Programmatic Advertising คืออะไร? พร้อมตัวอย่างฉบับเข้าใจง่าย

Programmatic Advertising คืออะไร? พร้อมตัวอย่างฉบับเข้าใจง่าย

Programmatic Advertising คืออะไร? พร้อมตัวอย่างฉบับเข้าใจง่าย

Programmatic Advertising อธิบายอย่างง่ายคือเป็นการซื้อขายพื้นที่โฆษณาดิจิทัลในแบบอัตโนมัติและเรียลไทม์ โดยเบื้องต้นมักใช้ Algorithm เข้าช่วยเพื่อให้เกิดความเร็วและความแม่นยำในการเลือกและวางโฆษณาในแต่ละช่วงเวลา โดยระบบจะเลือกโฆษณาที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายและลูกค้าโดยอัตโนมัติ

ใช่ค่ะ การใช้ Programmatic Advertising นั้นค่อนข้างสะดวกสบายและเหมาะสมกับธุรกิจที่ต้องการเพิ่มยอดขายหรือสร้างความรู้จักกับลูกค้าใหม่ ๆ เพราะตอนนี้ใคร ๆ ก็ออนไลน์จริงไหมคะ การซื้อของบนโลกออนไลน์ก็ไม่ใช่เรื่องไกลตัวเท่าเมื่อก่อนแล้ว

โดยการซื้อขายโฆษณาดังกล่าวจะมีคน 2 กลุ่มที่เกี่ยวข้องโดยตรงคือ Publisher และ Advertiser / Seller

  • Publisher คือเว็บไซต์หรือแอปที่มีพื้นที่โฆษณา รอขายให้เหล่าแบรนด์หรือผู้ขายสินค้าต่าง ๆ มาจับจองพื้นที่โฆษณา
  • Advertiser / Seller  คือบริษัท แบรนด์ หรือผู้ขายที่มีสินค้า เช่น KFC Mc Pizza มาเก๊*88* (ไม่ใช่ละ) ที่อยากได้พื่นที่โปรโมตสินค้าและบริการ ต้องการอาศัยพื้นที่ของ Publisher นั้น ๆ

โดยผ่านโฆษณารูปแบบต่าง ๆ หากใครนึกภาพไม่ออก เรามาดูตัวอย่าง 5 รูปแบบที่ราคุ้นตากันเป็นอย่างดีกันต่อเลยค่ะ

5 Key types ของ Programmatic Ads

1. Display ads:

Programmatic Advertising

อย่างโฆษณาที่อยู่ในส่วนหัว ส่วนท้าย และแถบด้านข้างของไซต์ค่ะ สามารถกำหนด demographics, geographic regions รวมทั้ง interests ของกลุ่มเป้าหมายได้อีกด้วย หลาย ๆ คนอาจจะเห็นโฆษณาแบบนี้ว่าแอบน่ารำคาญเพราะส่วนมากเว็บอื่น ๆ จะเจอเป็นเว็บพนันบ้างล่ะ แต่ในเชิงประสิทธิภาพแล้ว Display ads ค่อนข้างเป็นที่นิยมเพราะสามารถ reach potential customers ได้จริงนั่นเองค่ะ

2. Video ads:

Programmatic Advertising

ตัวอย่างโฆษณาเหล่านี้มักจะอยู่ก่อนวิดีโอเริ่มต้น (ตอนต้น) ระหว่างวิดีโอ (ตอนกลาง) หรือเมื่อวิดีโอจบ (ตอนท้าย) เป็นรูปแบบ short form มีเนื้อหาไม่กี่วินาที

ข้อแนะนำคือ หากเราจะใส่โฆษณาสั้น ๆ ระหว่างคลิปนุ่นว่าคนที่อยากสนับสนุนเราจริง ๆ คงไม่ถึงขนาดรอ 10 วิไม่ได้ค่ะ เราควรเลือกโฆษณาที่มีความเกี่ยวข้องกับคอนเทนต์ซักหน่อย เพื่อไม่ให้ขัด Mood คนดูเกินไป หรืออยู่ในจังหวะที่พักอารมณ์พอดี เปลี่ยนฉาก ระหว่างเดินทาง เป็นต้น เพราะปัจจุบันคนเคยชินกับโฆษณาบนสื่อดิจิทัล และเข้าใจว่าเป็นแหล่งรายได้นึงที่จะทำให้เจ้าของคลิปได้รับการสนันสนุนรูปแบบหนึ่ง เพราะผู้บริโภคเข้าถึงสื่อดิจิทัลได้ง่ายปลายนิ้วกว่าเมื่อก่อนมากเลยค่ะ

3. Social ads:

โฆษณาจะแสดงโดยอัตโนมัติบนโซเชียลมีเดีย โดยใช้ข้อมูลของแพลตฟอร์มนั้น ๆ ที่เรารู้จักกันดีค่ะบน​ Facebook IG Twitter ซึ่งเราควรระบุ demographics, interests และ behavior รวมทั้งเลือกรูปแบบโฆษณาให้มีความหลากหลายเข้าไว้ ที่ฮิต ๆ กันก็โฆษณาแบบรูปภาพ โฆษณาแบบวิดีโอ โฆษณาแบบภาพสไลด์ Carousel Ads เพื่อสร้างแคมเปญโฆษณาที่น่าดึงดูด ที่สำคัญคือ สามารถกระตุ้น interaction และคำสั่งซื้อกลับมาได้ค่ะ จะใส่กล่องข้อความอัตโนมัติเข้าไปด้วยก็ได้นะคะ

4. Audio ads:

อย่างโฆษณาบน audio content ที่นิยมกันเช่นบน Podcasts เอยเราก็มีลูกเล่นได้หลายแบบ จะเปิดตั้งแต่ช่วงแรกหรือระหว่าง แนวทางคล้ายกับ Video Ads เลยค่ะ บอกเลยว่าข้อดีอย่างหนึ่งของ Audio ads คือผู้ฟังที่กำลังใช้สมาธิเลยโฟกัสมาที่เสียง ทำให้มีแนวโน้มที่จะให้ความสนใจกับโฆษณานั้นได้ดีไม่แพ้รูปแบบอื่น ๆ เลย

5. Native ads:

อย่างที่นักการตลาดทราบกันดีว่า Native ads คือรูปแบบของโฆษณาที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้มีความกลมกลืน และกลมกล่อมมากที่สุดไปกับคอนเทนต์ เป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติมากที่สุด รูปแบบที่ทุกคนน่าจะเคยเห็นมีดังนี้ค่ะ

  1. Sponsored content : โดยมีความคล้ายคลึงกับคอนเทนต์ที่เราเข้ามาอ่านหรือใช้บริการ
  2. In-feed ads : เช่น โฆษณาที่ปรากฏในฟีดข่าวของโซเชียลมีเดีย
  3. Custom ads : โฆษณาที่ถูกออกแบบมาเฉพาะตามแบรนด์หรือผลิตภัณฑ์นั้น ๆ

โดยทั้ง 5 รูปแบบเป็นเพียงแบบหลัก ๆ ยังมี SEO และอื่น ๆ ที่สามารถใช้ได้และเหมาะกับยุคนี้อีกนะคะ นักการตลาด นักโฆษณาส่วนใหญ่ก็ใช้รูปแบบเหล่านี้ผสม ๆ กัน นุ่นแนะนำให้เลือกปรับตามจุดประสงค์ของคอนเทนต์ และเหมาะกับกลุ่มเป้าหมายนะคะ

ขั้นตอนที่มักเกิดขึ้นเมื่อทำ Programmatic Advertising

  1. มี user เข้าเว็บที่มีระบบ Programmatic Advertising
  2. เว็บไซต์จะส่งคำขอ (request) ไปยัง Ad Exchange เพื่อขอพื้นที่โฆษณา
  3. Ad Exchange จะส่งข้อมูลของผู้ใช้งาน (เช่นประวัติการเรียกใช้งานเว็บไซต์ ตำแหน่งที่อยู่ และข้อมูลอื่น ๆ) ไปยังผู้ลงโฆษณาที่สนใจการเป้าหมายลูกค้าที่มีลักษณะคล้ายกัน
  4. ผู้ลงโฆษณาจะประมูลราคาต่อคลิก (CPC) หรือราคาต่อพันแสนการแสดงโฆษณา (CPM) ในเวลาเรียลไทม์เพื่อได้รับพื้นที่โฆษณาบนเว็บไซต์นั้น
  5. Ad Exchange จะเลือกผู้ลงโฆษณาที่ประมูลราคาสูงสุด และส่งโฆษณาของผู้ลงโฆษณาไปแสดงบนเว็บไซต์ของผู้ใช้งาน ภายในไม่กี่วินาที

ดังนั้นผู้ใช้งานจะได้เห็นโฆษณาที่เกี่ยวข้องกับลักษณะความต้องการและความสนใจของตนเอง และผู้ลงโฆษณาจะได้เลือกเป้าหมายลูกค้าที่ต้องการและมีความเหมาะสมกับสินค้าหรือบริการของตนเอง ดังนั้น Programmatic Advertising จึงช่วยลดความสับสนในการโฆษณาและเพิ่มประสิทธิภาพในการตลาดของธุรกิจ

ซึ่งจริง ๆ หลักการทำงานของ Programmatic Advertising สามารถแตกแขนงได้อีกมากกว่า 4-5 แบบเลย และมีความน่าสนใจอยู่ไม่น้อยนะคะ จะมาเขียนอย่างละเอียดให้อ่านกันแน่นอนในตอนหน้าค่ะ

ตัวอย่างแบรนด์ที่เรามักเห็น Programmatic Advertising ในไทย

  1. Shopee Lazada – หนึ่งในแพลตฟอร์มการค้าออนไลน์ E-commerce ที่ใช้ Programmatic Advertising โดยเฉพาะในช่วงโปรโมชั่นใหญ่ เช่น 9.9, 11.11 Big Sale, Lazada 12.12 Grand Year End Sale
  2. Grab – เพื่อโฆษณา GrabFood, GrabCar และ GrabPay
  3. AIS – AIS เพื่อโฆษณาแพ็กเกจโทรศัพท์มือถือและบริการอินเทอร์เน็ตต่าง ๆ

แนะนำให้ทำด้วย Programmatic Ads Platforms จะได้ผลดีไม่น้อย

มีสถิติว่า 76% ของผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดใช้การโฆษณาแบบเป็นโปรแกรมในระดับหนึ่ง มากกว่า 90% ของ Digital Display Ads ถูกกำหนดให้เป็นระบบ Programmatic ดังนั้นหากนักการตลาดหรือ Advertiser ใช้ Programmatic Ads Platforms มาช่วยก็จะมีประโยชน์มาก ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มอัตรา reach ให้แม่นยำเพราะสามารถ detailed target ได้ด้วย พร้อมทั้งปรับความยืดหยุ่นได้ตามต้องการ

Programmatic advertising จะช่วยให้การเข้าถึง real-time ขึ้น และเจาะจงได้ลึกขึ้น 73% ของนักการตลาดเชื่อว่าการกำหนด audience targeting เป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดสำหรับการทำ programmatic ads สำหรับตัวนุ่นคิดว่าน่าสนุกตรงนี้เราขายสินค้าแบบนับสต็อกได้เลยค่ะ นอกจากจะเร่งปิดการขายได้แล้วโฆษณาเราไม่เก่าด้วย พอมีคำสั่งซื้อ หรือแฟรชเซลเราก็ขึ้นนาฬิกานับถอยหลังเลย

เพราะฉะนั้น Programmatic Ads Platforms เป็นเครื่องมือสำคัญในการโฆษณาสมัยใหม่ค่ะ ทำงานเป็นตัวกลางระหว่าง Publishers และ Sellers ทำให้ทั้งสองฝ่ายสามารถต่อรองราคาสำหรับโฆษณาได้แบบเรียลไทม์

ด้วยการรวบรวมข้อมูลจากเว็บไซต์ต่าง ๆ มากมาย บางแพลตฟอร์มก็มีการคำนวนเพื่อให้เราวางแผนด้านงบประมาณโฆษณากับโฆษณาที่เหมาะสมมากกว่า

ตอนนี้โลกของการโฆษณาออนไลน์มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา หมุนเร็ว ไปไว ดังนั้นการทำงานกับแพลตฟอร์มโฆษณาแบบเป็นโปรแกรม ก็จะทำให้คุณตามคู่แข่งหรือแซงหน้าคู่แข่งได้เร็วกว่าค่ะ

เพราะอย่างไรก็ตามการตลาดและโฆษณาต่างก็มีเป้าหมายเพื่อให้ลูกค้าเห็นโฆษณาเยอะ ๆ และถูกที่ถูกกลุ่มให้มากที่สุดใช่ไหมล่ะคะ การตั้งราคาโฆษณาจะถูกพิจารณาจากจำนวนการคลิกหรือการแสดงโฆษณาที่เกิดขึ้นจริง ๆ โดยประโยชน์ของ Programmatic Ads คือการลดเวลาและค่าใช้จ่ายในการติดต่อกันระหว่าง Publishers และ Advertiser / Seller เป็นต้นค่ะ

Programmatic Ads ยังคงเป็นเทรนด์ที่สำคัญ ช่วยลดต้นทุนการทำการตลาดดิจิทัล ยิงโฆษณาให้ถูกกลุ่มและถูกที่

ในปี 2023 นี้ Programmatic Advertising ยังคงเป็นเทรนด์ที่สำคัญและเป็นที่ต้องการของธุรกิจที่ต้องการเข้าถึงลูกค้าค่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแบรนด์ที่มีลูกค้าติดการใช้อินเทอร์เน็ตงอมแงม นอกจากนี้ การใช้ Programmatic Advertising ยังช่วยลดต้นทุนในการทำการตลาดดิจิทัลได้อีกด้วย

สิ่งที่อยากฝากไว้เป็นหัวใจสำคัญคือ Publisher ต้องมีการเก็บสถิติและข้อมูลของผู้เข้าชมเว็บไซต์ว่าเป็นใครยังไงเพื่อเตรียมรอไว้ตอบโจทย์คนที่มาซื้อพื้นที่โฆษณา และสำหรับคนที่เป็น Advertiser ต้องมีการเก็บ Audience Insight ของตัวเองเบื้องต้นและควรเริ่มให้ความสำคัญกับ First Party Data เพื่อเลือกลงโฆษณากับ Publisher ที่ใช่สำหรับเรา พื้นที่ที่จะพาเราไปหาลูกค้าได้จริงนั่นเองค่ะ

หากใครอยากอ่านบทความเจาะลึกหลักการของ Programmatic Advertising อย่างละเอียด คอมเมนต์เข้ามาขอพาร์ทสองกันเยอะ ๆ ได้เลยนะคะ

สำหรับวันนี้ต้องขอเล่าให้ฟังกันเท่านี้ และแนะนำว่าควรใช้ Programmatic Advertising อยู่หากคุณต้องการเพิ่มประสิทธิภาพการตลาดและลดต้นทุนในการโฆษณาดิจิทัลได้หากใช้ให้เหมาะค่ะ

บทความที่แนะนำให้อ่านต่อ

Source

Noon Inch

นุ่น Business Data Research Analyst Specialist | Martech 🙋🏻‍♀️💻ใช้ชีวิตอยู่กับ Social Listening Tools เกือบทุกวันมาร่วม 6 ปี 🙋🏻‍♀️📈ทำงานด้าน Social Data Research ให้กับหน่วยงานรัฐและแบรนด์เอกชน 6 ปี 🙋🏻‍♀️✈️ชอบทำงานและชอบใช้เงิน แล้วก็เป็น K-POP🇰🇷 & Salmon Lover 🍣

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *