7Ps Marketing ฉบับ Data Research Insight ให้ Marketer ใช้งานได้จริง

7Ps Marketing ฉบับ Data Research Insight ให้ Marketer ใช้งานได้จริง

แม้ธุรกิจของคุณจะมีกำไรและประสบความสำเร็จอยู่แล้ว แต่เหนือฟ้าก็ยังมีฟ้าเสมอ เพราะในตลาดสิ่งหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือ “การแข่งขัน” ตอนนี้มีสินค้าและบริการที่เหมือนกันอยู่ทั่วตลาดเลย แล้วเรานักการตลาดจะทำอย่างไรดีละ ? ที่สร้างความโดดเด่นให้กับแบรนด์ ? วันนี้ กลยุทธ์ 7Ps Marketing Mix จะให้คำตอบกับทุกคนเอง

หลายคนคุ้นเคยกับกลยุทธ์ 4Ps พื้นฐานของกลยุทธ์การตลาด แต่ปัจจุบัน 4Ps ไม่เพียงพอที่จะตอบโจทย์ผู้บริโภคในยุคนี้ และนักการตลาดคงได้เรียนรู้ 7Ps มากันแล้ว แต่ด้วยเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทกับชีวิตเรามากขึ้น สูตร 7Ps แบบเดิม ๆ ที่หลายคนเคยเรียนมาอาจใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป วันนี้ผู้เขียนเลยจะมาแชร์ความรู้ กลยุทธ์ 7Ps ของ Brian Tracy ให้ทุกท่านอ่าน บวกกับนำการทำ Data Research Insight มาปรับใช้กับ 7Ps กันค่ะ

7Ps

ทวนบทเรียน MARKETING MIX กันก่อน

Marketing Mix คือ ชุดเครื่องมือทางการตลาด หรือ ส่วนประสมทางการตลาด ซึ่งธุรกิจสามารถนำมาปรับใช้เพื่อสร้างกลยุทธ์ทางการตลาดที่ทรงพลัง ช่วยให้บรรลุเป้าหมายทางการตลาดและทางธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้นเอง

แล้ว 4Ps Marketing Mix คือ ส่วนประสมทางการตลาด ที่ใช้เป็นแนวทางให้กับแบรนด์ สร้างผลิตภัณฑ์ที่มีมาตรฐานและตรงกับความต้องการของกลุ่มผู้บริโภค ประกอบไปด้วย ผลิตภัณฑ์ (Product) ราคา (Price)  สถานที่จัดจำหน่าย (Place) การส่งเสริมการตลาด (Promotion) และยังมี 4Cs 4Es และ 4Ds ให้เข้าไปอ่านเพื่อรู้ลึกถึงเรื่อง MARKETING MIX กันค่ะ

 7Ps

7Ps กลยุทธ์การตลาด ฉบับบวก Data Research Insight

การที่แบรนด์มีกลยุทธ์ที่เหนือชั้นถือเป็นหัวใจสำคัญที่จะนำพาแบรนด์ไปสู่ความสำเร็จ กลยุทธ์ 7Ps Marketing Mix บวกกับ Data Research Insight จะเป็นเครื่องมือที่โครตปังให้นักการตลาดนำพาแบรนด์ไปจึงจุดนั้นได้ ประกอบด้วย 7 องค์ประกอบ ดังนี้

Product คือ สินค้า หรือบริการ หัวใจสำคัญของธุรกิจ สินค้าหรือบริการที่ดีจะตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ตรงจุด สร้างความพึงพอใจ และจูงใจให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ สินค้าหรือบริการที่ดี ต้องตอบสนองความต้องการของลูกค้า ใช้งานได้จริง แตกต่างจากคู่แข่ง แต่จะทำแบบนั้นได้อย่างไร

บ้างที Product หรือ สินค้า ไม่ได้หมายถึงแค่สิ่งของหรือบริการที่จับต้องได้เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงภาพลักษณ์ของสินค้าที่สื่อถึงตัวตนของแบรนด์ อีกด้วย กลยุทธ์นี่เมื่อนักการตลาดนำไปปรับใช้ ต้องเริ่มต้นจากการเข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้ง นักการตลาดต้องทำการวิจัย Data Research Insight และสร้าง Persona ของลูกค้า เพื่อตอบคำถามเหล่านี้

  • ลูกค้าของเราคือใคร?
  • ลูกค้าของเรามีความชอบแบบไหน?
  • พฤติกรรมการซื้อของลูกค้าเป็นอย่างไร?
  • ลูกค้าของเรามีความต้องการอะไร?
  • ลูกค้าของเราเคย Feedback อะไรเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการของเราบ้าง?

Data Research Insight จะบอกข้อมูลเหล่านี้ จะช่วยนักการตลาดพัฒนาสินค้าให้ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากยิ่งขึ้น ส่งผลต่อ ความพึงพอใจ และ ความภักดี ของลูกค้าที่มีต่อแบรนด์ รับรองว่านำ Data มาใช้กับกลยุทธ์นี้ จะทำให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำแน่นอน

2. Price (ราคา)

Price คือ ราคา ราคาเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้า ราคาที่ดีจะต้องสร้างสมดุลระหว่าง ต้นทุน กำไร และ ความพึงพอใจของลูกค้า แบรนด์ต้อง ดูในส่วนต้นทุนการผลิตหรือการให้บริการ ราคาของคู่แข่ง กลุ่มเป้าหมายที่มีกำลังซื้อ คุณภาพของสินค้าหรือบริการ

การตั้งราคาก็ส่งผลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคเช่นเดียวกันเพราะผู้บริโภคจะหาราคาที่ที่เต็มใจจะจ่าย แล้วนักการตลาดจะรู้ได้อย่างไรว่าราคาไหน ? นี่แหละค่ะสิ่งที่โรงเรียนไม่ได้สอนมาว่าต้องทำอย่างไร วันนี้ผู้เขียนเลยแนะนำ การนำ Data Research Insight ในเรื่องราคาที่ผู้บริโภคจะพึงพอใจ เพื่อปรับใชได้จริง เราควรทราบ Data ดังนี้

  • ข้อมูล ราคา ของคู่แข่งเพื่อกำหนดกลยุทธ์การตั้งราคา
  • ข้อมูล เรทราคาไหน ? ที่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายจ่ายไหว
  • กลุ่มเป้าหมายของเรา มีรายได้เท่าไหร่ ?
  • ส่วนลดและโปรโมชั่นแบบไหนที่เขาชอบ ?

Data Insight นี้เพื่อกำหนดกลยุทธ์การตั้งราคาให้กับแบรนด์ เพื่อจะได้รู้ว่าควรตั้งราคาแบบไหนให้ดีที่สุด โดยอ้างอิงจาก Data เพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า

3. Place (สถานที่)

Place คือ สถานที่ เป็นส่วนผสมสำคัญอันดับหนึ่งในการวางกลยุทธ์การตลาดของแบรนด์ ในอดีต Place อาจหมายถึงหน้าร้าน ห้างสรรพสินค้า ร้านสะดวกซื้อ ซึ่งล้วนเป็นช่องทางการจัดจำหน่ายแบบ Offline

แต่ปัจจุบัน เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป ส่งผลต่อพฤติกรรมของลูกค้า ผู้คนหันมาช้อปปิ้งออนไลน์มากขึ้น Place จึงไม่ใช่แค่สถานที่อีกต่อไป แต่หมายถึง ช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าและบริการ ทั้งแบบ Online และ Offline ที่ลูกค้าสามารถเข้าถึงได้

กลยุทธ์ Place ที่ดี จะช่วยให้แบรนด์เข้าถึงลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มโอกาสในการขาย และสร้างการจดจำแบรนด์ Data Research Insight ที่แบรนด์ต้องรู้ในข้อนี้คือ

  • ลูกค้าของแบรนด์อยู่ที่ไหน ?
  • ลูกค้าชอบใช้ช่องทางการจัดจำหน่ายแบบไหน ?
  • สินค้าเหมาะกับการขายผ่านช่องทางใด ?
  • คู่แข่งใช้ช่องทางการจัดจำหน่ายแบบไหน ?

เมื่อเราทราบ Data และนำมาปรับใช้ Place ให้หลากหลาย จะช่วยให้แบรนด์เข้าถึงลูกค้าได้กว้างขึ้น เพิ่มโอกาสในการขาย และสร้างการจดจำแบรนด์ ธุรกิจควรติดตามเทรนด์การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมลูกค้า และปรับกลยุทธ์ Place ให้เหมาะสมอยู่เสมอ

ตัวอย่างการใช้ Placec เช่น เปิดร้านอาหารแบบ Online ผ่าน GrabFood หรือ Foodpanda , ร้านเสื้อผ้าขายสินค้าผ่านเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ เช่น Shopee หรือ Lazada

4. Promotion (การส่งเสริมการขาย)

Promotion คือ การส่งเสริมการขาย ตอนเรียนผู้เขียนเข้าใจว่าเป็นการ ลดราคา แลก แจก แถม ซึ่งเป็นวิธีดึงดูดใจลูกค้าในช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่ Promotion ต้องควบคู่ไปกับ กลยุทธ์การสื่อสารที่ดี หมายถึงวิธีการที่แบรนด์ใช้สื่อสารกับลูกค้าที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับสินค้าและบริการของแบรนด์

การส่งเสริมการขายเป็นการสื่อสารกับลูกค้าเพื่อสร้างการรับรู้ กระตุ้นความสนใจ และจูงใจให้ลูกค้าซื้อสินค้าหรือบริการกลยุทธ์การส่งเสริมการขาย จะถูกกำหนดขึ้นตาม Segmentation ของลูกค้าที่แบรนด์ได้กำหนดไว้ในส่วน Product ดังนั้น นักการตลาดจึงต้อง

  • หา Data Insight เพื่อเข้าใจความต้องการ พฤติกรรม และปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้า
  • ตั้งเป้าหมายจากการจัดโปรโมชัน เช่น เพิ่มยอดขาย สร้างการรับรู้แบรนด์ ดึงดูดลูกค้าใหม่
  • หาเครื่องมือโปรโมชันที่เหมาะสม เช่น การลดราคา คูปอง ของแถม การประกวด การโฆษณา
  • หาว่า ช่วงเวลาไหนที่ลูกค้ามีแนวโน้มจะซื้อสินค้ามากที่สุด ?
  • วิเคราะห์ผลลัพธ์ของการจัดโปรโมชัน ว่าบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้หรือไม่ นำข้อมูลที่ได้มาปรับปรุงกลยุทธ์ในครั้งต่อไป

5. People (บุคลากร)

People คือ พนักงาน เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อ ประสบการณ์ที่ดี ของลูกค้าที่มีต่อแบรนด์ พนักงานทุกคนมีบทบาทสำคัญในการสื่อสารและสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า ทั้งในช่วงก่อน ระหว่าง และหลังการขาย

ในยุคนี้ การมีส่วนร่วมของพนักงานส่งผลต่อ การตัดสินใจซื้อของลูกค้า ลูกค้าคาดหวังที่จะได้รับบริการ ที่รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และเป็นมิตร ช่องทางการติดต่อที่หลากหลาย เช่น อีเมล แชทออนไลน์ โทรศัพท์ ล้วนส่งผลต่อความพึงพอใจของลูกค้าทั้งนั้น แบบการตอบข้อความที่รวดเร็วจะทำให้ตัดสินใจซื้อสินค้าได้เร็ว

ทั้งการให้ข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วน ช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ เมื่อมีปัญหา การแก้ปัญหาอย่างดีจะช่วยสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า และสร้างความภักดีต่อแบรนด์

กลยุทธ์ People ที่ดี แบรนด์ควร ฝึกอบรมพนักงาน พนักงานควรได้รับการฝึกอบรมให้มีความรู้เกี่ยวกับสินค้า เข้าใจความต้องการของลูกค้า และสามารถสื่อสารได้ ที่สำคัญต้องวัดผลและประเมินผลได้ ควรติดตามผลการทำงานของพนักงาน และนำ Data ที่ได้มาปรับปรุงกลยุทธ์ People ให้ดียิ่งขึ้น เพราะบุคลากรคือทรัพยากรที่มีค่าที่สุดของธุรกิจ

Business Customer CRM Management Analysis Service Concept. Relationship Management.

6. Process (กระบวนการ)

Process คืือ กระบวนการ หมายถึงวิธีการที่แบรนด์ใช้ในการทำงานเพื่อเข้าถึงและปรับใช้กลยุทธ์การตลาดกับสินค้าและบริการตั้งแต่กระบวนการพัฒนาสินค้า การทำ PR โปรโมทแบรนด์ ไปจนถึงการเข้าถึงลูกค้าผ่านช่องทางต่างๆ

Process ที่มีประสิทธิภาพ คือการทำ Data Research Insight เพื่อช่วยให้เข้าใจลูกค้า ได้อย่างลึกซึ้ง และสร้างประสบการณ์ลูกค้ (Customer Experience) ที่ดี

โดยกลยุทธ์ Process ที่ดี แบรนด์ต้อง

  • กำหนด Journey ของลูกค้า ระบุขั้นตอนต่างๆ ที่ลูกค้าผ่านในระหว่างการซื้อสินค้าหรือบริการ
  • นำ Data มาวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้า เพื่อจะได้ออกแบบให้พึงพอใจ
  • ออกแบบกระบวนการที่ตรงกับความต้องการ พัฒนา Process ที่ช่วยให้ลูกค้าใช้ได้ด้อย่างง่ายดาย
  • การทำ Research เก็บข้อมูลเพื่อพัฒนา ติดตามผลลัพธ์ของกระบวนการ และนำ Data ปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น

กลยุทธ์นี้ การออกแบบ เว็บไซต์และแอปพลิเคชันควรออกแบบให้ง่ายต่อการใช้งาน สวยงาม และตรงกับความต้องการของลูกค้า ประสบการณ์ผู้ใช้ (UX) ควรใช้งานง่าย สะดวก รวดเร็ว และตอบสนองต่อผู้ใช้ได้อย่างรวดเร็ว

7. Physical Evidence (หลักฐานทางกายภาพ)

Physical Evidence คือ หลักฐานที่จับต้องหรือพิสูจน์ได้ แต่ใน Marketing Mix นั้นแปลว่าประสบการณ์ที่จับต้องได้ที่ลูกค้าได้รับจากแบรนด์หรือสินค้านั้นเอง ประสบการณ์เหล่านี้ส่งผลต่อ Image ของแบรนด์ และสร้าง Customer Experience ที่ดี

  • การออกแบบบรรจุภัณฑ์ ดึงดูดความสนใจลูกค้าไหม ?
  • การตกแต่งหน้าร้าน บรรยากาศภายในร้านที่สะดวกสบายไหม ?
  • สินค้าหรือบริการที่มีคุณภาพตรงตามใจลูกค้าไหม ?
  • กิจกรรมที่ทำสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าไหม ?

เราต้องหา Data เหล่านี้เพื่อ เข้าใจความต้องการของลูกค้าว่า อะไรคือประสบการณ์ที่ลูกค้าให้ความสำคัญ และออกแบบ Physical Evidence ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า

7Ps

ปรับสูตร 7Ps ให้ทันสมัย BY Brian Tracy

เพราะเทคโนโลยี มีบทบาทสำคัญต่อโลกธุรกิจ กลยุทธ์การตลาด 7Ps แบบดั้งเดิมอาจใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป Brian Tracy Ceo ชื่อดัง ได้เสนอสูตร 7Ps ยุคดิจิทัล ที่ปรับปรุงจากสูตรดั้งเดิม 3 ข้อหลักๆ ดังนี้

1. Packaging มากกว่าแค่ความสวยงาม

Packaging ไม่ใช่แค่สิ่งห่อหุ้มสินค้า แต่เป็น ประสบการณ์แรก ที่ลูกค้าสัมผัสแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จ ต้องสร้าง Packaging ที่ดึงดูดความสนใจ และสะท้อน ภาพลักษณ์ ของแบรนด์

ทั้งฟังก์ชันการใช้งานง่าย สะดวก ปลอดภ ดึงดูดสายตา น่าสนใจ ผลิตจากวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า

2. Positioning สร้างภาพลักษณ์ที่ชัดเจน

การตลาด ในปัจจุบัน ไม่จำกัดแค่ออฟไลน์ แต่ออนไลน์ ก็สำคัญมาก ๆ ภาพลักษณ์ ของแบรนด์ เป็นสิ่งที่ลูกค้าจดจำ ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ต้องสร้าง Positioning ที่ชัดเจน ว่าแบรนด์ของตัวเองเป็นอย่างไร การสร้าง Positioning

  • กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ลูกค้าของคุณคือใคร?
  • วิเคราะห์คู่แข่ง คู่แข่งของคุณเป็นใคร? มีจุดแข็งจุดอ่อนอย่างไร?
  • กำหนดจุดเด่นของแบรนด์ แบรนด์ของคุณมีอะไรดีกว่าคู่แข่ง?
  • สื่อสาร Positioning บอกให้ลูกค้ารู้ว่าแบรนด์ของคุณเป็นอย่างไร

3. People: ทรัพยากรที่มีค่าที่สุด

พนักงาน คือ ทรัพยากร ที่สำคัญที่สุด ของธุรกิจ ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ต้องหา คนเก่ง มาทำงาน และดูแลพนักงานให้ดี การหาคนเก่ง คือคนแบบไหนนะ คือ กำหนดคุณสมบัติที่ต้องการ ตำแหน่งงานต้องการทักษะอะไร?

ฝึกอบรมพนักงาน พัฒนาทักษะและความรู้ให้กับพนักงาน สร้างแรงจูงใจให้กับพนักงาน ให้รางวัลและสวัสดิการแก่พนักงาน สร้างบรรยากาศการทำงานที่สนุกสนาน ตัวอย่าง Google เป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงเรื่อง สวัสดิการ และ สภาพแวดล้อมการทำงานที่ดี

 7Ps

สรุป 7Ps ฉบับ Data Research Insight

7Ps ฉบับนี้ เป็นแนวทางให้แบรนด์ที่ต้องการประสบความสำเร็จการปรับกลยุทธ์การตลาด ให้เหมาะสมจะช่วยให้ธุรกิจเข้าถึงลูกค้า และสร้างการจดจำแบรนด์มากขึ้น และเมื่อเรียนรู้แล้วต้องนำไปปรับใช้ได้จริง จากการผสมผสานการใช้ Data Research Insight เพื่อตอบคำถามให้แบรนด์ได้ และนำข้อมูลเหล่านี้ไปปรับใช้ได้จริง นักการตลาดเมื่อหา Data แล้ว ต้องตอบคำถาม 7 ข้อนี้ให้ได้

Product ของคุณตอบสนองความต้องการของลูกค้าในปัจจุบันหรือไม่? ยังคงทันสมัยและตอบโจทย์อยู่หรือไม่?

Price ของคุณเหมาะสมกับคุณภาพสินค้าหรือบริการหรือไม่? ราคารับประกันความคุ้มค่าให้กับลูกค้าหรือไม่?

Place สินค้าหรือบริการของคุณวางจำหน่ายในสถานที่ที่ลูกค้าสะดวกหรือไม่? ช่องทางการขายของคุณเหมาะ สมกับยุคสมัยดิจิทัลหรือไม่?

Promotion สามารถสื่อสารกับลูกค้าได้ตรงจุดหรือไม่ ? โปโมชั่น บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้หรือไม่ ?

Packaging ของคุณดึงดูดความสนใจลูกค้าหรือไม่? ช่วยปกป้องสินค้าระหว่างการจัดจำหน่ายหรือไม่? สื่อสารแบรนด์ของคุณได้อย่างชัดเจนหรือไม่?

Positioning ลูกค้ามองเห็นแบรนด์ของคุณอย่างไร? ภาพลักษณ์ของแบรนด์ตรงกับที่คุณต้องการสื่อสารหรือไม่?

People พนักงานของคุณมีความรู้ ความสามารถ และบริการลูกค้าได้อย่างดีหรือไม่? ทีมงานของคุณมีความกระตือรือร้นที่จะผลักดันแบรนด์ไปสู่ความสำเร็จหรือไม่?

7 คำถามนี่ จะช่วยให้คุณปรับกลยุทธ์การตลาดและการขายให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าและสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ให้ธุรกิจของคุณสามารถบรรลุเป้าหมายทางการตลาดและการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาวค่ะ

อ่านบทความเกี่ยวกับการตลาดเพิ่มเติม หรือข่าวสารการตลาด สามารถติดตามได้จาก เพจการตลาดวันละตอน รวมไปถึงเว็บไซต์ Twitter Instagram YouTube และ Blockdit ของการตลาดวันละตอนด้วยนะคะ

source

Issariya Ittiphumtana

"เฟ'ริน " Junior Marketing Content Creator การตลาดวันละตอน สายออกแบบกราฟฟิก ที่กำลังฝึกเขียนบทความการตลาด ซึ่งมีความชื่นชอบดื่มชาเขียวเป็นชีวิตจิตใจ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *