7 กลยุทธ์ยกระดับ Customer Experience ด้วย Omni Channel จาก Choco FastHelp

7 กลยุทธ์ยกระดับ Customer Experience ด้วย Omni Channel จาก Choco FastHelp

Omni Channel Marketing คืออะไร? ต่างจาก Multi Channel Marketing อย่างไร? แล้วมันจะช่วยยกระดับ Customer Experience ได้อย่างไร? แล้ว Choco FastHelp จะเข้ามาช่วยเรื่องนี้ได้อย่างไร? ทั้งหมดนี้หาคำตอบได้จากบทความการตลาดวันละตอนวันนี้ครับ

Omni Channel ต่างจาก Multi Channel อย่างไร?

นักการตลาด ผู้บริหาร และเจ้าของธุรกิจจำนวนไม่น้อยยังเข้าใจนิยามความหมายของสองสิ่งนี้ผิด เข้าใจว่าแค่เรามีช่องทางติดต่อสื่อสารกับลูกค้าที่หลากหลาย ก็ถือว่าธุรกิจเราเป็น Omni Channel แล้ว

Multi Channel คือการที่เรามีช่องทางติดต่อสื่อสาร หรือทำธุรกิจกับลูกค้าที่หลากหลาย เช่น จากเดิมเราอาจจะมีแค่หน้าร้าน หรือมีแค่เพจหลักของธุรกิจ แต่พอเป็น Multi Channel คือการที่เราเริ่มเปิดช่องทางต่างๆ เพิ่มเติม ไม่ว่าจะเปิด 

  • LINE
  • Instagram
  • Website
  • Twitter
  • Call Center

เป็นต้น

ข้อดีของการทำธุรกิจแบบ Multi Channel คือเราสามารถเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น ลูกค้าอยู่ตรงไหน เราไปตรงนั้น นำมาซึ่งโอกาสทางการขายที่เยอะขึ้นกว่าเดิม แต่ปัญหาที่ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ของการขยายช่องทางตามลูกค้าไปมากมาย ก็คือการที่เราไม่รู้ว่าตกลงลูกค้าคนนี้เคยติดต่อกับเราเรื่องไหนไว้ ลูกค้าคนนี้เคยซื้ออะไรไว้ล่าสุด หรือลูกค้าคนนี้คือคนเดียวกันคนไหนที่ติดต่อมาอีกช่องทางหนึ่งเมื่อไม่กี่วันก่อน

และนั่นก็ทำให้ Customer Experience หรือประสบการณ์ลูกค้านั้นดิ่งลงจมเหว จากเดิมที่การมีหลากหลายช่องทาง Multi Channel ดูเป็นเรื่องดี แต่ดูไปดูมาแล้วกลายเป็นดาบสองคมแทน นั่นเพราะว่าเราไม่สามารถบริหารจัดการ Data ที่กระจัดกระจายในช่องทางต่างๆ ให้ง่ายต่อการทำงานได้ และนั่นก็คือจุดต่างระหว่าง Multi Channel กับ Omni Channel ที่แท้จริงครับ

Omni Channel การให้ช่องทางต่างๆ ที่เรามีทำงานแบบสอดประสานเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียว

จากเดิม Multi Channel คือมีช่องทางมากมาย แล้วแต่ละช่องทางที่มีก็ทำงานแบบแยกใครแยกมัน ไม่รู้ว่าคนที่ทักแชทมาเมื่อวาน คือคนเดียวกับที่โทรหา Call Center วันนี้หรือเปล่า แล้วใช่คนเดียวกับที่เพิ่งกดสั่งซื้อสินค้าทางออนไลน์เราหรือไม่

แต่พอเป็น Omni Channel นั้นคือการจัดการให้ทุกช่องทางทำงานร่วมกันโดยยึดจากตัวลูกค้าเป็นหลัก หรือที่เรียกกันว่า Customer Centric นั่นเองครับ

มันคือส่วนหนึ่งของการตลาดแบบ Personalization ที่ไม่ว่าลูกค้าจะติดต่อเข้ามาช่องทางไหนก็ตาม พนักงานคนนั้นจะรู้ทันทีโดยไม่ยากว่าลูกค้าคนนี้คือใคร เคยมีประวัติอะไรกับแบรนด์เรามาก่อนบ้าง เคยติดต่อมาเพื่อสอบถามสินค้าหรือบริการเรากี่ครั้ง หรือติดต่อมาเพื่อขอใช้บริการหลังการขาย หรือเคยร้องเรียนเรื่องไหนมาก่อนไม่ว่าจะในช่องทางใดก็ตาม

คิดภาพง่ายๆ ครับ ผมเคยมีปัญหาเรื่องไฟบ้าน พอโทรเข้า Call Center ก็ต้องอธิบายความยาวสาวความยืด ต้องไล่บอกข้อมูลตัวเองว่าเป็นใคร รหัสลูกค้าอะไร มีปัญหาเรื่องไหน จากนั้นพอถูกส่งต่อไปยังแผนกทีมงานเทคนิคที่ดูแลลูกค้าตรงก็ต้องลำดับไล่เรียงเรื่องเดิมใหม่ทั้งหมด จนรู้สึกอยากอัดเทปเปิดให้ฟังทุกครั้งที่ติดต่อไปขอรับการแก้ไขปัญหาเลยจริงๆ

แต่พอเป็นอีกธุรกิจนึงที่เกี่ยวกับการซ่อมบำรุงบ้าน ผมกรอกข้อมูลในแอปว่าต้องการใช้บริการล้างแอร์ แล้วสักพักก็โทรเข้า Call Center ทันใดนั้นพนักงานสามารถบอกข้อมูลผมได้ทันทีโดยไม่ต้องพูดอะไรสักคำ แถมยังถามว่าผมต้องการเปลี่ยนวันที่เลือกซื้อบริการล้างแอร์หรือเปล่า

นี่แหละครับคือการยกระดับ Customer Experience ด้วย Omni Channel ที่ดี ที่มีเทคโนโลยีดีๆ ช่วยให้ทีมงานทุกคนดูแลลูกค้าให้มีความสุข ประทับใจ จนอยากเอาไปบอกต่อเพื่อนๆ และคนรอบตัว ท้ายที่สุดก็กลับมาเป็นโฆษณาฟรืให้กับธุรกิจเรา

ดังนั้นคำถามสำคัญคือ เทคโนโลยีที่คุณใช้วันนี้ เอื้อให้คุณเปลี่ยนจากการทำธุรกิจแบบ Multi Channel ไปสู่ Omni Channel ได้ดีพอหรือยัง?

หนุ่ย การตลาดวันละตอน

จะยกระดับ Customer Experience จาก Multi Channel ไปสู่ Omni Channel ได้อย่างไร?

เพราะผมเชื่อว่าทุกธุรกิจวันนี้ล้วนมีช่องทางการติดต่อสื่อสารกับลูกค้ามากกว่าหนึ่งช่องทางแบบ Multi Channel อยู่แล้ว (ยกเว้นถ้าคุณเป็นธุรกิจที่มีสาขาเดียว และไม่มีแผนจะขยายช่องทางไม่ว่าจะออนไลน์หรือออฟไลน์ในอนาคตอันใกล้ บทความนี้ก็อาจไม่เหมาะกับคุณเท่าไหร่ครับ) คงเริ่มมีคำถามว่าแล้วเราจะทำให้ช่องทางต่างๆ ที่เรามีในการทำธุรกิจ มันเชื่อมโยงกันด้วยดีได้อย่าง

ซึ่งวันนี้เราก็มีเครื่องมือเทคโนโลยีที่ว่ามากมาย ก็เลยถือโอกาสเอาเครื่องมือที่ชื่อว่า Choco FastHelp มาแนะนำให้ ที่จะช่วยให้เปลี่ยนจาก Multi Channel มาสู่ Omni Channel ได้อย่างดีครับ

Choco FastHelp  เครื่องมือช่วยเชื่อม Multi Channel ให้เป็น Omni Channel เพื่อยกระดับ Customer Experience ได้เป็นอย่างดี

Choco FastHelp  คือเครื่องมือ MarTech ในเครือ ChocoCRM แพลตฟอร์มการตลาดชื่อดังของคนไทย ที่ออกแบบมาอย่างเข้าใจว่าเราจะดูแลลูกค้าให้ดีขึ้นได้อย่างไรจากประเทศญี่ปุ่นครับ

ซึ่งประเทศญี่ปุ่นกับการทำ Customer Service ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าถือว่าอยู่ในอันดับต้นๆ ของโลก คนที่เคยไปประเทศญี่ปุ่นมาจะรู้ดีว่าเขาให้ความสำคัญกับการดูแลลูกค้าขั้นสุดจริงๆ

ดังนั้นเรื่อง Customer Experience จากประเทศนี้ถือว่าเป็นอันดับหนึ่งของโลกก็ว่าได้ครับ นั่นหมายความว่า Choco FastHelp  ออกแบบมาจากความใส่ใจก่อนค่อยใส่ Technology ที่เหมาะสมเข้าไป

ความต่างสำคัญอยู่ตรงนี้แหละครับ เพราะเครื่องมือส่วนใหญ่มักออกแบบจากเทคโนโลยีก่อน แล้วค่อยคิดว่าจะเอาไปทำการตลาดอย่างไร เอาไปใช้งานอย่างไร แน่นอนว่ามันจะส่งผลต่อวิธีการใช้และการทำงาน ดังนั้นการเลือกเครื่องมือที่ออกแบบมาจากประเทศที่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ก็ดูน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่ควรดูไว้เป็นอันดับต้นๆ ใช่ไหมครับ

ข้อดีของ Choco FastHelp ของ ChocoCRM คือการที่เขาออกแบบมาเพื่อธุรกิจที่มี Call Center เป็นพิเศษ เราสามารถเชื่อมโยง API ของระบบ Call Center ที่มีเข้ากับ Choco FastHelp จากนั้นก็จะสามารถบันทึกทุกสายที่ลูกค้าโทรเข้า เพื่อเอาไปประเมิน วัดผล และปรับปรุง Customer Experience ให้ดีขึ้นเรื่อยๆ

ลองมาดู 7 ความสามารถหลักๆ ของ FastHelp5 กันนะครับว่ามันจะช่วยให้นักการตลาดและเจ้าของธุรกิจเราทำงานได้ดีขึ้นขนาดไหน

7 ข้อดีของเทคโนโลยี Choco FastHelp  เพื่อยกระดับ Customer Experience

1. Omnichannel Chat Integration รวบรวมทุกข้อมูลารติดต่อ จากทุกช่องทางไว้ในที่เดียว

อย่างที่ผมบอกไปตั้งแต่ตอนต้นครับว่า วันนี้เรามีช่องทางการติดต่อสื่อสารกับลูกค้าที่หลากหลาย ไหนจะ Facebook Messenger ไหนจะ Instagram Direct Message ไหนจะ LINE ไหนจะอีเมล แล้วไหนจะเบอร์โทรศัพท์

ทั้งหมดนี้ถ้าเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกันไม่ได้ ทำงานร่วมกันไม่ได้โดยง่าย ช่องทางที่มีมากก็จะกลายเป็นปัญหาแทนโอกาส ดังนั้นการเชื่อมข้อมูลการติดต่อของลูกค้าจากทุกช่องทางที่มีไว้ในที่เดียวอาจฟังดูง่าย แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ง่ายนะครับ

แต่ Choco FastHelp ทำได้ และก็ทำให้เราทำงานได้ง่ายขึ้น เมื่อเรารู้ว่าลูกค้าคนนี้ที่กำลังติดต่ออยู่คือใคร เคยมีประวัติอะไร เคยติดต่อเรื่องอะไรเรามาบ้าง แล้วติดต่อมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ก็ทำให้เราสามารถวางกลยุทธ์ล่วงหน้าได้ว่าจะต้องพูดคุยสื่อสารกับลูกค้าคนนี้แบบไหน ทั้งหมดนี้ก็เพื่อยกระดับ Customer Experience ให้เหนือกว่าคู่แข่งจนลูกค้าไม่อยากเปลี่ยนใจไปใช้แบรนด์อื่นนั่นเองครับ

2. Superior Ticket Management ระบบจัดการ Ticket ใบงานแบบมืออาชีพ

เมื่อธุรกิจเราใหญ่ขึ้น เรามีทีมดูแลลูกค้าที่หลากหลาย เรามีพนักงานขายที่มากมาย ปัญหาที่ตามมาคือพนักงานแต่ละคนมักไม่รู้ข้อมูลลูกค้า คนเดิมที่เคยติดต่อกับคนนี้ไม่มาลาป่วย ทำให้ต้องรอวันที่พนักงานคนเดิมกลับมาประสานงานกับลูกค้าคนนี้ต่อ หรือแย่กว่านั้นคือพนักงานลาออก ทีนี้ก็ไม่มีใครรู้เลยว่าจะต้องทำอย่างไรกับลูกค้าคนนี้ต่อครับ

แต่การสร้าง Ticket ทำให้เรารู้ว่าลูกค้าคนนี้ติดต่อเรื่องอะไรไว้ ตอนนี้ปัญหาของลูกค้าถูกแก้ไปแล้วกี่เปอร์เซนต์ หรือตกค้างอยู่ในขั้นตอนไหน ติดอยู่กับแผนกไหน หรือจบปัญหาเดิมไปแล้วติดต่อมาด้วยปัญหาใหม่

ถ้าระบบที่เราใช้ดูแลลูกค้าไม่มีระบบ Ticket ที่ดีพอ บอกได้เลยว่าทุกครั้งที่พนักงานคนใหม่คุยกับลูกค้าคนนี้ ก็ต้องมาไล่พูดคุยสอบถามเรื่องเดิมซ้ำๆ หรือว่าจะไปตามเรื่องกันเองกับพนักงานข้างในก็อาจหมดเวลาเป็นวัน

ดังนั้นถ้าอยากยกระดับ Customer Experience ให้ดี ต้องมีระบบการจัดการ Ticket ใบงานที่ดี แล้วลูกค้าจะแฮปปี้ทุกครั้งที่ติดต่อเรา

3. Notification & Prioritization Management ป้องกันการตอบคำถามตกหล่นได้ด้วยฟังก์ชั่นการแจ้งเตือน

เคยมั้ยครับเวลาส่งข้อความไปถามปัญหาสักอย่าง แล้วแอดมินบอกว่าจะตอบกลับในอีกสักครู่ หรือโทรหา Call Center สักที่ แล้วพนักงานบอกเดี๋ยวจะรีบโทรกลับ แต่หลายครั้งเรามักรอจนลืม รอจนข้ามวันแล้วพนักงานก็ยังไม่โทรมา ส่งผลให้ Customer Experience ประสบการณ์ลูกค้าหล่นฮวบ การตลาดทำแบรนด์มาแทบตาย สุดท้ายมาตกม้าตายตอนการบริหารลูกค้า

ส่วนหนึ่งเพราะระบบจัดการลูกค้าหลังบ้านของแบรนด์นั้นอาจไม่มีการจัดลำดับความสำคัญของงานที่เปิด Ticket ที่ดีพอ เช่น ใบงานนี้ถูกเปิดขึ้นแล้ว แล้วจะต้องได้รับการแก้ไขภายในกี่นาทีก็ระบุไป จากนั้นระบบก็จะมีการแจ้งเตือนให้ ถ้าใบงานไหนยังไม่ถูกจัดการในเวลาที่กำหนด

เรื่องไหนด่วนมากก็สามารถตั้งค่าให้เป็นสีแดง เพื่อให้เข้าใจร่วมกันว่าปัญหานี้ต้องดูแลก่อน ส่วนปัญหาเขียวๆ ส้มๆ ทั่วไปอาจยังสามารถรอได้

ฟังดูเป็นเรื่องง่าย แต่การทำจริงแล้วง่ายแบบนี้ได้ ระบบการจัดการ Customer Service หลังบ้านจะต้องดีมากพอที่จะให้พนักงานใช้งานได้ง่ายด้วย ถึงจะสามารถยกระดับ Cusotmer Experience ได้จริงๆ ครับ

4. Knowledge Hub (FAQ & Searching) ระบบช่วยตอบคำถาม ซึ่งทำให้ค้นหาได้อย่างรวดเร็ว

ถามเรื่องเดียวกันกับคนสิบคน ได้คำตอบมาสิบแบบ เรื่องแบบนี้ไม่ควรเกิดขึ้นกับธุรกิจยุคใหม่ ยุคที่ใส่ใจในเรื่อง Customer Exprience ครับ

ลองคิดภาพว่าคุณถามแบรนด์หนึ่งผ่าน LINE ว่าพื้นที่นี้มาสาขาไหนเปิดบ้าง แล้วแต่ละสาขาเปิดกี่โมง ได้คำตอบมาแบบหนึ่ง แล้วอีกสักพักก็ทักแชทกลับไปถามแบรนด์ใหม่ แต่คราวนี้เป็นทาง Messenger กลายเป็นว่าคำตอบที่ได้ไม่ตรงกัน

เรื่องนี้เป็นเรื่องปกติที่มักเกิดขึ้นบ่อยๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วมันไม่ควรปกติสำหรับการทำธุรกิจใช่ไหมครับ เจอแบบนี้ลูกค้ามีสับสนแย่ ตกลงสินค้านี้มีที่สาขาไหนบ้าง สาขานั้นเปิดทำการวันหรือเวลาไหนบ้าง หรือสินค้านี้มีข้อจำกัดอะไรบ้าง

ทั้งหมดนี้คือการปล่อยให้พนักงานตอบลูกค้าจากประสบการณ์และความทรงจำในหัวที่แตกต่างกัน ใครจำแม่นหน่อยก็ตอบได้ครบ ใครจำแม่นน้อยหน่อยก็ตอบขาดๆ เกินๆ เรื่องนี้จะแก้ได้ง่ายมากด้วย Choco FastHelp ด้วยระบบรวบรวมคำถามที่มักเจอประจำจากลูกค้า ซึ่งหลังบ้านสามารถเตรียมคำตอบที่ดีเป็นมาตรฐานเดียวกันล่วงหน้าไว้ได้สบายๆ

แถมที่สำคัญยังสามารถเพิ่มคำถามใหม่ๆ กับคำตอบใหม่ๆ ให้อัพเดททันสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาได้สบายๆ

ทั้งหมดนี้ทำให้ต่อให้พนักงานคนไหนลาออกไป วิธีการตอบคำถามทุกครั้งก็จะเหมือนเดิมตามมาตรฐานที่แบรนด์เราวางไว้ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นพนักงานมากประสบการณ์หรือพนักงานใหม่ที่เพิ่งเริ่มงานเมื่อวานมาตอบก็ตามครับ

ถ้าอยากให้ Customer Experience ดี ต้องเริ่มจากการตอบคำถามให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ด้วยเนื้อหาเดียวกัน และต้องเป็นคำตอบที่แม่นยำด้วยนะครับ

5. Unlimited Adjusted Field for All ปรับแต่งหน้าจอให้ตรงกับการทำงานของตัวเองได้ดั่งใจ

เอาปุ่มนี้ออกได้ไหมนะ? สลับตำแหน่งแถบนี้มาไว้ตรงนี้แทนได้ไหมนะ? นี่คือปัญหาสุดคลาสสิคของการใช้ระบบโปรแกรมสำเร็จรูปต่างๆ คือคนออกแบบเค้าฟิกซ์มาให้แบบตายตัวแล้วว่าคุณต้องใช้งานแบบนั้น ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วถ้าปรับแต่งได้อีกสักหน่อย ขยับนั่นนิด เอานั่นออกหน่อยได้สักนิด การทำงานของเราคงจะลื่นและคล่องมากกว่านี้ แต่ปัญหานี้จะไม่มีกับ Choco FastHelp  ครับ

เพราะระบบของ Choco FastHelp ทำมาเพื่อยกระดับ Employee Experience ด้วย เพราะการจะดูแลลูกค้าให้มี​ Customer Experience ที่ดี ต้องเริ่มจากการทำให้พนักงานทำงานได้สะดวกมากที่สุด และหนึ่งในนั้นก็คือการปรับแต่งหน้าจอ ปรับแต่งระบบให้ตรงกับการทำงานของแต่ละคนไปจนถึงแต่ละองค์กรครับ

ดังนั้นไม่ว่าคุณจะทำธุรกิจอะไร สินค้าหรือบริการแบบไหน Choco FastHelp ก็สามารถ Optimized การทำงานให้เข้ากับธุรกิจคุณได้อย่างเต็มที่

6. Visualization Report Function แสดงรายงานรูปแบบภาพและกราฟที่เข้าใจง่ายได้ในไม่กี่คลิ๊ก

“การมี Data ว่าสำคัญแล้ว แต่การตีความ Data นั้นสำคัญกว่า” หนึ่งประโยคที่ผมมักพูดทุกครั้งเวลาไปสอนหรือบรรยายเรื่อง Data-Driven Marketing กับทุกที่

และการที่เราจะตีความหรือแปลความ Data นั้นได้ดี ก็ต้องอาศัยการทำ Data Visualization ได้ดีด้วย เพราะ Visualization เปรียบได้กับความสามารถในการอ่านภาษา Data ให้ออก เพราะถ้าเราดูข้อมูลเป็นตาราง แถว หรือคอลัมน์ที่เต็มไปด้วยตัวเลขมากมาย กับข้อความเยอะๆ แล้วต้องไปไล่อ่านทีละบรรทัด กว่าจะอ่านหมดเราก็ไม่สามารถจำข้อมูลทั้งหมดไหว และนั่นก็ทำให้เราวิเคราะห์หา Business Insight อะไรไม่ออกเลย

แต่พอเราเห็นข้อมูลอยู่ในรูปแบบกราฟแท่ง พายชาร์ท หรือเส้นไทม์ไลน์ต่างๆ เราจะเข้าใจ Business Insight ที่ซ่อนอยู่ในดาต้านั้นได้เร็วกว่าเดิมมาก จากพายชาร์ทเรารู้เลยว่าปัญหาเรื่องไหนมีมากน้อยกว่ากัน จากเส้นไทม์ไลน์เรารู้เลยว่าวันไหนมีลูกค้าติดต่อเราเข้ามามากเกินที่เตรียมพนักงานไว้

ทั้งหมดนี้ทำให้เราสามารถเอาไปปรับปรุงกลยุทธ์ธุรกิจ หรือแผนการตลาดได้ตรงจุด เราก็จะสามารถบอกคนอื่นได้ว่าตอนนี้เราเป็นองค์กรที่เริ่มต้นใช้ Data-Driven Marketing เรียบร้อยครับ

ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถทำได้ในไม่กี่คลิ๊กผ่านระบบ Choco FastHelp ไม่ต้องไปเรียนรู้การทำ Data Visualization อย่าง Looker Studio หรือ Power BI ให้วุ่นวาย แต่ถ้าใครรู้สึกว่าการทำในระบบยังไม่สะใจ อยาก Export Data ออกไปทำเอง หรือเอาไปให้ทีม Data Science ต่อยอดให้ลึกกว่าเดิมก็อยู่ในข้อถัดไปครับ

7. Dynamic Report ดึงรายงานออกมาได้ตามใจ อยากได้ Data ส่วนไหนกด Export ได้เอง

เชื่อไหมครับยังมีระบบอีกมากที่ไม่ปล่อยให้ลูกค้าผู้ใช้งานเจ้าของ Data อย่างเรา Export ข้อมูลได้เต็มที่ บ้างก็ทำให้วุ่นวาย ทำให้เอาไปใช้ต่อได้ยาก เพราะต้อการผูกลูกค้าไว้กับระบบตัวเองเรื่อยๆ

บ้างก็ไม่ยอมให้เอาออกไปใช้เลย พอถามก็ไร้คำตอบ บอกแค่ว่ามีบริการทำ Report ให้แต่ต้องเสียเงินเพิ่ม สำหรับผมมันไม่ค่อย make sense เท่าไหร่ครับ

แต่กับ Choco FastHelp นั้นเปิดให้เรา Export Data ออกไปสร้าง Dashboard ในแบบของตัวเองได้เต็มที่ อยากได้ข้อมูลชุดไหน ประเภทไหน ก็แค่เลือกแล้วกด Export ออกมา ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับฝีมือคุณแล้วว่าจะทำ Data Analytics หรือ Data Visualization กลั่น Business Insight ออกมาได้มากขนาดไหน

ใครเป็นนักการตลาดสาย Data-Driven Marketing แบบผมน่าจะชอบอันนี้มากแน่ๆ ก็แหม จะมีอะไรสนุกไปกว่าการได้บิดดาต้าเล่นด้วยตัวเองจริงไหมครับ 

เป็นอย่างไรบ้างครับกับ 7 ข้อดีของ Choco FastHelp จาก ChocoCRM ที่จะทำให้เรายกระดับ Customer Experience อย่างเต็มที่ในยุค Data-Driven Marketing แบบนี้

ทำไม Customer Experience ถึงสำคัญต่อธุรกิจและการตลาดในยุค 5.0 ขนาดนั้น?

เพราะท่ามกลางการแข่งขันมากมาย เราเต็มไปด้วยคู่แข่งที่มีสินค้าหรือบริการแทบจะไม่ต่างจากเรามากนัก ยกเว้นเราจะเป็น Innovator จริงๆ ที่สามารถคิดค้นและทำในสิ่งที่คู่แข่งไม่อาจไล่ตามได้ทันในเร็ววัน หรือเรามีสินค้าหรือบริการที่ไม่อาจหาใครทดแทนได้ เราก็คงไม่ต้องสนเรื่อง Customer Experience เท่าไหร่หรอกครับ

แต่อย่างที่เรารู้กัน วันนี้เราอยู่ในยุค Commondization ใดๆ ในโลกล้วนสามารถทดแทนกันได้ Customer Experience จึงเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจยุค 5.0 ยุคที่เราต้องแข่งขันกันทำให้ลูกค้าประทับใจเรามากที่สุด เพื่อที่เราจะได้กำไรจาก Customer Lifetime Value สูงสุดนั่นเอง

ยิ่งลูกค้าประทับใจเรามากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งทำยอดขายและกำไรจากลูกค้ามากเท่านั้น เหมือนที่หนังสือ Makota Marketing บอกว่า “อย่าขายของให้ลูกค้าร้อยคนแค่ครั้งเดียว แต่จงขายของให้ลูกค้าคนเดียวซ้ำร้อยครั้ง”

นั่นแหละครับคือแก่นของ Customer Experience ลูกค้าประทับใจเรามากพอหรือยัง เราทำให้ลูกค้ารู้สึกสะดวกสบายมากพอหรือยัง อย่าปล่อยให้ลูกค้าสับสนงุนงงเมื่อติดต่อเรา จงทำให้เขารู้สึกว่าการติดต่อกับเราช่างเป็นเรื่องสะดวกสบายและประทับใจทุกครั้งที่ได้ติดต่อมา

Customer Experience ที่ดีจะกลายเป็น Free Advertising ให้กับธุรกิจเราไปอีกนานครับ

สรุป Choco FastHelp เครื่องมือช่วยทำ Omni Channel Business เพื่อยกระดับ Customer Experience 2023

เราคงเห็นแล้วนะครับว่า 7 ข้อดีของ Choco FastHelp จาก ChoroCRM นั้นประกอบด้วยอะไรบ้าง

  1. Omnichannel Chat Integration รวบรวมข้อมูลการติดต่อจากทุกช่องทางไว้ในที่เดียว
  2. Superior Ticket Management ระบบจัดการ Ticket ใบงานแบบมืออาชีพ
  3. Notification & Prioritization Management ป้องกันการตอบคำถามตกหล่นด้วยฟังก์ชันแจ้งเตือน
  4. Knowledge Hub (FAQ & Searching) ระบบช่วยตอบคำถาม ซึ่งทำให้ค้นหาได้อย่างรวดเร็ว
  5. Unlimited Adjusted Fields for All ปรับแต่งหน้าจอที่ชอบได้ด้วยตนเอง
  6. Visualization Support Report แสดงรายงานรูปแบบภาพที่เข้าใจง่าย
  7. Dynamic Report ดึงรายงานได้อย่างตามใจ เลือกหัวข้อได้เอง

จากทั้งหมด 7 ข้อนี้ การจะยกระดับเรื่อง Customer Experience ของคุณจะเป็นจริงได้ถ้าตั้งใจลงมือทำ ส่วนใครอยากรู้ว่า Choco FastHelp นั้นมีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ ลองดูรายละเอียดตามภาพนี้ได้เลยครับ

ถ้าอยากใครปวดหัวกับการที่ธุรกิจเรามีหลากหลายช่องทางแต่ทำงานร่วมกันลำบากมากแบบ Multi Channel อยากยกระดับอัพเกรดขึ้นไปเป็นธุรกิจที่ทำงานได้แบบ Omni Channel จริงๆ สักที ลองดู Choco FastHelp จาก ChocoCRM หรือติดต่อเพิ่มเติมได้ที่ลิงก์นี้เลยครับ > https://bit.ly/ChocoFH5

อ่านบทความที่เกี่ยวกับ Customer Experience ในการตลาดวันละตอนต่อ

Nattapon Muangtum

เจ้าของเพจการตลาดวันละตอน / อาจารย์พิเศษวิชา Data-Driven Communication / เขียนหนังสือมาแล้ว 5 เล่ม Personalized Marketing, Data-Driven Marketing, Data Thinking, Contextual Marketing และ Social Listening / ที่ปรึกษา Data-Driven Advisor

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *