เช็กลิสต์ 15 ขั้นตอนตรวจสอบเว็บไซต์ ช่วยปรับปรุงอันดับ SEO ได้แน่ (Ep.2)
กลับมาต่อกันกับ Ep.2 แล้วนะคะ หลังจากที่แบมได้บอกขั้นตอนตรวจสอบเว็บไซต์ เพื่อช่วยปรับปรุงอันดับ SEO ใน Ep.1 ไปแล้ว 7 ขั้นตอน
มีใครลองเอาวิธีเหล่านี้ไปตรวจสอบและปรับปรุงเว็บไซต์กันดูบ้างหรือยังคะ?
วันนี้แบมก็มีอีก 8 ขั้นตอนที่เหลือมาให้ชาวการตลาดวันละตอนได้เช็กกันแบบต่อเนื่อง มาตามดูกันค่ะว่าวิธีที่เหลือนั้นมีอะไรบ้าง
ขั้นตอนตรวจสอบเว็บไซต์ ช่วยปรับปรุงอันดับ SEO
ใครเข้ามาอ่านบทความนี้อาจจะสับสนได้ว่าทำไมขึ้นมาก็ขั้นตอนที่ 8 เลยล่ะ?
เพราะฉะนั้นถ้าใครยังไม่ได้อ่านตอนแรก สามารถเข้าไปคลิกอ่านได้ ที่นี่ เลยนะคะ
ขั้นตอนที่ 8 – วิเคราะห์การเข้าชมแบบออร์แกนิก
การเข้าชมแบบออร์แกนิกคือจำนวนผู้เข้าชมที่มายังเว็บไซต์โดยที่เราไม่ต้องจ่ายค่าโฆษณา
ซึ่งการเข้าชมประเภทนี้เป็นตัวบ่งชี้ที่มีค่าว่าไซต์ของเรานั้นได้รับความนิยมมากแค่ไหน
ในขณะเดียวกันก็เป็นปัจจัยที่ช่วยวัดความในเรื่องของความเกี่ยวข้องและคุณภาพของคอนเทนต์ต่างๆ ในเว็บไซต์ ตลอดจนประสิทธิภาพของกลยุทธ์ SEO ด้วย
ซึ่งวิธีที่ดีที่สุดที่ช่วยในการเพิ่มการเข้าชมแบบออร์แกนิกคือ การวิเคราะห์คีย์เวิร์ดทั้งของเราและคู่แข่ง จากนั้นจึงค่อยปรับเพิ่มคำหลักให้มีจำนวนและตำแหน่งที่เหมาะสม รวมถึงต้องไม่ลืมตรวจสอบชื่อ URL และคำอธิบายเมตา ให้ตอบโจทย์ตรงใจกับการค้นหาของคนด้วย
ขั้นตอนที่ 9 – วิเคราะห์ความเป็น Mobile Friendly
ในโลกที่เราใช้มือถือเป็นปัจจัยที่ 5 ในชีวิตประจำวันอย่างนี้ ยิ่งเว็บไซต์ของเรามีความเป็น Mobile Friendlyมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งแสดงในผลการค้นหาของ Google มากขึ้นเท่านั้น
ซึ่งก่อนหน้านี้ทาง Google เองก็ได้ออกมาประกาศด้วยเช่นกันว่า Mobile Friendly
เป็นปัจจัยหนึ่งที่ Google นำมาใช้ในการพิจารณาด้วย เนื่องจากการเข้าชมเว็บไซต์มากกว่าครึ่งมาจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับผู้ใช้งานเหล่านี้ด้วย
โดยเราสามารถเข้าไปประเมินว่าเว็บไซต์ของเราเป็นมิตรกับมือถือมากแค่ไหน ด้วยการป้อน URL เพื่อทดสอบและตรวจสอบคะแนนเพื่อใช้เป็นแนวทางในการแก้ไขเบื้องต้นได้
ขั้นตอนที่ 10 – แก้ไขลิงก์เสีย
ลิงก์เสียนั้นถือเป็นหนึ่งในปัญหาที่พบบ่อยที่สุดกับเว็บไซต์เลยทีเดียวค่ะ โดยถ้าลองไล่เช็กดูดีๆ จะพบว่าในเว็บไซต์ส่วนใหญ่จะมีลิงก์เสียอยู่อย่างน้อย 2-3 ลิงก์ เลยทีเดียว
ลิงก์เสียนี้ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นเนื่องจากการอัปเดตเว็บไซต์ แล้วมีการเปลี่ยนแปลงเนื้อหา หรือมีหน้าเว็บที่ถูกลบ เป็นต้น ซึ่งการมีลิงก์เสียในบทความหรือในหน้าเว็บนั้นจะส่งผลเสียต่อ ประสบการณ์โดยรวมของผู้เข้าชม จนทำให้เกิดการคลิกปิดหรือกดออกจากเว็บไซต์ได้ด้วย
นอกจากนี้ ลิงก์เสียยังส่งผลต่อการจัดอันดับเว็บไซต์ด้วย เนื่องจาก Google จะอาศัยลิงก์เหล่านี้สำหรับ PageRank และ anchor text ซึ่งถ้าหากลิงก์เหล่านี้เสียก็จะทำให้ Google หาไม่เจอ
ขั้นตอนที่ 11 – ปรับปรุงอันดับการค้นหาด้วย HTTPS URL ที่ปลอดภัย
HTTPS URL ที่ปลอดภัยนั้นจะสามารถเพิ่มความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ได้ ดังนั้น Google จึงแนะนำให้ใช้ HTTPS มากกว่า ลองสังเกตดูง่ายๆ ได้จากเวลาที่เราเข้าใช้งาน Chromeแล้วเว็บไซต์ที่ไม่มี HTTS ก็จะมีการขึ้นเตือนด้านหน้าว่าเว็บไซต์นี้ Not Secure ด้วย
นอกจากนี้ HTTS ก็มีผลต่อ SEO ด้วย เนื่องจาก Goolge เคยประกาศไว้ว่า หากใช้งาน HTTS กูเกิลจะเพิ่มคะแนนเว็บไซต์ ในการจัดลำดับ Ranking ให้นั่นเอง
ขั้นตอนที่ 12 – ตรวจสอบปริมาณและความสม่ำเสมอของเนื้อหา
อีกกลยุทธ์หนึ่งที่ทำให้ SEO ประสบความสำเร็จก็คือปริมาณและความสม่ำเสมอการเขียนบล็อก และเพิ่มเติมเนื้อหาที่สดใหม่ลงในเว็บไซต์อย่างสม่ำเสมอ ก็จะช่วยเพิ่มคุณภาพของลิงก์และเพิ่มระดับคะแนนของเว็บไซต์หลักได้ด้วย
ซึ่งการตรวจสอบปริมาณและความสม่ำเสมอของเนื้อหานั้นจะช่วยให้เราสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของเนื้อหาและจัดลำดับความสำคัญของงานได้ด้วย
ขั้นตอนที่ 13 – มองหาช่องว่างของเนื้อหา
ช่องว่างของเนื้อหาในที่นี้นั้นหมายถึงหัวข้อที่ผู้ใช้งาน หรือกลุ่มเป้าหมายของเรากำลังมองหาแต่เว็บไซต์ดันมีเนื้อหาไม่ครอบคลุม เราจึงจำเป็นต้องเติมช่องว่างของเนื้อหา เพื่อช่วยให้ประสบการณ์ผู้ใช้งานดีขึ้นและช่วยเพิ่มการเข้าชมแบบออร์แกนิก
เราสามารถค้นพบช่องว่างของเนื้อหาโดย การวิเคราะห์คีย์เวิร์ดก่อนเลยเป็นอันดับแรก เพราะบางทีคีย์เวิร์ดของเราอาจอยู่ในอันดับ แต่ไม่สูงเท่าที่เราต้องการ เพราะฉะนั้นให้ลองเช็กดูว่าคีย์เวิร์ดไหนมีประสิทธิภาพสูง โดยอาจจะใช้เป็น Longtail Keyword เนื่องจากคำหลักเหล่านี้มักมีการแข่งขันที่ต่ำกว่า จึงทำให้สามารถทำอันดับได้ง่ายกว่าคำที่มีการแข่งขันสูง
นอกจากนี้เราอาจจะลองดูคีย์เวิร์ดใกล้เคียงเพื่อใช้เป็นสารตั้งต้นในการคิดหัวข้อคอนเทนต์ใหม่ๆ ก็ได้เช่นกัน
ขั้นตอนที่ 14 – วิเคราะห์คู่แข่ง
การวิเคราะห์คู่แข่งนั้นจะช่วยให้เราเข้าใจการแข่งขันและมองเห็นโอกาสที่เราสามารถใช้เพื่อทำอันดับให้สูงกว่าพวกเขาได้
นอกจากนี้ยังช่วยให้เราเห็นว่าคู่แข่งของเรากำลังทำอะไรอยู่ จุดแข็งและจุดอ่อนของพวกเขาคืออะไร ในขณะเดียวกันก็ช่วยให้เราสามารถวาง Positioning ของสินค้าและบริการของเราเพื่อให้มี Traction ที่ดีขึ้นด้วย
สำหรับปัจจัยที่ใช้ในการวิเคราะห์มีดังนี้
- คีย์เวิร์ดที่คู่แข่งของใช้
- จำนวน Backlink
- คุณภาพของ Backlink
- การมีส่วนร่วมกับสื่อสังคมออนไลน์ (เช่น การถูกใจ Facebook ผู้ติดตาม Twitter เป็นต้น)
- ความเร็วของเว็บไซต์
- การตอบสนองของมือถือ
โดยเราสามารถวิเคราะห์คู่แข่งได้โดยใช้เครื่องมือต่างๆ เข้ามาช่วย เช่น Ubersuggest หรือ SproutSocial เพียงแค่ใส่ URL ของคู่แข่งแล้วเลือกค้นหา จากนั้นก็เลือกดูเพื่อวิเคราะห์ตามปัจจัยต่างๆ ข้างต้น
ขั้นตอนที่ 14 – ใช้เครื่องมือ Website Crawl Tool
Website Crawl Tool หรือโปรแกรมรวบรวมข้อมูลเว็บไซต์ หรือที่รู้จักกันว่าเว็บสไปเดอร์ เป็น bot รวบรวมข้อมูลเว็บของ Google มีหน้าที่หลักๆ คือการเข้าไป Crawling (เก็บข้อมูล) ของเว็บไซต์หรือบล็อกต่างๆ เพื่อใช้ในการทำดัชนี (Index)
ซึ่งเราสามารถใช้เครื่องมือ เช่น Semrush เพื่อใช้ในการตรวจสอบปัญหาต่างๆ ก่อนที่ Google จะส่ง bot มาเก็บข้อมูล
วิธีใช้เครื่องมือรวบรวมข้อมูลเพื่อค้นหาปัญหา SEO มีดังนี้
- กำหนดการตั้งค่าพื้นฐาน
- กำหนดการตั้งค่าการรวบรวมข้อมูลและประเภทของโปรแกรมรวบรวมข้อมูลที่ต้องการใช้
- อนุญาตและไม่อนุญาต URL ตามสิ่งที่คุณต้องการให้บอทดู
- วิเคราะห์ข้อมูลและดูคะแนนความสมบูรณ์ของเว็บไซต์
อย่างที่เรารู้กันว่า SEO นั้นมีประโยชน์มาสำหรับทุกธุรกิจ ดังนั้นถ้าเราไม่ตรวจสอบหรือปรับปรุงเว็บไซต์อย่างสม่ำเสมอ ก็จะทำให้ Traffic ที่เข้าเว็บไซต์ก็จะน้อยลง การทำอันดับก็จะยากขึ้น และโอกาสในการขายก็จะน้อยลงด้วยเช่นกัน
เพราฉะนั้น ธุรกิจไหนที่มีเว็บไซต์ก็อย่าลืมนำ checklist เหล่านี้ไปใช้ในการปรับปรุงคุณภาพเว็บไซต์เพื่อปรับปรุงอันอับ SEO ด้วยนะคะ
สำหรับใครที่ยังไม่ได้อ่านตอนแรก ก็สามารถไปติดตามดูได้ในบทความ ขั้นตอนตรวจสอบเว็บไซต์ เพื่อช่วยปรับปรุงอันดับ SEO Ep.1
ส่วนใครที่อยากเรียนรู้เกี่ยวกับกลยุทธ์การทำตลาดในรูปแบบอื่นๆ แนะนำให้ไปอ่านเพิ่มเติมได้ ที่นี่
ในบทความหน้าแบมจะมีอะไรมาอัปเดตอีกบ้าง สามารถติดตามได้ผ่านเพจการตลาดวันละตอน รวมถึง Twitter และ Blockdit ของการตลาดวันละตอนนะคะ