ถอดไอเดีย Marketing น่าสนใจจาก Itaewon Class

ถอดไอเดีย Marketing น่าสนใจจาก Itaewon Class

ก่อนอื่นต้องขอถามก่อนเลยว่าใครได้ดูซีรีส์เรื่องนี้แล้วบ้างคะ? หรือจริงๆ เพลินควรเปลี่ยนคำถามเป็น ใครยังไม่ได้ดูมากกว่านะ? เพราะคงปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าวันนี้ Itaewon Class เป็นซีรีส์เกาหลีจาก Netflix ที่ฮิตสุดๆ เลย ซึ่งซีรีส์เรื่องนี้ก็ไม่ได้ให้แค่ความสนุกแบบนั่งเสพความหล่อของพระเอกพัคซอจุนเท่านั้นนะคะ แต่ยังให้ความรู้มากมายในการทำธุรกิจด้วย 

เริ่มตั้งแต่การรักษามาตรฐานของธุรกิจให้มั่นคง การใช้ Influencer รีวิว การลงทุนในคน ซื้อตัวคนเก่ง การมองทำเล ไปจนถึงการลงทุนในหุ้น และสร้างธุรกิจแบบโมเดล Franchise เลยทีเดียว แต่ก่อนจะไปถึงจุดที่ธุรกิจจะประสบความสำเร็จแบบ “ปลาใหญ่กินปลาเล็ก” ได้นั้นย่อมต้องผ่าน Marketing Strategy มากมายตามไปด้วยค่ะ 

Synopsis คร่าวๆ ก่อนเจาะ Marketing Idea จากซีรีส์

พัคแซรอย จาก Itaewon Class ตั้งเป้าหมายแก้แค้นประธานชาง จากบริษัทชางการายใหญ่

Itaewon Class เป็นซีรีส์ที่พัฒนามาจากการ์ตูนใน Webtoon ซึ่งเป็นเรื่องราวของกลุ่มคนที่ต่อสู้เพื่อสร้างธุรกิจร้านอาหารย่าน Itaewon (อิ-แท-วอน) ในกรุงโซล ประเทศเกาหลี ฟังเผินๆ เหมือนไม่มีอะไรแต่ไฮไลท์มันอยู่ที่ กลุ่มคนกลุ่มนี้ต้องเริ่มจากศูนย์ และคู่แข่งของพวกเค้าไม่ใช้แค่ร้านอาหารใกล้เคียงแถวนั้น แต่ดันเป็นศัตรูทรงอิทธิพล เรียกง่ายๆ ก็คือบริษัทร้านอาหารยักษ์ใหญ่ในเกาหลีค่ะ แหม่… ฟังแค่นี้ก็ดูน่าสนุกแล้วเนอะ ใครยังไม่ได้ดู รีบเลยน้า เพราะมันสนุกมาก แต่ถ้าหากใครยังไม่ได้ดู แต่อยากรู้ Marketing Strategy จากซีรีส์เรื่องนี้ เพลินก็สรุปมาแชร์ให้ฟังกันแล้วค่ะ ส่วนใครพี่ไม่อยากเจอ Spoil ให้อ่านข้ามช่วง Spoil Alert ไปได้เลยนะคะ

Trailer ตัวอย่างซีรีส์ Itaewon Class

1. Influencer Marketing

Marketing idea อันดับแรกคงหนีไม่พ้นเรื่องของการใช้ Social media และ Influencer ที่ทำให้เราเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นของร้านเล็กๆ ได้แบบแทบจะทันที ซึ่งในซีรีส์ก็อาจทำให้เราเห็นถึงการทำ Review จากคนที่มี Followers เยอะๆ ทั่วไปแบบปกติก็จริง แต่ที่น่าสนใจและเราหลายๆ คนที่ทำ Marketing อาจเผลอลืมไป นั่นก็คือ วิธีการใช้ Influencer Marketing ค่ะ

เพราะการทำ Influencer Review ที่ดีนั้น แบรนด์ไม่ควรเข้าไปควบคุม Message ของ Blogger แต่ต้องปล่อยให้พวกเค้าได้พูด ได้เขียนในแบบที่เป็นตัวตนของเค้าจริงๆ เพราะมันคือตัวตนของ Blogger ที่ทำให้แฟนคลับอยากติดตามพวกเค้าค่ะ 

นอกเหนือจากนั้น ยิ่งถ้าเรา Invest on Influencer มากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้นักรีวิวเหล่านี้หลงรักแบรนด์ของคุณได้จริงๆ มากขึ้นเท่านั้น และพอพวกเขารักคุณ พวกเค้าก็พร้อมและยินดีที่จะพูดถึงแบรนด์ของคุณเองโดยไม่ต้องขอด้วยซ้ำ แค่เปลี่ยนนักรีวิวให้เป็นเหมือนพาร์ทเนอร์ธุรกิจของคุณก็พอค่ะ

ช่วง Spoil alert:

โชอีซอ Live สดสร้างชื่อเสียงให้ร้าน ทันบัม สาขาใหม่คยองรี ใน Itaewon Class

อย่างในตอนที่โชอีซอ Blogger ชื่อดังในออนไลน์ ที่ผู้ติดตามกว่า 7 แสนคนได้เข้ามาถ่ายรูป บอกต่อร้านนั้น ซาจังนิมหรือเจ้าของร้านก็ไม่ได้เข้าไปยุ่ง ปล่อยให้อีซอได้รีวิวอย่างอิสระ ทำให้คนแห่กันมาแฮงเอ้าท์ที่ร้านทันบัมเป็นจำนวนมาก จนขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่านั่นเองค่ะ จริงๆ นี่คิดว่าพระเอกอาจจะไม่ได้ลงทุนกับอีซอหรอก แค่หล่อมากๆ ทั้งตัวและหัวใจ เลยทำให้นางเอกสุดชิคของเราตกหลุมรักมากจนถวายตัวพร้อมรีวิวตลอด 24/7 เลย อิจฉาเนอะ

2. Customer Experience

และการที่คุณจะทำให้นักรีวิวหรือลูกค้าหลงรักแบรนด์ของคุณได้ ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของ Customer-centric หรือการสร้าง Experience ที่ดีให้แก่ลูกค้าค่ะ เพราะยิ่งคุณมี Budget น้อยเท่าไร คุณก็ยิ่งต้องทำให้ทุกอย่างที่คุณขายเป็น Marketing ให้ได้ เริ่มตั้งแต่สินค้าที่คุณขาย พนักงาน การบริการ สถานที่ บรรยากาศ เรียกสั้นๆ ก็คือทุกๆ Touchpoint ใน Customer Journey ต้องมีแต่อะไรดีๆ จนผู้คนลืมไม่ลงและอยากบอกต่อด้วยค่ะ

ช่วง Spoil alert:

อย่างที่เราเห็นในหนัง พัคแซรอยและทีมงานของเค้า ออกมาจัดร้านใหม่ เว้นระยะของโต๊ะในขนาดที่ลูกค้าสามารถเดินสวนกันได้แบบไม่ชนกัน ทุบกำแพง ขยายร้าน สร้างบรรยากาศใหม่ๆ ลดความสว่างลงให้เข้ากับธีมร้าน ตกแต่งร้านให้ถ่ายรูปสวย พร้อมให้คนแชร์ร้านต่อ รวมไปถึงหัวใจของธุรกิจอาหารก็คือรสชาติ ก็ถูกใส่ใจเป็นพิเศษ จนทำให้เกิดเป็นเอกลักษณ์ประจำร้าน ตั้งแต่ซอสที่เน้นเรื่องของผงถั่วเหลืองหมักเป็นพิเศษ เพราะซอสเป็นเหมือนหัวใจหลักที่จะทำให้เมนูอื่นๆ อร่อยขึ้นด้วยนั่นเองค่ะ

3. Invest in people เพราะมีทีมงานจึงทำให้ร้านเกิด

หลายๆ บริษัทเวลาทำงานก็มุ่งหาแต่ลูกค้า พาร์ทเนอร์ต่างๆ ที่มีผลประโยชน์ร่วมกันมากมาย จนลืมรักษาดูแลพนักงานหรือทีมงามที่ตัวเองมีเอาไว้ แต่จริงๆ แล้วกลุ่มพนักงานเหล่านี้เนี่ยแหละ ที่เป็นอีกหนึ่งพลังสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจให้ไปไกลกว่าเดิมได้ ถ้าไม่มีคนทำงาน แบรนด์ก็จะไม่ใหญ่ขึ้น เจ้าของก็ยังต้องทำเอง ลงมือเอง และได้เงินเองแบบเล็กๆ ต่อไปค่ะ 

รวมพลังก่อนเปิดร้าน Itaewon Class

เพราะฉะนั้นหนึ่งในกลยุทธ์ที่จะทำให้แบรนด์ออกมาแข็งแกร่งและดีได้ ก็คือการลงทุนผลักดันพนักงานที่มี ให้ไปไกลมากขึ้น คอยเพิ่ม skills ใหม่ๆ หรือ know-how ให้เค้าตลอดเวลา โดยเริ่มจากการเชื่อมั่นและเข้าใจความต้องการของพนักงานก่อน แล้วสร้าง Motivation ให้ถูกจุด เพราะสำหรับพนักงานบางคน การเพิ่มเงินเดือนไม่ได้ตอบโจทย์เสมอไปค่ะ

ช่วง Spoil alert:

ตัวอย่างในหนังที่เห็นได้ชัดก็คือ เมื่อฮยอนอีหรือเชฟในร้าน ยังขาดฝีมือในการทำอาหารอีกมาก สิ่งที่เถ้าแก่เจ้าของร้านหรือพระเอกของเราทำก็คือ ซื้อใจเชฟด้วยการพูดให้กำลังใจพร้อมความเชื่อมั่นในตัวเธอ และยังให้เงินเดือนเธอเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าด้วย ทั้งๆ ที่พระเอกสามารถหาเชฟใหม่ได้มากมาย แต่เพราะความเชื่อมั่นในตัวลูกน้องเลยทำให้ฮยอนอีผู้เป็นเชฟ มีแรงใจ อยากตอบแทนพระเอกที่ให้โอกาสทำงานต่อค่ะ

นอกเหนือจากนี้ เรายังเห็นตัวอย่างของการบริหารของประธานชาง ที่มองพนักงานเป็นเพียงแค่หมากหรือทาสในเกมส์ธุรกิจ เค้าสร้างความกลัวในใจของพนักงานทุกคน ให้ทำงานให้เค้าได้ดีที่สุด แต่สิ่งที่เราได้เห็นก็คือ ประธานชางกลับเป็นเจ้าของที่โดดเดี่ยวมากๆ ในสงครามการแข่งขันธุรกิจร้านอาหารนั่นเองค่ะ อย่าลืมที่เถ้าแก่หัวเกาลัดของเราบอกนะคะ ไม่ใช่เพราะ “ไม่มีธุรกิจเลยไม่มีลูกน้อง แต่เพราะมีลูกน้องเนี่ยแหละ ทำให้มีธุรกิจเกิดขึ้นมาได้” ค่ะ

4. Lift-up the whole market strategy ยกระดับทั้งตลาด

ต้องบอกว่า ส่วนตัวเพลินประทับใจ Strategy นี้จากซีรีส์มากๆ เลยค่ะ ซึ่งมันก็คือการยกระดับตลาดทั้งหมดขึ้นมาให้เป็นที่รู้จัก โดยไม่ได้โฟกัสแค่แบรนด์ของเราอย่างเดียวนั่นเอง 

อย่างสมมุติว่าแบรนด์เราขายของที่ยังไม่ได้เป็นที่ต้องการในตลาดมากนัก ต่อให้เราพยายามสร้าง Awareness หรือทำสินค้าหรือบริการของเราให้ดีที่สุดแค่ไหน มันก็จะช่วยอะไรไม่ได้มาก จนกว่าเราจะสามารถ Lift up ตลาดทั้งหมด เพื่อสร้างความต้องการของคนหรือ Demand กับตลาดนี้ให้ได้ก่อน แล้วหลังจากที่ตลาดเริ่มมี Demand แล้ว Step ที่ 2 ถึงจะกลับมาที่การโปรโมตว่าในตลาดนี้ ทำไมลูกค้าถึงต้องเลือกแบรนด์ของเราค่ะ

ช่วง Spoil alert:

เมื่อตอนที่พระเอกรอยถูกไล่ที่ จากการเช่าตึกที่ Itaewon โดยคู่แข่งบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างชางกา พัคแซรอยก็ได้ตัดสินใจซื้อตึกทั้งตึกใหม่ เพื่อป้องการการถูกไล่ที่อีกครั้ง โดยตึกที่พักแซรอยไปซื้อนั้น กลับตั้งอยู่ที่คยองรีดันกิล (Gyeongnidan-gil) แถมยังเป็นร้านในซอยที่เงียบมากๆ เรียกได้ว่าร้านไหนมาเช่าทำธุรกิจตรงนี้ ก็มักจะเจ๊งไปตามๆ กัน นั่นก็เพราะไม่ค่อยมีคนเข้าถึงร้านในซอยต่างๆ เหล่านั้นค่ะ

สิ่งที่พระเอกทำต่อไปก็คือ การทำร้านแถวนั้นทั้งหมดให้ดีขึ้นไปด้วยกัน เพื่อให้ทั้งย่านคยองรีเป็นแหล่ง Hangout ใหม่ จนเรื่องซอยในหลืบไม่ใช่ความลำบากของคนอีกต่อไป หลังจากนั้นจึงกลับมาโฟกัสที่ร้านของตัวเอง ให้ลูกค้าเลือกเข้าร้านเราเมื่อมาย่านนี้นั่นเองค่ะ พระเอกเท่ห์มากๆ เลยนะคะ ฉากนี้ ใครยังไม่ดูต้องไปดูแล้วค่ะ

และทั้งหมดนี้ก็คือ Marketing Strategy ที่น่าสนใจที่เพลินสรุปออกมาจากซีรีส์สุดปั๊วะจาก Netflix หรือ Itaewon Class ค่ะ นักการตลาดท่านไหนที่มีอะไรอยากแชร์เพิ่มเติม อย่าลืม Comment มาคุยกันได้นะคะ จะเป็นเรื่องหนัง ความฟินอะไรก็ได้ ไม่ว่ากันค่ะ ส่วนกลยุทธ์เหล่านี้ ก็อย่าลืมเอาไปปรับใช้กันดูนะคะ

อ่านบทความเกี่ยวกับ Marketing Strategy อื่นๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่เลยนะคะ

Credit รูปประกอบทั้งหมดจาก http://www.dramabeans.com/?s=Itaewon+Class%3A+Episode&paged=1

Plearn Wisetwongchai

Marketing Strategic Planner ในเครือการตลาดวันละตอน | A Creator สาวพลัสไซส์ @Fabfatkid | A Travel Lover ที่หมดเงินเกือบ 80% ไปกับการเดินทางแบบแมสๆ | An Instagrammer @theplearn ที่ชอบเล่น Story เป็นชีวิตจิตใจ | สุดท้ายคือ Data Researcher ทั้ง Social และ Search Data etc. ค่ะ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

ใช้ Social Listening บ้างไม่ ?

#การตลาดวันละโพล ขอหนึ่งคำถาม ว่าปกติใช้ Social Listening บ้างหรือไม่ แล้วถ้าใช้ ใช้ตัวไหนอยู่