Gestalt principles: สร้างภาพจำของแบรนด์ด้วยจิตวิทยาการรับรู้และ Generative AI
ทุกท่านเคยสงสัยไหมคะว่า,, ทำไมเวลาที่เราเห็น Logo ของแบรนด์บางแบรนด์แล้วจำได้เลย หรือใช้งานบาง Application ถึงแม้จะเป็นครั้งแรกแล้วใช้ง่ายจังเลยนะ หรือแม้แต่ เอ๊ะ!! ป้ายโฆษณานี้ทำไมถึงดึงดูดจัง? คำถามของคำตอบเหล่านี้อยู่ภายใต้คำอธิบายของจิตวิทยาแห่งการรับรู้ของสมองมนุษย์ ที่ชื่อว่า “Gestalt principles”
ซึ่งในบทความนี้นิกจะพาเพื่อนๆ ไปทำความรู้จักกับ Principles นี้ เพื่อให้เราสามารถเข้าใจหลักการ และสามารถใช้ประโยชน์ในการสร้างแบรนด์ให้ตรึงตา แล้วส่งผลไปตรึงใจลูกค้า ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และแน่นอนค่ะ สำหรับชาวการตลาดวันละตอน ที่คุ้นเคยกับการใช้ Data และ AI ในยุค Digital Marketing ดังนั้นเมื่อเราเข้าใจหลักการแล้ว เราจะมาใช้ความสามารถของ Generative AI อย่าง DALL-E หรือ ChatGPT ร่วมกับ Gestalt principles ในการสร้างภาพจำของแบรนด์ไปพร้อมๆ กันค่ะ ,,,, Let’s go ( •̀ ω •́ )✧
Gestalt principle คืออะไร?
จริงๆ แล้ว คำว่า “Gestalt” (น่าจะอ่านว่ากิสตัลต์) เป็นคำที่มาจากภาษาเยอรมัน แปลว่า “รูปแบบ” หรือ “รูปร่าง” ค่ะ โดยในทางจิตวิทยา Gestalt principle คือแนวคิดที่บอกว่าสมองของมนุษย์อย่างเราๆ เนี่ย มีการรับรู้และประมวลผลข้อมูลในรูปแบบที่จัดเรียงเป็นรูปแบบทั้งหมด ไม่ใช่เพียงแค่ชิ้นส่วนย่อยๆ แต่ความว้าวก็คือ ด้วยความที่สมองมนุษย์มีความพยายามที่จะเข้าใจอะไรให้รวดเร็วที่สุด การประมวลผลของสมองแบบนี้จึงแทบจะเป็นไปในลักษณะอัตโนมัติ เพราะฉะนั้นหากเราทำการจัดเรียงรูปแบบของการนำเสนอสิ่งต่างๆ เช่น Logo ของแบรนด์ หรือป้ายโฆษณาได้ดีมากพอ จะทำให้ลูกค้าเหมือนถูกสะกดจิตให้จำภาพ หรือเข้าใจง่ายๆ ได้เลยนั่นเองค่ะ
ว่าแล้วเราก็มาทำความเข้าใจถึงหัวใจสำคัญ หรือ Key Principles ของ Gestalt Theory กันเลยดีกว่าค่ะว่ามีอะไรบ้าง
หลักสำคัญ 4 ข้อของ Gestalt principles
Gestalt Theory ถูกสร้างขึ้นโดยนักจิตวิทยาชาวเยอรมันในปี 1900 เป็นหลักในการอธิบายว่ามนุษย์ตอบสนองต่อข้อมูลที่ถูกรับเข้ามาผ่านการมองเห็นอย่างไร ผ่านหลักการสำคัญ 4 ข้อ ได้แก่
- การปรากฏ (Emerhence): เป็นลักษณะที่ทำให้มนุษย์อย่างเราๆ สามารถรับรู้คุณสมบัติของภาพรวมที่มีลวดลายหรือรูปทรงดูเหมือนสุ่ม แต่เมื่อมองใกล้ๆ แล้วดูแล้วกลับไม่แตกต่างกัน หรือดูกลมกลืนกันไปโดยภาพรวม
- การสร้างภาพ (Reification): เป็นหลักการสร้างภาพที่ใช้หลักการ การรับรู้แบบสร้างสรรค์ที่สามารถสร้างวัตถุที่ไม่มีอยู่จริงขึ้นมาจากองค์ประกอบทางการมองเห็นที่มีอยู่ ยกตัวอย่างเช่น “Kansas Triangle” ที่สร้างโดย Gaetano Kanizsa ที่การรับรู้ของเราถูกกระตุ้นให้เห็นวัตถุที่ไม่มีอยู่จริงในภาพ โดยสร้างความเข้าใจใหม่จากการรวมองค์ประกอบที่มองเห็นได้
- ความมั่นคงทางหลายมิติ (Multistability): เป็นหลักการที่แสดงถึงความเปลี่ยนแปลง และความเป็น Dynamic ในการรับรู้ ยกตัวอย่างของผลกระทบด้านการมองเห็นตามหลักการนี้คือ “แจกันรูบิน” หรือ Rubin Vase ซึ่งเป็นภาพที่ทุกท่านน่าจะเคยผ่านตากันมาบ้าง ที่เมื่อเราเห็นภาพตอนแรกมักจะรับรู้ว่าเป็นแจกัน แต่เมื่อเรามองภาพนี้ไปนานๆ จะเริ่มเห็นเป็นภาพหน้าคน 2 หน้า ที่มองเข้าหากันจากสีพื้นหลัง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงในการรับรู้ของมนุษย์รูปแบบนี้ แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อน และความเป็น Dynamic ของการมองเห็นของเรา ที่สามารถรับรู้ภาพเดียวกันได้ในหลายมิติและหลายรูปแบบเมื่อมองภาพไปชั่วระยเวลาหนึ่งนั่นเองค่ะ^^
- ความคงที่ (Invariance): เป็นหลักการหรือวิธีที่วัตถุหนึ่งสามารถถูกรู้จักหรือจดจำได้ แม้ว่ามุมมองที่เรามองเห็นจะเปลี่ยนแปลงไป เช่น ลูกบาศก์ที่หมุนไปจำนวน x องศาในแต่ละแกน แต่ก็ยังสามารถถูกมองเป็นลูกบาศก์เดียวกันได้ ซึ่งเราจะเห็นนะคะว่า แม้การรับรู้หรือมองเห็นของเราต่อลูกบาศก์นั้นจะเปลี่ยนแปลงไป แต่อะไรที่เรารับรู้ว่าเป็นอย่างนั้นไปแล้ว ก็จะถูกเห็นเป็นแบบเดิม หรือพูดง่ายๆ ซะว่ามี “ความคงที่” นั่นเองค่ะ โดยหลักการของความคงที่นี้ยังใช้ได้กับความแตกต่างในระดับขนาด, พื้นผิว, และการเคลื่อนไหว ซึ่งทำให้เราสามารถจดจำและเข้าใจวัตถุได้ในหลายมิติและสภาพแวดล้อมต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป
ซึ่งจากหลักสำคัญ 4 ข้อของ Gestalt principles ทั้ง 4 ข้อที่กล่าวมาก่อนหน้านี้นี่เองค่ะ ที่ช่วยทำให้นักการตลาดสามารถเข้าใจและใช้หลักการรับรู้ทางสายตา ในการสร้างและปรับปรุงการออกแบบแบรนด์ ให้สามารถสร้างภาพจำผ่านการรับรู้ทางจิตวิทยาได้อย่างมีประสิทธิภาพ^^ ผ่านหลักการการออกแบบสำคัญๆ 2 ข้อ ดังต่อไปนี้ค่ะ
การ Gestalt principles ในการสร้างภาพจำแบรนด์
จริงๆ แล้วมีทฤษฎีด้านการออกแบบที่มีการประยุกต์ใช้ Gestalt Theory ในการสร้างหลักการของการสร้างภาพจำหลายหลักการด้วยกันค่ะ เช่นกฎของ ภาพ/พื้นหลัง (Figure/ground), ความเป็นไปในทิศทางเดียวกัน (Proximity), การใกล้ชิด (Closure), ความคล้ายคลึงกัน (Similarity) และความต่อเนื่อง (Continuation)
แต่สำหรับในบทความนี้ นิกจะขอสรุปให้ทุกท่านสามารถนำไปใช้งานง่ายๆ ได้จริงเพื่อสร้างภาพการรับรู้แบรนด์ หรือใดๆ ก็ตามได้อย่างมีประสิทธิภาพผ่านหลักการ 2 ข้อหลักดังนี้ค่ะ
#1 Law of Similarity and Contrast (กฎของความคล้ายคลึงและความแตกต่าง)
Law of Similarity and Contrast หรือ กฎของความคล้ายคลึงและความแตกต่าง สามารถอธิบายได้ง่ายๆ ค่ะว่า เมื่อลูกค้ามองเห็นอะไรที่หน้าตาคล้ายๆ กัน ก็มักจะถูกสมองกล่อมว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งเดียวกัน แต่ถ้าหากว่ามีอะไรแตกต่างขึ้นมาในภาพนั้น ก็จะทำให้สิ่งที่เป็นความต่างนั้นการเป็นความแปลกแยก หรือ “โดดเด่น” ออกมาจากภาพ ซึ่งสิ่งนี้เองค่ะ ที่เราจะใช้สร้างความแตกต่าง ผ่านการเน้น หรือสร้างจุดเด่นในการมองเห็น
#2 Law of Proximity (กฎของความใกล้ชิด)
Law of Proximity หรือ กฎของความใกล้ชิด สามารถอธิบายได้ง่ายๆ ค่ะว่า อะไรก็ตามที่ลูกค้าเห็นว่าอยู่ใกล้ๆ กัน ลูกค้าก็มักจะมองว่าเป็นสิ่งเดียวกัน ซึ่งในด้านการสร้างการรับรู้ของแบรนด์ การจัดวางองค์ประกอบต่างๆ ในโฆษณาหรือบนบรรจุภัณฑ์อย่างให้อยู่ใกล้กันสามารถช่วยให้ลูกค้าเชื่อมโยงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์ได้ง่ายขึ้น เช่น การวางโลโก้ใกล้กับชื่อผลิตภัณฑ์หรือข้อความสำคัญ จะช่วยให้ลูกค้าจดจำและเชื่อมโยงข้อมูลนั้นๆ กับแบรนด์ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น^^
สร้างภาพจำของแบรนด์ร่วมกับ Generative AI
ซึ่งเมื่อทุกท่านเห็นถึงหลักการของ Gestalt ตามที่อธิบายไปข้างต้นนี้ เราจะนำเอาความเข้าใจดังกล่าวมาประยุกต์ใช้ร่วมกับการสร้างภาพจำของแบรนด์ การสร้างโฆษณา การวาง Layuot ร่วมกับการใช้งาน Generative AI อย่าง DALL-E หรือ ChatGPT ผ่านการ Prompting ได้
โดยนิกขออนุญาตยกตัวอย่าง Promtp จากงานวิจัยที่สั่งการใช้ Generative AI เหล่านี้ดำเนินการตามหลักการออกแบบของ Gestalt ซึ่งทุกท่านสามารถเข้าไปที่
https://chat.openai.com/
แล้วพิมพ์ Prompt หรือคำสั่งดังต่อไปนี้ได้เลยค่ะ^^
Create and describe the visual identity for the company EverdayMarketing [เปลี่ยนเป็นแบรนด์หรือผลิตภัณฑ์ของแต่ละท่านได้เลยค่ะ], a Research Marketing [เปลี่ยนส่วนนี้เป็นรายละเอียดของแบรนด์] company targeting marketer and reseacher by Apply Gestalt Principle of Design.
ซึ่งจาก Prompt ด้านบนนี้ นิกได้คำตอบที่เป็นรายละเอียดจาก ChatGPT มาประมาณนี้ค่ะ
ซึ่งจากคำตอบโดย ChatGPT ด้านบน ก็จะเป็นการอธิบายรายละเอียดขององค์ประกอบในการสร้าง Logo ของแบรนด์ว่าควรมีลักษณะแบบไหน เพื่อให้สามารถสร้างภาพจำให้กับลูกค้าของแบรนด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ต่อไปเมื่อเราได้คำตอบแล้ว ก็ลองมาใช้ความสามารถของ ChatGPT ในการ Generate ภาพให้เรากัน ด้วย Prompt ง่ายๆ ดังนี้เลยค่ะ
From the details of previos answer, create the image for me.
และแล้วเราก็ได้ภาพตัวอย่างจาก ChatGPT ตามภาพด้านบนให้เราเลือกใช้กัน ซึ่งหากเราที่มีความรู้เรื่องทฤษฎี Gestalt กันเรียบร้อยแล้ว เห็นว่าควรปรับหรือเพิ่มตามส่วนของหลักการข้อไหน ก็สามารถลอง Prompting เพื่อปรับเปลี่ยนได้ เช่น นิกเห็นว่าอยากให้เพิ่มเรื่องของการจัดกลุ่มตาม Law of Proximity เพื่อเน้นย้ำความเด่นของสิ่งที่แบรนด์จะนำเสนอ ก็สามารถใช้ Prompt ต่อไปนี้
Can you re-create by apply Law of Proximity.
ซึ่งเอาจริงๆ โดยส่วนตัวแล้ว นิกชอบแบบแรกมากกว่า 55+,,,, แต่ก็นั่นแหละค่ะ เมื่อทุกท่านมีองค์ความรู้แล้ว ก็สามารถปรับแต่งผลลัพธ์ได้ตามที่เราต้องการ และคัดเลือกเอาสิ่งที่เราคิดว่าเหมาะกับแบรนด์ โดยสามารถสื่อสารและสร้างภาพจำกับลูกค้าได้ดีที่สุดมาใช้กันค่ะ
หลังจากที่เราได้ทำความเข้าใจใน Gestalt principles เพื่อการสร้างภาพจำของแบรนด์ หรือสร้างการรับรู้ผ่านการมองเห็นที่มีประสิทธิภาพ เรายังสามารถใช้ความเข้าใจที่ผ่านมาร่วมกับความสามารถของ Generative AI อย่าง DALL-E ที่อยู่ใน ChatGPT ในการสร้างโลโก้ รูปภาพโฆษณา หรือแม้แต่การวาง Layout เว็บไซต์ของแบรนด์ ที่ไม่เพียงแต่เพิ่มความเป็นมืออาชีพและความสร้างสรรค์เท่านั้น แต่ยังเป็นการตอกย้ำความเป็นเอกลักษณ์และการรับรู้ที่ไม่ซ้ำใครของแบรนด์อีกด้วย
ท้ายที่สุดนี้ นิกหวังเป็นอย่างยิ่งค่ะว่าทุกท่านจะได้รับความรู้ และ Idea จากบทความนี้ ในการนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาและสร้างภาพจำของแบรนด์ของเพื่อนๆ เพื่อการสื่อสารกับลูกค้าให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เพราะในยุค Digital Marketing ทั้งองค์ความรู้ภาคทฤษฎี และการใช้ Tools ร่วมกันอย่างเหมาะสมนั้นเป็นสิ่งสำคัญค่ะ (*^-^*)
ป.ล. เพื่อนๆ ทุกท่านสามารถแนะนำหรือแชร์ Prompt ให้แก่ผู้อ่านท่านอื่นๆ เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ได้ที่ข้อความเลยนะคะ,,,, Enjoy ka^^