Five Forces Model วิเคราะห์การแข่งขัน รู้ให้ชัดธุรกิจเราจะสู้เขาได้หรือไม่
Five Forces Model หรือ 5 แรงทางธุรกิจ เป็นหนึ่ง Frameworks ที่ใช้วัดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่ธุรกิจนั้นดำเนินอยู่ค่ะ ซึ่งโมเดลนี้ถูกคิดค้นโดย Michael E. Porter โดยการวิเคราะห์โดยใช้ Five Forces Model จะมี 5 ข้อหลัก ดังนี้ค่ะ
1.อำนาจต่อรองของลูกค้า (Bargaining Power of Buyers)
ข้อแรกของ Five Forces Model คือ อำนาจต่อรองของลูกค้า โดยในข้อนี้จะประเมินอิทธิพล หรือ อำนาจของลูกค้าในการต่อรองกับธุรกิจเราว่า ธุรกิจกับลูกค้าใครมีอำนาจต่อรองมากกว่ากันค่ะ
หากลูกค้ามีอำนาจมากกว่าก็จะสามารถเรียกร้องในเรื่องของการลดราคา หรือ การเพิ่มคุณภาพของสินค้าให้มากขึ้นอีก แต่ถ้าธุรกิจมีอำนาจต่อรองมากกว่าก็จะสามารถกำหนดราคาให้สูง และสามารถเลือกใช้วัตถุดิบตามที่บริษัทต้องการได้
ซึ่งสิ่งที่จะส่งผลว่าธุรกิจมีอำนาจมากกว่าลูกค้า หรือ ลูกค้ามีอำนาจมากกว่าจะมีดังนี้ค่ะ
กรณีที่ธุรกิจมีอำนาจต่อรองมากกว่าลูกค้า
1.มีผู้ขายรายใหญ่จำนวนน้อย แต่ลูกค้ามีจำนวนมาก ทำให้ลูกค้าไม่สามารถต่อรองราคาได้มากนัก
- เครือข่ายมือถือ อุตสาหกรรมโทรคมนาคมที่มีผู้ให้บริการเพียงไม่กี่เจ้า แต่มีผู้ใช้บริการรายย่อยจำนวนมาก
- ซึ่งถึงแม้จะมีผู้ใช้งานจำนวนมาก แต่ก็ไม่สามารถต่อรองกับผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือได้
- จึงทำให้ผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือมีอำนาจ ในการกำหนดราคา ค่าบริการและเงื่อนไขต่าง ๆ ค่ะ
สรุปแล้ว ในอุตสาหกรรมที่มีผู้ขายหรือผู้ให้บริการรายใหญ่จำนวนน้อย แต่มีลูกค้าจำนวนมาก จะทำให้ผู้ขายมีอำนาจต่อรองสูงกว่าลูกค้าในการกำหนดราคา คุณภาพ และเงื่อนไขต่าง ๆ ค่ะ
2. สินค้าหรือบริการมีความแตกต่างและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ลูกค้าจึงมีทางเลือกน้อย
- ซอฟต์แวร์ของ Microsoft เช่น Windows และ Office
- ซึ่งซอฟต์แวร์ที่กล่าวไป มีคุณสมบัติและรูปแบบการใช้งานเป็นเอกลักษณ์ คนส่วนมากคุ้นเคยและต้องพึ่งพาซอฟต์แวร์เหล่านี้
- ส่วนทางเลือกอื่น เช่น Linux หรือ Open Office จะมีคนใช้อยู่บ้างแต่ค่อนข้างน้อยค่ะ
ถ้าสินค้าและบริการมีความแตกต่าง หรือ มีเอกลักษณ์ เลียนแบบได้ยาก ก็จะทำให้ลูกค้ามีตัวเลือกน้อย ทำให้การเปลี่ยนไปใช้สินค้า/บริการอื่นจะเกิดขึ้นยาก ส่งผลให้ธุรกิจเหล่านี้มีอำนาจต่อรองที่สูงกว่าลูกค้าค่ะ
3. ต้นทุนในการเปลี่ยนไปใช้ผลิตภัณฑ์อื่นของลูกค้าสูงมาก ทำให้ต้องเลือกใช้ธุรกิจ หรือ แบรนด์นั้นต่อไป
- ระบบบริหารจัดการทรัพยากรองค์กร (ERP) บริษัทต่าง ๆ ลงทุนจำนวนมากในการติดตั้งและปรับใช้ระบบ ERP
- เช่น SAP, Oracle เพื่อใช้บริหารจัดการข้อมูลและกระบวนการทางธุรกิจ ซึ่งส่วนมากบริษัทที่ใช้จะเป็นบริษัทขนาดใหญ่
- ซึ่งถ้าจะเปลี่ยนไปใช้ระบบอื่นจะต้องลงทุนในการปรับเปลี่ยน ฝึกอบรมพนักงาน รวมถึงโอนย้ายข้อมูลจากระบบเดิม ทำให้มีต้นทุนสูงมากค่ะ
ซึ่งจากที่ยกตัวอย่างไปถ้าลูกค้ามีต้นทุนในการเปลี่ยนผลิตภัณฑ์หรือบริการที่สูงมาก ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนทางการเงิน ต้นทุนการปรับเปลี่ยน หรือต้นทุนทางจิตวิทยา พฤติกรรมต่าง ๆ ก็จะทำให้ธุรกิจมีอำนาจต่อรองมากกว่าลูกค้าค่ะ
4.ลูกค้าไม่สามารถรวมกลุ่มกันเพื่อต่อรองได้
- ตัวอย่างง่าย ๆ คือ คนที่ใช้แอปพลิเคชันและบริการบน Internet อย่างเช่น Facebook, Instagram, Netflix
- ซึ่งแอพที่กล่าวไป มีผู้ใช้บริการจำนวนมาก พวกเราเองก็เป็นหนึ่งในนั้นใช่ไหมคะ ถึงบางครั้งเราอาจไม่พอใจนโยบาย หรือ ราคาค่าบริการ
- อย่างล่าสุดที่ Netflix ยกเลิกการแชร์ข้ามวงไวไฟของแต่ละบ้าน ทำให้มีผู้ไม่พอใจค่อนข้างเยอะ แต่สุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะเหมือนที่กล่าวไปว่า ผู้ใช้ไม่สามารถรวมตัวกันได้ในการต่อรองได้ค่ะ
จะเห็นได้ว่าสินค้าหรือบริการที่มีผู้ใช้จำนวนมาก แต่กระจายตัวกันอยู่ รวมไปทั้งอาจมีข้อจำกัดทางกฎหมายและจรรยาบรรณ จึงทำให้ลูกค้าไม่สามารถรวมกลุ่มกันได้ ส่งผลให้ธุรกิจมีอำนาจต่อรองมากกว่าฝ่ายลูกค้าค่ะ
5.ลูกค้าไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับราคาสินค้าหรือบริการของผู้ประกอบการรายอื่นเพื่อใช้เปรียบเทียบ
- บริการทางการแพทย์เฉพาะทางบางอย่าง เช่น การผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะ หรือการรักษาด้วยเทคโนโลยีทันสมัย
- โดยทั่วไปลูกค้าหรือผู้ป่วยมักไม่มีข้อมูลเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายจากโรงพยาบาลอื่น ๆ เพราะว่าเป็นการบริการเฉพาะกลุ่ม
จะเห็นได้ว่า หากลูกค้าไม่มีข้อมูลเปรียบเทียบราคาของผู้ขาย หรือ ผู้ให้บริการรายอื่นได้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลว่า เป็นบริการเฉพาะด้าน เป็นแบบบริการครั้งเดียว ก็จะส่งผลให้ธุรกิจมีอำนาจต่อรองสูงกว่าลูกค้าค่ะ
Case Study กรณีที่ธุรกิจมีอำนาจมากกว่า
ผู้เขียนจะยกตัวอย่าง Case Study ของบริษัท Apple เป็นตัวอย่างธุรกิจที่มีอำนาจต่อรองสูงกว่าผู้บริโภค เนื่องจากหลายสาเหตุ ดังนี้ค่ะ
- เอกลักษณ์และแตกต่าง โดยเฉพาะระบบปฏิบัติการ iOS ที่ใช้เฉพาะของ Apple ได้เท่านั้นค่ะ
- มีฐานลูกค้าที่เป็น Royalty พร้อมซื้ิอสินค้าที่ออกมา
- ลูกค้ามีต้นทุนค่อนข้างสูงในการเปลี่ยนไปใช้ระบบปฏิบัติการอื่น เช่น Android ทั้งการซื้อเครื่องใหม่ และ การเปลี่ยนพฤติกรรม
- Apple เป็นบริษัทผู้นำในอุตสาหกรรม และมีจำนวนผู้ใช้มากกว่าคู่แข่ง
ด้วยเหตุนี้ Apple จึงสามารถกำหนดราคาขายสูงและมีอำนาจในการต่อรองกับลูกค้าได้มากกว่านั่นเองค่ะ
กรณีที่ลูกค้ามีอำนาจต่อรองมากกว่าธุรกิจ
1. มีลูกค้ารายใหญ่จำนวนน้อย แต่มีผู้ขายจำนวนมาก ลูกค้าสามารถต่อรองราคาได้
- ธุรกิจโรงพยาบาล อย่างโรงพยาบาลขนาดใหญ่จะเป็นลูกค้ารายใหญ่ของบริษัทยา อุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ ซึ่งผู้ผลิตอุปกรณ์ที่กล่าวมา จะมีจำนวนหลายบริษัท จึงสามารถต่อรองราคาซื้อได้ค่ะ
จากตัวอย่างนี้เมื่อมีลูกค้ารายใหญ่จำนวนน้อยราย แต่มีผู้ขายหรือผู้ให้บริการที่สามารถตอบสนองความต้องการนั้นได้จำนวนมาก ลูกค้าจะมีอำนาจต่อรองราคาและเงื่อนไขต่าง ๆ ได้สูงมากกว่านั่นเองค่ะ
2.สินค้าหรือบริการที่มีลักษณะคล้ายกัน จะทำให้ลูกค้าจะมีทางเลือกเยอะในการเลือก
- บริการโรงแรม เพราะโรงแรมระดับเดียวกัน มักจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกและคุณภาพบริการที่ใกล้เคียงกัน
- เช่น โรงแรมหรู, รีสอร์ท ซึ่งจะทำให้ลูกค้าสามารถเปลี่ยนไปพักที่โรงแรมอื่นในระดับเดียวกันได้ง่ายค่ะ
เมื่อสินค้าหรือบริการมีลักษณะที่คล้ายกัน ไม่มีเอกลักษณ์โดดเด่น จะทำให้ลูกค้าจะมีทางเลือกหลากหลายและสามารถเปลี่ยนไปใช้ของผู้ขายรายอื่นได้ง่าย ส่งผลให้ลูกค้ามีอำนาจต่อรองมากกว่าผู้ขายค่ะ
3.ลูกค้าเสียต้นทุนในการเปลี่ยนผลิตภัณฑ์น้อย หรือ ไม่เสียต้นทุนเลย
- Applications บน Smartphone ผู้ใช้สามารถ Download และลบ App ต่าง ๆ ได้ตลอดเวลาโดยไม่มีต้นทุน
- เช่น เปลี่ยนจากใช้ Uber ไปใช้ Grab หรือแอปพลิเคชันอื่น ๆ ที่ให้บริการบนมือถือเป็นหลักค่ะ
เราจะเห็นว่าเมื่อลูกค้าเสียต้นทุนน้อยหรือไม่เสียต้นทุนในการเปลี่ยนผลิตภัณฑ์หรือบริการ ลูกค้าจะมีอำนาจในการต่อรองหรือเลือกใช้บริการจากผู้ประกอบการรายอื่นได้ง่าย ส่งผลให้ผู้ขายหรือผู้ให้บริการมีอำนาจในการต่อรองน้อยกว่า
4.ลูกค้ารวมกลุ่มกันเพื่อต่อรองราคาและเงื่อนไขการค้าได้ง่าย
- สมาคมเกษตรกรที่ปลูกพืชหรือเลี้ยงสัตว์ประเภทเดียวกัน สามารถรวมกลุ่มกันเป็นสหกรณ์
- เพื่อต่อรองราคาขายผลผลิตกับพ่อค้าคนกลาง และร่วมมือกันจัดหาวัตถุดิบ อุปกรณ์สำหรับการเกษตรได้ค่ะ
หากลูกค้าหรือผู้ใช้บริการสามารถรวมกลุ่มกันเป็นองค์กรหรือสมาคมได้ง่าย จะทำให้มีอำนาจในการต่อรองสูงกว่าเมื่อเทียบกับการไปคนเดียว โดยจะสามารถเรียกร้องและต่อรองราคา รวมไปถึงเงื่อนไขต่าง ๆ กับผู้ขายได้มากขึ้นค่ะ
5.ลูกค้าสามารถเปรียบเทียบราคาและคุณภาพของผู้ขายได้
- บริการจองตั๋วเครื่องบิน/โรงแรม จะมีเว็บไซต์เปรียบเทียบราคาตั๋วและห้องพักจากสายการบินและโรงแรมต่าง ๆ ทำให้ลูกค้าสามารถเลือกเปรียบเทียบได้ง่าย
ปัจจุบันที่เราสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายผ่านอินเตอร์เน็ต ลูกค้าจึงมีทางเลือกในการเปรียบเทียบและต่อรองกับผู้ประกอบการมากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าบริการที่เป็นมาตรฐานเดียวกันยิ่งจะทำให้เปรียบเทียบได้ง่ายมากขึ้นค่ะ
Case Study กรณีที่ลูกค้ามีอำนาจต่อรองมากกว่าธุรกิจ
ห้างสรรพสินค้ารายใหญ่ เช่น Lotus, Big C, Makro เป็นตัวอย่างของลูกค้ารายใหญ่ที่มีอำนาจต่อรองสูงกับซัพพลายเออร์หรือผู้ผลิตสินค้า เนื่องจาก
- เป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สั่งซื้อสินค้าในปริมาณมหาศาล
- สามารถเปลี่ยนไปสั่งซื้อจากซัพพลายเออร์รายอื่นได้โดยง่าย เนื่องจากสินค้ามีลักษณะคล้ายคลึงกัน
- มีข้อมูลราคาและต้นทุนของซัพพลายเออร์ต่าง ๆ
ด้วยเหตุนี้ ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่จึงมีอำนาจต่อรองสูงกับซัพพลายเออร์ในการเรียกร้องส่วนลดราคาและเงื่อนไขที่ดีกว่านั่นเองค่ะ
สรุปได้ว่า อำนาจต่อรองระหว่างธุรกิจและลูกค้าขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ ทั้งขนาด จำนวน ความแตกต่างของสินค้า และความสามารถในการรวมกลุ่มของคู่ค้านั้น ๆ ด้วยค่ะ
2.อำนาจของซัพพลายเออร์ (Bargaining Power of Suppliers)
ข้อต่อมาใน Five Forces Model ก็คือ อำนาจต่อรองกับซัพพลายเออร์นั่นเองค่ะ ซึ่งประเมินอำนาจที่ซัพพลายเออร์มีเหนือธุรกิจ หรือ ธุรกิจมีเหนือกว่า
เพราะหากซัพพลายเออร์มีอำนาจมากกว่าก็จะส่งผลต่อควบคุมอุปทานของวัตถุดิบ ทำให้ซัพพลายเออร์สามารถจำกัด ทำให้ราคาสูง ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น ก็จะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจในอุตสาหกรรมได้ค่ะ
โดยอำนาจต่อรองของซพพลายเออร์ก็จะมีความคล้ายคลึงกับอำนาจต่อรองของลูกค้าคือ ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ ทั้งจำนวนของซัพพลายเออร์และธุรกิจ ความแตกต่างของวัตถุดิบ และปริมาณที่ใช้ด้วยค่ะ ดังนั้นในข้อนี้ผู้เขียนจะยกตัวอย่างเป็นในแต่ละอุตสาหกรรมแทนค่ะ
กรณีที่ซัพพลายเออร์มีอำนาจสูงกว่าธุรกิจ
- อุตสาหกรรมชิปคอมพิวเตอร์ ผู้ผลิตวงจรรวมชิปคอมพิวเตอร์ชั้นนำ เช่น อินเทล, ซัมซุง มีอำนาจต่อรองสูงกับผู้ประกอบการคอมพิวเตอร์และสมาร์ทโฟน เนื่องจากต้องพึ่งพาซัพพลายเออร์เหล่านี้ ซึ่งมีจำนวนน้อยค่ะ
- อุตสาหกรรมยานยนต์อวกาศ บริษัทผู้ผลิตจรวดและยานอวกาศมีจำนวนน้อยราย จึงมีอำนาจต่อรองสูงกับลูกค้าเอกชนและหน่วยงานรัฐที่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีของพวกเขาก็ค่อนข้างสูงตามไปด้วย
- อุตสาหกรรมดาวเทียมสื่อสาร ผู้ให้บริการบริษัทจัดหาดาวเทียมสื่อสาร ซึ่งมีจำนวนน้อยราย มีอำนาจต่อรองสูงกับผู้ให้บริการโทรคมนาคมและสื่อสารต่าง ๆ
จะเห็นได้ว่า ซัพพลายเออร์ที่มีอำนาจสูงกว่าสินค้าหรือบริการของพวกเขาจะเป็นลักษณะที่เฉพาะมาก ทำให้ธุรกิจไม่สามารถหารายอื่นมาทดแทนได้ ทำให้อำนาจต่อรองของซัพพลายเออร์นั้นมีสูงกว่าธุรกิจค่ะ
กรณีที่ธุรกิจมีอำนาจสูงกว่าซัพพลายเออร์
- อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม บริษัทแบรนด์อาหารและเครื่องดื่มขนาดใหญ่ มีอำนาจต่อรองสูงกว่าซัพพลายเอร์วัตถุดิบอาหาร เช่น เกษตรกร โรงงานแปรรูปอาหาร เนื่องจากสามารถเลือกใช้วัตถุดิบจากแหล่งอื่นได้ค่ะ
- อุตสาหกรรมเทคโนโลยี บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ เช่น แอปเปิล ไมโครซอฟท์ มีอำนาจต่อรองสูงกว่าซัพพลายเอร์ชิ้นส่วนและวัสดุอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากมีคำสั่งซื้อจำนวนมากและอาจเปลี่ยนซัพพลายเอร์ได้ค่ะ
- ค้าปลีกสินค้าแฟชั่น ห้างค้าปลีกสินค้าแฟชั่นขนาดใหญ่ มีอำนาจต่อรองสูงกว่าโรงงานผู้ผลิตเสื้อผ้า เนื่องจากสามารถเปลี่ยนซัพพลายเอร์ได้ง่ายค่ะ
โดยสรุป ปัจจัยสำคัญคือการมีทางเลือกจากซัพพลายเอร์อื่น ขนาดของคำสั่งซื้อ จำนวนซัพพลายเอร์ และความจำเป็นของวัตถุดิบ หากธุรกิจสามารถเปลี่ยนซัพพลายเอร์ได้ง่ายและไม่จำเป็นต้องพึ่งพาซัพพลายเอร์รายใดรายหนึ่งมากนัก ก็จะมีอำนาจต่อรองสูงค่ะ
3.อุปสรรคจากคู่แข่งรายใหม่ (Threat of New Entry)
ข้อนี้ใน Five Forces Model จะพิจารณาความเสี่ยงที่เกิดจากคู่แข่งรายใหม่ที่จะเข้ามาสู่ตลาดว่าเข้ามาง่ายหรือไม่ หรือมีอุปสรรคอะไรที่บ้างที่จะทำให้คู่แข่งเข้ามาไม่ได้ ซึ่งการเข้ามาของคู่แข่งรายใหม่อาจลดส่วนแบ่งทางการตลาดและความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจด้วย
และธุรกิจเดิมที่อยู่ในตลาดก็อาจเผชิญกับความท้าทายจากคู่แข่งรายใหม่ จำเป็นต้องมีกลยุทธ์เพื่อรักษาข้อได้เปรียบในการแข่งขันนั่นเองค่ะ ซึ่งจะมีปัจจัยที่ส่งผลให้คู่แข่งรายใหม่เข้ามาในตลาดยากก็คือ
- เงินลงทุนสูง หากอุตสาหกรรมนั้นต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมากในโรงงาน เครื่องจักร วัตถุดิบ จะเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเข้ามาของคู่แข่งใหม่
- การเข้าถึงช่องทางการจัดจำหน่าย หากผู้ประกอบการรายเดิมมีช่องทางจัดจำหน่ายที่มากและยากต่อการเข้าถึง จะเป็นอุปสรรคสำคัญ
- นโยบายของรัฐ หากมีกฎระเบียบ ข้อจำกัด หรือมาตรการทางภาษีที่เข้มงวด จะทำให้คู่แข่งรายใหม่เข้ามายาก
- ความภักดีของลูกค้า หากลูกค้ามีความภักดีต่อแบรนด์เดิมสูงมาก การเข้ามาของคู่แข่งใหม่จะทำได้ยาก
- สิทธิบัตรและเทคโนโลยี หากต้องพึ่งพาเทคโนโลยีหรือสิทธิบัตรที่คู่แข่งเดิมถือครอง จะเป็นอุปสรรคสำคัญ
- ต้นทุนแรกเข้าสูง อาจรวมถึงค่าใช้จ่ายด้านการตลาด การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การสร้างแบรนด์ที่คู่แข่งรายใหม่ต้องลงทุน
ตัวอย่างอุตสาหกรรมที่คู่แข่งรายใหม่เข้ามาได้ยาก เพราะมีอุปสรรคสูง
- อุตสาหกรรมสายการบิน ต้องใช้เงินลงทุนสูงมากในเครื่องบิน สนามบิน และมีกฎระเบียบเข้มงวด
- อุตสาหกรรมยานยนต์ ต้องมีเงินลงทุนสูงในโรงงาน และลูกค้ามีความภักดีต่อแบรนด์รถยนต์เดิม ๆ
- อุตสาหกรรมโทรคมนาคม ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีท่อสัญญาณและสิทธิบัตรต่าง ๆ มีกฎระเบียบควบคุมสูง
แต่ในบางอุตสาหกรรม อาจมีอุปสรรคจากคู่แข่งรายใหม่น้อย เช่น ค้าปลีกเสื้อผ้า ร้านอาหารท้องถิ่น ธุรกิจโฆษณา เป็นต้น เนื่องจากไม่ต้องใช้เงินลงทุนสูงและไม่มีกฎระเบียบเข้มงวดค่ะ อย่างที่บอกไปว่าจะมีธุรกิจที่คู่แข่งสามารถเข้ามาได้ง่ายและยาก ดังนั้นเพื่อให้เห็นภาพ จึงขอยกตัวอย่างดังนี้ค่ะ
กรณีคู่แข่งเข้ามาได้ยาก อุปสรรคสูง
อุตสาหกรรมน้ำมันและปิโตรเคมี
- ต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมหาศาลในโรงกลั่นน้ำมัน โรงงานปิโตรเคมี รวมถึงการขุดเจาะแหล่งน้ำมันและก๊าซ
- การเข้าถึงแหล่งวัตถุดิบและการขนส่งมีข้อจำกัด
- มีกฎระเบียบด้านความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวด รวมถึงใบอนุญาตต่าง ๆ
- ความภักดีต่อแบรนด์จากผู้บริโภคในบางตลาด
- ปัญหาการผูกขาดของผู้ประกอบการรายใหญ่
ทำให้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไม่มีผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามาในอุตสาหกรรมน้ำมันและปิโตรเคมีของประเทศไทยค่ะ
กรณีคู่แข่งเข้ามาได้ง่าย อุปสรรคต่ำ
ร้านกาแฟ
- ไม่ต้องใช้เงินลงทุนมากในการเปิดร้านกาแฟ
- สามารถเลือกทำเลที่ตั้งและรูปแบบร้านได้อย่างอิสระ
- ใช้วัตถุดิบและอุปกรณ์เครื่องมือพื้นฐาน ไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีชั้นสูง
- ไม่มีกฎระเบียบในการควบคุมมากนัก
ทำให้มีร้านกาแฟรายใหม่เปิดขึ้นทุกวันในหลายพื้นที่ของประเทศไทย เนื่องจากอุปสรรคในการเข้าสู่ตลาดค่อนข้างต่ำ
ดังนั้น อุปสรรคจากคู่แข่งรายใหม่จึงเป็นปัจจัยสำคัญในการวิเคราะห์สภาพการแข่งขันของอุตสาหกรรม ซึ่งมีผลต่อกลยุทธ์ทางธุรกิจที่ผู้ประกอบการรายเดิมจะต้องกำหนด รวมทั้งผู้ประกอบการรายใหม่ที่ต้องการทำธุรกิจก็ต้องศึกษาข้อกำจัดต่าง ๆ ของอุตสาหกรรมที่ต้องการเข้าไปด้วยค่ะ
4.อุปสรรคจากสินค้าทดแทน (Threat of Substitute Products)
ข้อนี้หมายถึงความเสี่ยงของผลิตภัณฑ์หรือบริการทดแทน ที่สามารถแทนที่สินค้าของเราได้ สินค้าทดแทนอาจส่งผลกระทบต่อการเลือกของลูกค้า โดยเฉพาะหากสินค้าทดแทนมีราคาถูกกว่า ประสิทธิภาพดีกว่า หรือมีคุณสมบัติที่ดึงดูดลูกค้าได้มากกว่า ก็จะทำให้ลูกค้าหันไปใช้สินค้าทดแทนนั้นแทน รวมไปทั้งส่งผลต่อยอดขายและส่วนแบ่งทางการตลาดอีกด้วยค่ะ
ซึ่งหมายถึงสินค้าหรือบริการที่สามารถทำหน้าที่เดียวกันหรือใกล้เคียงกับสินค้าหรือบริการในอุตสาหกรรมนั้น ๆ ซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้ากลุ่มเดียวกันได้ค่ะ
ตัวอย่างสินค้าที่ถูกทดแทนได้ง่าย
- Tablet / Smartphone สามารถทดแทน Notebook และ Laptop ได้ง่าย เนื่องจากมีขนาดเล็ก พกพาสะดวก และสามารถทำงานได้หลากหลายเช่นเดียวกัน
- บริการสตรีมมิ่งวิดีโอออนไลน์ เช่น Netflix สามารถทดแทนการเช่าหนังดีวีดีหรือรับชมทีวีจากสถานีได้ง่าย เนื่องจากความสะดวกและหลากหลายของเนื้อหา
- การประชุมทางไกลออนไลน์ สามารถทดแทนการเดินทางไปประชุมสัมมนา ช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย
- สื่อสิ่งพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น E-book สามารถทดแทนหนังสือกระดาษ ช่วยประหยัดพื้นที่และค่าใช้จ่าย
- เครื่องชงกาแฟแคปซูล สามารถทดแทนการไปดื่มกาแฟในร้านได้ง่าย เนื่องจากสะดวกและประหยัดกว่า
ตัวอย่างสินค้าที่ถูกทดแทนได้ยาก
- ยารักษาโรคหรือวัคซีน เป็นผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ที่พัฒนาด้วยงานวิจัยอย่างละเอียดยิบ ยากต่อการหาสิ่งทดแทน
- เครื่องบิน เป็นผลิตภัณฑ์ที่ต้องใช้เทคโนโลยีสูง รวมไปถึงด้านความปลอดภัย จึงยากต่อการถูกทดแทน
- รถยนต์เชื้อเพลิงขนาดใหญ่ เช่น รถบรรทุก รถพ่วง เนื่องจากต้องใช้กำลังขับเคลื่อนสูงและมีพื้นที่บรรทุกมาก จึงทดแทนด้วยรถยนต์ไฟฟ้าได้ยาก
- อัญมณีและทองคำ เป็นวัสดุธรรมชาติที่ไม่ได้ผลิตได้ง่าย ๆ มีราคา และยังเป็นสินทรัพย์ถาวร จึงยากที่จะมีสินค้ามาทดแทน
- บริการเฉพาะทาง เช่น บริการด้านกฎหมาย ทนายความ บริการทางการแพทย์ หมอ พยาบาล ซึ่งต้องใช้ความรู้และประสบการณ์เฉพาะทาง จึงทดแทนด้วยบริการอื่นได้ยาก
ดังนั้น ความง่ายหรือยากต่อการถูกสินค้าทดแทน จะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น เทคโนโลยี คุณสมบัติ ความสำคัญ ความพิเศษ รวมถึงทัศนคติและความนิยมของผู้บริโภคด้วยค่ะ รวมไปถึงหากสินค้าทดแทนมีราคาถูกกว่า คุณภาพดีกว่า ผู้บริโภคจะเปลี่ยนไปใช้สินค้าทดแทนได้ง่ายค่ะ
Case Study สินค้าที่ถูกทดแทน
Uber / Grab มาเป็นสินค้าทดแทนแท็กซี่แบบดั้งเดิม โดยให้บริการเรียกรถผ่านแอพฯ มีราคาถูกกว่า รวดเร็ว สะดวกกว่า ก่อให้เกิดการเปลี่ยนไปใช้บริการเรียกรถรูปแบบใหม่มากขึ้น ส่งผลกระทบต่อรายได้ของแท็กซี่แบบเดิมค่ะ
ดังนั้นธุรกิจต้องต้องสินค้าทดแทนของธุรกิจด้วยว่า สามารถมีสินค้าทดแทนได้หรือเปล่า เพื่อนำไปวางแผน กลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ รวมทั้งผู้ที่ต้องการมองหาโอกาสในธุรกิจเอง เมื่อคิด Product หรือ Service บางอย่างออกมาจะสามารถตอบโจทย์ และทดแทนสินค้าเดิมที่มีอยู่ได้จริงมั้ย
5.การแข่งขันในอุตสาหกรรม (Industry Rivalry)
ในข้อนี้เป็นข้อสุดท้ายซึ่งจะพูดถึงการแข่งขันภายในอุตสาหกรรม ทั้งด้านราคา คุณภาพ การบริการ เป็นต้น เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาด ถ้าภายในอุตสาหรรรมมีการแข่งขันสูงอาจนำไปสู่สงครามราคา กำไรลดลง และการแข่งขันที่รุนแรง ธุรกิจก็ต้องกำหนดกลยุทธ์เพื่อสร้างความแตกต่างและรักษาตำแหน่งของตัวเองไว้ค่ะ
และหากการแข่งขันรุนแรงมาก อาจนำไปสู่สงครามราคาตัดราคากันอย่างรุนแรง บริษัทอาจล้มละลาย ผลกำไรในอุตสาหกรรมนั้นจะตกต่ำลงด้วยค่ะ ซึ่งการแข่งขันในอุตสาหกรรมที่รุนแรงหรือไม่รุนแรงนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ แต่โดยทั่วไปแล้ว หากอุตสาหกรรมมีลักษณะแบบนี้ การแข่งขันมักจะรุนแรงค่ะ
- มีผู้ประกอบการรายใหญ่หลายรายที่มีขนาดและอำนาจทางการตลาดใกล้เคียงกัน
- อัตราการเติบโตของอุตสาหกรรมต่ำหรือหดตัว ทำให้ต้องแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาด
- ต้นทุนคงที่สูง ทำให้ต้องผลิตเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด
- สินค้า/บริการมีความคล้ายคลึงกัน ไม่มีความแตกต่างมากนัก
- ต้นทุนในการเปลี่ยนไปใช้ผลิตภัณฑ์อื่นของลูกค้าต่ำ
ตัวอย่างอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันรุนแรง เช่น อุตสาหกรรมสายการบิน โทรศัพท์เคลื่อนที่ ธนาคารพาณิชย์ เป็นต้น ในขณะที่อุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันไม่รุนแรงมักเป็นอุตสาหกรรมที่มีข้อจำกัดทางกฎหมาย มีผู้ประกอบการน้อยราย หรือต้องใช้เงินลงทุนสูงมาก
ตัวอย่างการแข่งขันภายในอุตสาหกรรมที่รุนแรง
- อุตสาหกรรมโทรศัพท์เคลื่อนที่ มีผู้ให้บริการหลัก ๆ เช่น เอไอเอส ทรู ดีแทค ที่มีขนาดและศักยภาพใกล้เคียงกัน สินค้า/บริการมีความคล้ายคลึงกัน ลูกค้าสามารถเปลี่ยนผู้ให้บริการได้ง่าย จึงมีการแข่งขันด้านราคา โปรโมชัน และนวัตกรรมบริการอย่างรุนแรง
- อุตสาหกรรมธนาคารพาณิชย์ มีธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่หลายแห่ง เช่น ธนาคารกรุงเทพ กสิกรไทย กรุงไทย ไทยพาณิชย์ ที่มีขนาดและบริการใกล้เคียงกัน การแข่งขันจึงรุนแรงทั้งด้านดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม สาขา และนวัตกรรมบริการ
ตัวอย่างการแข่งขันภายในอุตสาหกรรมที่ไม่รุนแรง
- อุตสาหกรรมปิโตรเลียม มีจำนวนผู้ประกอบการน้อยราย ได้แก่ ปตท. บางจาก และผู้ค้าน้ำมันรายย่อย การแข่งขันจึงไม่รุนแรงมากนัก เนื่องจากต้นทุนการเข้ามาในอุตสาหกรรมสูง ถูกควบคุมโดยภาครัฐและมีการกำหนดราคาขั้นสูงสุด
- อุตสาหกรรมผลิตปุ๋ยเคมี มีผู้ผลิตหลักเพียง 2-3 รายใหญ่ ๆ เท่านั้น เช่น ปตท. อินโดรามา เหตุที่มีการแข่งขันไม่รุนแรง เนื่องจากต้องใช้เงินลงทุนสูงมาก ผลิตภัณฑ์ค่อนข้างมาตรฐานเดียวกัน และผู้บริโภคไม่สามารถเปลี่ยนไปใช้ผลิตภัณฑ์อื่นได้ง่ายนัก
ดังนั้น ปัจจัยสำคัญที่ทำให้อุตสาหกรรมมีการแข่งขันรุนแรงจะมีในเรื่อง จำนวนคู่แข่ง ความแตกต่างของผลิตภัณฑ์ ต้นทุนในการเข้า/ออกจากอุตสาหกรรม และการกำกับดูแลจากรัฐบาล เป็นต้นค่ะ
Case Study การแข่งขันภายในอุตสาหกรรม
การแข่งขันในตลาดสกินแแคร์มีความรุนแรง เพราะมีผู้ค้าหลายราย และ ผู้ค้าแต่ละรายก็ทำโปรโมชั่น และ ออกสินค้าใหม่มาเสมอ มีจำนวนคู่แข่งขันมาก ทั้งบริษัทขนาดใหญ่ระดับโลก บริษัทขนาดกลาง และรายย่อย รวมถึงการแข่งขันจากผลิตภัณฑ์นำเข้าจากต่างประเทศ
นอกจากนั้นผลิตภัณฑ์มีความคล้ายคลึงกันสูง แม้จะมีการพยายามสร้างความแตกต่างด้วยนวัตกรรมและกลิ่นอายของแบรนด์ แต่ก็ยากที่จะแตกต่างอย่างชัดเจน การโฆษณาและการสร้างภาพลักษณ์มีความสำคัญมาก ทำให้ต้องใช้งบประมาณการตลาดสูงอีกด้วย
ดังนั้นการแข่งขันในอุตสาหกรรมนี้จึงมีระดับสูง ผู้ประกอบการต้องสร้างกลยุทธ์เพื่อสร้างความแตกต่างและความจงรักภักดีต่อแบรนด์ นำเสนอคุณค่าที่เหนือกว่า เพื่อทำให้แบรนด์โดดเด่นและสามารถแข่งขันได้
ซึ่งองค์ประกอบทั้ง 5 ข้อที่กล่าวมานี้ จะช่วยให้บริษัทหรือธุรกิจสามารถประเมินสภาพแวดล้อมการแข่งขันในอุตสาหกรรมที่ดำเนินธุรกิจอยู่ได้ และนำไปสู่การกำหนดกลยุทธ์ที่เหมาะสมต่อไปด้วยค่ะ
ตัวอย่างการนำ Five Forces Model วิเคราะห์ธุรกิจร้านกาแฟ
- อำนาจการต่อรองของผู้ซื้อ (Bargaining Power of Buyers) – ค่อนข้างสูง
- ลูกค้าสามารถเปลี่ยนไปใช้บริการร้านกาแฟอื่น ๆ ได้ง่าย เนื่องจากมีร้านกาแฟมากมายในท้องตลาด
- ต้นทุนในการเปลี่ยนไปใช้ผู้ให้บริการรายอื่นต่ำมาก
- รวมทั้งกาแฟเป็นสินค้าที่ไม่มีความซับซ้อน ลูกค้าสามารถเปรียบเทียบราคาและคุณภาพได้ง่ายค่ะ
- อำนาจการต่อรองของผู้ขาย (Bargaining Power of Suppliers) – ปานกลาง
- มีผู้จัดจำหน่ายวัตถุดิบ เช่น เมล็ดกาแฟ นม น้ำตาลหลายราย จึงมีอำนาจต่อรองไม่มากนักค่ะ
- แต่ในส่วนของเมล็ดกาแฟ อาจมีการขาดแคลนวัตถุดิบได้ หากเราเลือกใช้เมล็ดกาแฟแบบพิเศษที่ต้องนำเข้า
- คุกคามจากสินค้าทดแทน (Threat of Substitute Products) – ค่อนข้างสูง
- มีสินค้าทดแทนกาแฟหลายชนิด เช่น ชา น้ำผลไม้ นมและเครื่องดื่มอื่น ๆ ค่ะ
- รวมทั้งสินค้าทดแทนมีราคาถูกกว่า สะดวกในการหาซื้อค่ะ
- คุกคามจากผู้เข้ามาใหม่ในอุตสาหกรรม (Threat of New Entrants) – ปานกลาง
- ต้นทุนในการเปิดร้านกาแฟไม่สูงมากนัก แต่การสร้างแบรนด์และฐานลูกค้าต้องใช้เวลาและต้นทุนสูงค่ะ
- มีการแข่งขันสูงจากผู้ประกอบการรายเดิมที่มีฐานลูกค้าและแบรนด์เป็นที่ยอมรับอยู่แล้วค่ะ
- ระดับการแข่งขันในอุตสาหกรรม (Rivalry Among Existing Competitors) – สูงมาก
- มีร้านกาแฟเปิดใหม่เป็นจำนวนมากทั้งแบรนด์ใหญ่และร้านค้าขนาดเล็ก
- ผลิตภัณฑ์มีความคล้ายคลึงกัน ทำให้ต้องแข่งขันด้านราคา คุณภาพ บริการ สถานที่ตั้งและนวัตกรรมเมนูใหม่ ๆ
- มีการโฆษณาประชาสัมพันธ์เพื่อดึงดูดลูกค้าอย่างต่อเนื่องค่พ
สรุปได้ว่า ธุรกิจร้านกาแฟเป็นอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันค่อนข้างรุนแรง เนื่องจากอำนาจต่อรองของลูกค้าสูง มีสินค้าทดแทนหลากหลาย และระดับการแข่งขันของผู้ประกอบการรายเดิมรุนแรง ผู้ประกอบการจึงต้องคิดกลยุทธ์ที่แตกต่างและสร้างความได้เปรียบเพื่อสร้างความจงรักภักดีให้แก่ลูกค้าค่ะ
ประโยชน์ของ Five Forces Model ต่อธุรกิจ
การนำ Five Forces Model ไปใช้มีประโยชน์กับธุรกิจมีหลายอย่างดังนี้ค่ะ
- ช่วยให้เข้าใจสภาพการแข่งขันและสภาพแวดล้อมของอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญในการวางแผนกลยุทธ์ทางธุรกิจค่ะ
- ระบุจุดแข็งและจุดอ่อนของบริษัทเมื่อเทียบกับคู่แข่งขัน ช่วยให้สามารถกำหนดกลยุทธ์เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันได้ รวมทั้งประเมินโอกาสและอุปสรรคต่าง ๆ ในการเข้าสู่อุตสาหกรรมใหม่ หรือการขยายสายผลิตภัณฑ์
- ช่วยในการตัดสินใจลงทุนในธุรกิจใหม่ โดยพิจารณาถึงแรงกดดันและอุปสรรคต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมนั้น
- ใช้เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์และประเมินความน่าสนใจของธุรกิจในการควบรวมหรือซื้อกิจการค่ะ
- ทำให้ธุรกิจเข้าใจธุรกิจของตัวเองมากยิ่งขึ้น ช่วยให้สามารถวางแผนรับมือ และ ปรับกลยุทธ์ของธุรกิจไเ้ค่ะ
โดยสรุปแล้ว Five Forces Model เป็นเครื่องมือวิเคราะห์อุตสาหกรรมที่มีประโยชน์ในการกำหนดกลยุทธ์ทางธุรกิจ การประเมินโอกาสและความเสี่ยง รวมถึงการตัดสินใจในการลงทุนต่าง ๆ ค่ะ
ถ้าชอบ หรือ สนใจอยากอ่านบทความด้านการตลาดแบบนี้อีก ผู้เขียนฝากติดตามด้วยนะคะ หรือ ถ้าใครอยากให้ผู้เขียนนำมุมมองการตลาดแบบไหนมาเล่าให้ฟัง สามารถคอมเมนต์บอกกันได้เลยนะคะ
สำหรับนักอ่านที่ชอบ และ อยากอ่านบทความเกี่ยวกับการตลาดเพิ่มเติม รวมถึงข่าวสารด้านการตลาดต่าง ๆ สามารถติดตามได้จาก เพจการตลาดวันละตอน รวมไปถึงเว็บไซต์TwitterInstagramYouTube และ Blockdit ของการตลาดวันละตอนได้เลยนะคะ แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้าค่ะヽ(•‿•)ノ
บทความที่แนะนำให้อ่านเพิ่มเติมค่ะ
ทำความรู้จัก PESTEL Analysis คือ อะไร มีประโยชน์ต่อนักธุรกิจอย่างไร?
กลยุทธ์ SWOT วิเคราะห์ธุรกิจ เพื่อสร้าง Competitive Advantage