เช็กลิสต์! ทำ On-Page SEO สำหรับ Ecommerce อย่างไรให้เวิร์ก
สำหรับการทำ SEO หรือการปรับปรุงเว็บไซต์เพื่อให้ติดอันดับหน้าแรกในการค้นหานั้นไม่จำเป็นจะต้องเป็นแบรนด์ใหญ่ถึงจะทำแล้วได้ผลดี แต่ธุรกิจ Ecommerce ก็สามารถทำได้เช่นกัน
โดยปกติแล้วหลักการทั่วไปในการทำ SEO สำหรับเว็บไซต์ในธุรกิจแต่ละประเภทนั้นหลักใหญ่ใจความไม่ได้แตกต่างกันมากนัก มีเพียงรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นที่ต้องปรับเปลี่ยนไปตามแต่ละธุรกิจเท่านั้น
วันนี้การตลาดวันละตอนก็เลยมีคู่มือที่เอาไว้เป็นเช็กลิสต์ในการทำ On-Page SEO สำหรับธุรกิจ Ecommerce มาฝากกันค่ะ
On-Page SEO คือะไร?
การทำ On-Page SEO นั้นก็คือ การปรับแต่งเนื้อหาบนเว็บไซต์ของเราให้เหมาะสมกับทั้งผู้ที่เข้ามาใช้งาน รวมถึงตัว Search Engine ด้วย เรียกได้ว่าเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญในการทำ SEO เลยก็ว่าได้นะคะ เพราะมันจะเป็นสิ่งที่บอกได้ว่าเว็บไซต์ของเรามีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับอะไร เป็นธุรกิจประเภทไหน มีสินค้าและบริการอะไรบ้างนั่นเองค่ะ
เริ่มต้นด้วยการเลือก Keyword
ก่อนจะเริ่มลงมือทำ On-Page SEO นั้น อย่างแรกที่เราต้องใส่ใจก็คือการเลือก Keyword ยิ่งโดยเฉพาะกับธุรกิจด้วยแล้ว โดยเราควรเลือกKeyword ที่เหมาะสมกับธุรกิจ สินค้า และบริการของเรา เพราะนี่ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการทำ SEO เลยค่ะ กระซิบบอกตรงนี้ว่าถ้าเลือก Keyword ผิดชีวิตเปลี่ยน ทำอันดับยากแน่นอน
ซึ่ง Keyword ที่ดีนั้นแย่างที่ย้ำไปทุกครั้งเลยก็คือ นอกจากจะต้องเป็น Keyword ที่มีความเกี่ยวข้องแล้วกับสิ่งที่เราขายแล้ว ยังต้องเป็น Keyword ที่ปริมาณการค้นหาพอสมควรด้วย เพราะยิ่งมีปริมาณการค้นหาที่มากพอ ก็ย่อมหมายถึงโอกาสที่จะมี Traffic เข้ามามากขึ้นตามไปด้วยนั่นเอง
สำหรับเรื่องความยากง่ายในการเลือก Keyword มาใช้ในการทำอันดับช่วงแรกนั้น แบมแนะนำว่าควรเลือกจาก Keyword ที่สามารถทำอันดับได้ง่ายก่อน เมื่อ Keyword นั้นติดอันดับแล้วค่อยเลือก Keyword ที่ทำอันดับได้ยากกว่าขึ้นมาตามลำดับ
สำหรับใครที่กำลังสงสัยว่าแล้วจะมีหลักการในการเลือก Keyword อย่างไรบ้าง ปบมแนะนำให้ไปอ่านเพิ่มเติมในบทความ SEO Keyword Strategy ใช้คำไหนดี ถึงจะเพิ่ม Ranking ได้
21 เช็กลิสต์ในการทำ On-Page SEO สำหรับธุรกิจ Ecommerce
เมื่อ Keyword พร้อม เว็บไซต์พร้อมแล้ว เราก็เริ่มต้นทำ On-Page SEO กันเลยค่ะ
มาดูไปพร้อมๆ กันเลยค่ะว่าถ้าธุรกิจ Ecommerce จะทำ On-Page SEO นั้นจะต้องประกอบด้วยส่วนไหนบ้าง
1.Trust signals
เรื่องของความน่าเชื่อถือนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในการขายสินค้าในโลกออนไลน์ เพราะฉะนั้นเราจึงควรทำให้ลูกค้าเชื่อใจและมั่นใจได้ว่าดรามีตัวตนอยู่จริง โดยการใส่ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับบริษัทของคุณ เช่น เครดิตการ์ดรักษาความปลอดภัย เบอร์โทรศัพท์ ที่อยู่ หรือรายละเอียดการส่งของ เป็นต้น
2.HTTPS
HTTPS นั้นถือเป็นมาตรฐานสำหรับทุกเว็บไซต์และแน่นอนว่าเป็นเรื่องที่จำเป็นสำหรับเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซเช่นกัน ดังนั้นเราจึงควรตรวจสอบให้แน่ใจว่า URL ทั้งหมดถูกให้บริการผ่านProtocal HTTPS
3.Category Breadcrumb
จัดลำดับ Breadcrumbs หรือลำดับตำแหน่งของหน้าเว็บไซต์ในโครงสร้างเว็บให้เป็นหมวดหมู่ เพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถค้นหาสินค้าต่างๆได้ง่ายขึ้น
4.Customer reviews
การใส่ความคิดเห็นหรือรีวิวจากลูกค้าที่เคยซื้อ หรือเคยใช้งาน บริการของคุณนั้นมีผลต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้าใหม่เป็นอย่างมาก เนื่องจากจะทำให้ลูกค้ามั่นใจในประสิทธิภาพของสินค้าเรามากขึ้น และมั่นใจได้ว่าเรามีตัวตนจริงๆ
5.Product videos
ปัจจุบันอย่างที่เรารู้กันดีว่าคนส่วนใหญ่หันมาให้ความสนใจกับเนื้อหาในรูปแบบวิดีโอมากขึ้น ดังนั้นลองจัดทำวิดีโอให้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของคุณ ซึ่งอาจจะเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับรายละเอียดของสอนค้าและบริการ จุดเด่น ฟังก์ชันต่างๆ หรือวิธีการใช้งาน เป็นต้น
6.Search options
สร้างช่องการค้นหาให้มีรูปแบบและตำแหน่งที่ชัดเจน ให้ผู้ใช้งานสังเกตได้ง่าย เพื่อให้ลูกค้าสามารถค้นหาสิ่งที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว ที่สำคัญควรตรวจสอบผลลัพธ์และความถูกต้องของการใช้งานในการค้นหาด้วยว่าเมื่อค้นหาแล้วจะพาเราไปสู่ลิงก์ที่ลูกต้อง
7.Clear call to action
ข้อนี้สำคัญมากมากสำหรับเว็บไซต์ Ecommerce เราต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าปุ่ม Call to Action ต่างๆ เช่น ปุ่ม Buy หรือสมัครสมาชิก นั้นมีความชัดเจน มีขนาดใหญ่ สะดุดตา และง่ายต่อการคลิกโดยเฉพาะบนมือถือและที่สำคัญควรใช้เครื่องมือในการวิเคราะห์เพื่อบันทึกพฤติกรรมของลูกค้าในหน้านั้นๆ ด้วย
8.Microdata and Schema
Microdata นั้นเป็นการบอก Seach Engine ให้เข้าใจได้ว่าข้อมูลชุดนี้ว่าหมายถึงอะไร ส่วน Schema นั้นก็มีวัตถุประสงค์เหมือน Microdata คือมีไว้เพื่อให้ Search Engine เข้าใจว่า ข้อมูลในหน้านั้นๆ เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร แต่แตกต่างกันตรงที่เว็บไซต์ที่มีการใช้ Schema เวลาเราค้นหาใน Search Engine จะมีข้อมูลที่เกี่ยวข้องแสดงพ่วงมาด้วย ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเราค้นหาสินค้าอะไรสักอย่างถ้าสังเกตดีๆ จะมีราคา หรือวิธีการใช้งานเพิ่มเข้ามาด้วย เป็นต้น
9.Q&A Content
Q&A Content เป็นเนื้อหาอีกประเภทหนึ่งที่มีประโยชน์ต่อลูกค้าเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากช่วยให้ผู้ที่เข้าชมเว็บไซต์มีข้อมูลพื้นฐานของธุรกิจเราแล้ว ช่วยให้ลูกค้าได้รับคำตอบบางอย่างที่เขาอยากรู้ได้เลยทันที และในส่วนของ SEO นั้น การทำคอนเทนต์ประเภทนี้จะช่วยให้ Search Engine นำข้อมูลเหล่านี้ไปแสดงที่ผลลัพธ์ในหน้าการค้นหาได้ทันทีอีกด้วย
10.Image
รูปภาพที่ใช้ในเว็บไซต์ควรเป็นภาพที่ชัดเจน มีความคมชัด และมีคุณภาพสูง แต่ควรระวังไม่ให้ขนาดของภาพใหญ่จนเกินไป เพราะจะทำให้เว็บไซต์ช้าลงนั่นเอง
11.Product Description
สำหรับเว็บไซต์ Ecommerce นั้นจำเป็นจะต้องใส่คำอธิบายเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็น use case, bullet Point summaries หรือข้อมูลทางเทคนิคที่จะช่วยให้ลูกค้าเข้าใจในตัวสินค้ามากขึ้น
12.Phone number
การลงเบอร์โทรศัพท์นี่เป็นอีกสัญญาณความไว้วางใจอีกอย่างหนึ่ง เพราะการให้หมายเลขโทรศัพท์ รวมถึงเวลาเปิดทำการที่ชัดเจน จะทำให้ลูกค้าสามารถติดต่อได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย
13.Live chat
ฟังก์ชัน Live chat นี้เป็นฟังก์ชันสำหรับการตอบข้อสงสัยลูกค้าแบบเรียลไทม์ สำหรับผู้ที่ไม่ชอบใช้โทรศัพท์
14.Address and company details
ที่อยู่และรายละเอียดของบริษัท รวมถึงเลขทะเบียนบริษัทและเลขภาษีมูลค่าเพิ่ม ไม่เพียงแต่จะช่วยแสดงให้เห็นว่าบริษัทของคุณเป็นธุรกิจที่มีตัวตนถูกต้องตามกฎหมาย แต่ลูกค้า B2B บางรายก็อาจต้องการข้อมูลเหล่านี้สำหรับการซื้อขายด้วยเช่นกัน
15.Page title
รวมชื่อสินค้าและ USPs เช่น ส่งฟรีได้รับทันทีในวันถัดไป เพื่อดึงดูดการคลิกจากผลการค้นหา
16.META description
ในส่วนนี้เปรียบเหมือนกับการโฆษณาเว็บไซต์ของเรา ดังนั้นในส่วนนนี้จึงควรมี รายละเอียดสินค้าและบริการ และ USPs เพื่อดึงดูดความสนใจและเพิ่มโอกาสในการคลิเข้าเว็บไซต์
17.Page URL
URL นั้นเปรียบเหมือนที่อยู่บนอินเตอร์เน็ตของเว็บไซต์ ดังนั้นในส่วนนี้จึงควรเลือกใช้คำที่กระชับและบ่งบอกว่าหน้านี้นั้นพูดถึงเรื่องอะไร และทางที่ดีควรมี Keyword ประกอบอยู่ด้วย
18.Header tags
เราควรเรียงลำดับ Header tags ให้ถูกต้อง คือใช้ H1 สำหรับชื่อผลิตภัณฑ์ และ H2+ ในหัวข้อย่อยๆ ที่มีความสำคัญลดหลั่นกันลงมา
19.Open Graph tags
เป็นตัวช่วยในการโปรโมตเว็บไซต์ผ่านช่องทางเฟซบุ๊ก ลิงก์อิน กูเกิล และเว็บไซต์ต่างๆ ที่แชร์เว็บเพจนั้น
20.Responsiveness
ตรวจสอบให้แน่ใจว่าองค์ประกอบสำคัญทั้งหมดของการโหลดหน้าเว็บของคุณถูกต้องและสามารถตอบสนองได้รวดเร็วทั้งในเว็บไซต์และบนโทรศัพท์มือถือ
21.Related products
รวมลิงก์ที่คล้ายกัน หรือสินค้ายอดนิยมที่มีความเกี่ยวข้องกัน เพื่อช่วยลูกค้าเปรียบเทียบและตัดสินใจว่าผลิตภัณฑ์ไหนดีที่สุดสำหรับพวกเขา
บทความนี้เป็นเหมือนคู่มือที่เป็นใบเบิกทางแรกให้กับธุรกิจ Ecommerce ที่ต้องการทำ SEO ซึ่งแน่นอนว่ายังมีเทคนิคในส่วนอื่นๆ ที่จะช่วยให้การทำอันดับเว็บไซต์ของคุณดีขึ้น
ส่วนใครที่อยากเรียนรู้เกี่ยวกับการทำ SEO แบมแนะนำให้ไปอ่านเพิ่มเติมได้ ที่นี่ เลยค่ะ
ในบทความหน้าแบมจะมีอะไรมาอัปเดตอีกบ้าง สามารถติดตามได้ผ่านเพจการตลาดวันละตอน รวมถึง Twitter และ Blockdit ของการตลาดวันละตอนนะคะ