจจิงที่เรียบง่าย และธรรมดา ซึ่งช่วยลดความซับซ้อนในการผลิตบรรจุภัณฑ์ได้เป็นอย่างดี ช่วยลดทรัพยากรการผลิตในส่วนที่ไม่จำเป็นออกไป อีกทั้ง MUJI ยังรักษาสไตล์ญี่ปุ่นในสินค้าของแบรนด์ด้วยปรัชญาการ “แสวงหาความงาม และศิลปะจากความเรียบง่าย” ซึ่งนอกจากจะทำให้แบรนด์เติบโตได้อย่างยั่งยืนแล้ว MUJI ยังสามารถสร้างความประทับใจในกลุ่มลูกค้าที่แสวงหาสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
MUJIGRAM : มาตรฐานการทำงานของ MUJI
‘MUJIGRAM’ คือ คู่มือการทำงานของ MUJI ซึ่งอธิบายวิธีการทำงานของพนักงานทุกแผนก ทุกหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับ MUJI อย่างละเอียดมากถึง 2,000 หน้า ซึ่งจะอธิบายรายละเอียดต่าง ๆ ตั้งแต่การจัดแสดงร้าน, การบริการลูกค้า, วิธีจัดไม้แขวนเสื้อ, และการใช้ไดอะแกรม
วัตถุประสงค์การมีอยู่ของ MUJIGRAM คือ การปรับปรุงประสิทธิภาพในการทำงาน กำจัดสิ่งที่ไม่จำเป็น สิ่งที่ไม่สมเหตุสมผล และความไม่สม่ำเสมอทั้งหมด เพื่อให้แน่ใจว่าแนวทางปฏิบัติของ MUJI ทุกสาขานั้นจะเป็นไปในแนวเดียวกัน
โดย MUJIGRAM นั้นถูกใช้ในการฝึกอบรมพนักงานใหม่ ซึ่งจะมีการจัดฝึกอบรมใหม่ทุกปี ทำให้ MUJIGRAM นั้นกลายเป็นมาตรฐานในการทำงานของบริษัทไปโดยปริยาย
เจาะลึก กลยุทธ์การตลาด MUJI
จากที่ผู้เขียนได้ทำการสังเกต และค้นคว้าหาข้อมูลมา น้อยมากจริง ๆ ค่ะ ที่เราจะได้เห็นป้ายโฆษณา, หรือการยิง Ads ของ MUJI เลย เว้นเสียแต่ว่าจะเป็น Influencer และ Content Creator ที่ทำคอนเทนต์แนะนำสินค้าลงแชนแนลตัวเองไม่ได้เป็นของทาง Official แต่อย่างใด
ซึ่งกลยุทธ์การตลาด MUJI นั้นจะเน้นหนักไปที่การตอบสนองต่อลูกค้าที่ต้องการสินค้าที่มีคุณภาพ และเรียบง่ายไว้ใช้ในชีวิตประจำวันมากกว่า ซึ่งผู้เขียนก็เคาะออกมาได้ ดังนี้ค่ะ
#01 Product Design ที่เรียบง่าย เน้นฟังก์ชัน
สินค้าของ MUJI มักมีลักษณะที่เรียบง่าย ใช้วัสดุธรรมชาติเป็นหลัก โดยมีจุดประสงค์การออกแบบเพื่อการใช้งานได้หลากหลายสไตล์ ไม่ว่าจะเป็นเฟอร์นิเจอร์ ของใช้ในบ้าน ของเล่น หรือเสื้อผ้า
ทั้งนี้ MUJI เน้นที่คุณภาพ และความคงทนของสินค้า โดยมีการออกแบบที่พิถีพิถันในรายละเอียด ใช้วัสดุคุณภาพสูง เพื่อให้สินค้ามีคุณภาพ ก่อให้เกิดความคุ้มค่าสูงสุดต่อผู้ใช้งาน นอกจากนี้ สินค้าของ MUJI ยังมักมีการออกแบบที่เน้นการใช้งานจริง ๆ ให้สามารถจัดเก็บได้สะดวก เพื่อการใช้งานที่สะดวกสบาย
#02 สร้างประสบการณ์การชอปปิงที่เรียบง่าย สะดวกสบาย
MUJI มีวิธีการจัดวางสินค้าที่มุ่งเน้นการจัดวางที่ทำให้ผู้ซื้อสามารถเข้าใช้งาน และเลือกซื้อสินค้าได้อย่างสะดวกสบาย โดยส่วนมาก MUJI จะใช้การจัดวางแบบง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน เพื่อให้สินค้าของพวกเขาเป็นจุดประสงค์หลักในการเสนอสินค้า ไม่ว่าจะเป็น
- การจัดกลุ่มตามประเภทสินค้า
- การใช้พื้นที่โล่งในการจัดวางสินค้า : เพื่อให้ลูกค้ามองเห็นสินค้าได้อย่างชัดเจน เดินได้สะดวก
- การใช้งานอุปกรณ์ และการจัดเก็บที่เหมาะสม : เช่น จัดวางลินค้าไว้บนชั้นวาง ลิ้นชัก หรือกล่องจัดเก็บสินค้า เพื่อให้การเลือกซื้อ และการค้นหาสินค้าเป็นไปอย่างสะดวก
- การใช้แสงสว่างอย่างเหมาะสม : ช่วยให้สินค้า และพื้นที่ในร้านมีความเป็นมิตร และน่าสนใจ
#03 Collaboration กับนักออกแบบ และศิลปิน
MUJI มักทำการร่วมมือกับนักออกแบบ และศิลปินทั้งจากญี่ปุ่น และต่างประเทศเพื่อสร้างสินค้าที่ไม่เหมือนใคร การทำงานร่วมกับนักออกแบบ และศิลปินช่วยให้ MUJI มีโอกาสในการสร้างผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจ และมีคุณค่าต่อลูกค้ามากขึ้น โดยเป็นส่วนหนึ่งที่เสริมสร้างวัฒนธรรม และคุณภาพของสินค้า MUJI ให้ดียิ่งขึ้น
ตัวอย่างของความร่วมมือระหว่าง MUJI กับนักออกแบบ ศิลปิน
#04 อำนวยความสะดวกลูกค้าด้วย Data
MUJI พบว่าลูกค้ามักจะเรียกดูสินค้าบนเว็บไซต์ก่อนจะไปซื้อที่ร้าน จึงได้พัฒนาแอปพลิเคชัน ‘Muji Passport’ ขึ้นมาในเดือนพฤษภาคม 2013 เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับลูกค้ามากขึ้น และปรับปรุงประสบการณ์การใช้บริการของลูกค้า แต่วัตถุประสงค์หลักของแอปนั้น คือ การส่งเสริมการสื่อสารแบรนด์ และกระตุ้นให้ลูกค้าเข้ามาสัมผัสประสบการณ์ตรงที่ร้านเท่านั้น ไม่ได้ใช้เพื่อผลักดันยอดขายแต่อย่างใด
การใช้แนวคิด ‘NO Brand MUJI’ มีแนวคิดที่เน้นไปที่ตัวสินค้า และประสบการณ์ของผู้ใช้ โดยไม่ให้ความสำคัญกับการติดตั้งแบรนด์ หรือโลโก้ ซึ่งสร้างความเชื่อมั่น และความเข้าใจแก่ลูกค้าในจุดยืนของ MUJI ได้เป็นอย่างดี
ทิศทางการบุกตลาดของ MUJI ในไทย
อย่างไรก็ตามแม้สินค้าของ MUJI จะขึ้นชื่อเรื่องความหลากหลาย แต่ในประเทศไทยนั้น ก็ยังถือว่ามีราคาสูงเมื่อเทียบกับแบรนด์อื่น ๆ และยังเป็นที่รู้จักกันในวงแคบ แค่เขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ดังนั้นตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นไป MUJI จึงปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การตลาดใหม่ โดยลดราคาสินค้าลง เพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น รวมไปถึงเป็นการลบภาพลักษณ์ของการเป็นสินค้าราคาแพงไปในตัวด้วย
ยิงกลยุทธ์ เสนอสินค้าราคา 300 บาท
‘Masashi Oka’ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายจัดซื้อ ของ บริษัท มูจิ รีเทล (ประเทศไทย) ได้ออกมาเผยว่า การนำเสนอสินค้าราคาต่ำกว่า 300 บาทนั้นอยู่ภายใต้แนวคิด “เติมเต็มทุกความต้องการที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน ด้วยสินค้าคุณภาพ ในราคาที่เข้าถึง” โดยมีสินค้าที่เข้าร่วมกว่า 1,500 รายการ ในทุกสาขา ซึ่งคิดเป็น 53% ของรายการสินค้าทั้งหมด ทั้งนี้ก็เพื่อตอกย้ำว่า MUJI นั้นเป็นแบรนด์สินค้าราคาประหยัด และกลยุทธ์การปรับลดราคาลงนี้ก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เห็นได้ชัดจากรายงานผลประกอบการของบริษัท มูจิ รีเทล (ประเทศไทย) จากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ปี 2019-2023
เร่งขยายสาขาในต่างจังหวัด
ปัจจุบันมีการเปิดสาขาใหม่ในต่างจังหวัดมากขึ้น โดยตั้งแต่ปี 2023 ไปจนถึงกลางปี 2024 MUJI มีแพลนจะขยายสาขาเพิ่มขึ้นอีก 8-10 สาขา ซึ่งล่าสุดก็เพิ่งเปิดสาขาที่หาดใหญ่ไปเป็นที่เรียบร้อย (ข้อมูล ณ วันที่ 17/2/2024)
เพิ่มไลน์สินค้าใหม่ ตอบโจทย์คนไทยให้มากขึ้น
เพิ่มสินค้าที่มีขายเฉพาะกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย ปรับให้ทันสมัย และมีสีสันที่หลากหลายมากขึ้น รวมไปถึงเพิ่มรายสินค้าของใช้อุปโภคบริโภคจากญี่ปุ่น และสินค้าใหม่ที่ยังไม่เคยวางขายในไทยมาก่อน
รุกหน้าทำ Online Marketing
โดยเฉพาะ Influencer Marketing โดยจะเลือก Content creator ที่มีไลฟ์สไตล์เดียวกันกับ MUJI และใช้สินค้า MUJI จริง ๆ มาร่วมทำการตลาด ทั้งนี้ MUJI ยังให้ความสำคัญกับยอดผู้ติดตามใน LINE OA เนื่องจากระบบ CRM ยังอยู่ในขั้นตอนของการพัฒนา ประกอบกับ LINE OA นั้นง่ายต่อการใช้งาน
ในเรื่องของ E-Commerce ปัจจุบันมีสินค้าของ MUJI จำหน่ายอยู่ในช่องทางของ Central Online, Lazada และ Grabmart สำหรับลูกค้ากรุงเทพฯ อีกด้วย
ทั้งนี้ ปัจจุบัน มูจิมีสาขาในประเทศไทยทั้งหมดกว่า 31 สาขา และมีสาขาทั่วโลกกว่า 1,000 แห่ง มีสินค้าขายภายในร้านกว่า 7,000 รายการ หากเพื่อน ๆ สนใจสินค้าของ MUJI สามารถติดตาม และอัปเดตสินค้าใหม่ ๆ ได้เลยที่ Facebook Page: MUJI Thailand หรือ LINE OA: MUJI Thailand
ยังมีบทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจให้เพื่อน ๆ ได้ตามไปอ่านกันอยู่อีกเพียบเลยที่!