แคมเปญการตลาด โดย Gen Z และเพื่อ Gen Z

แคมเปญการตลาด โดย Gen Z และเพื่อ Gen Z

แคมเปญการตลาดเดิมมักจะถูกสำให้สูงส่ง หรูหรา ดูดีมีระดับ ทำให้ Exclusive มากๆ เพื่อทำให้กลุ่มเป้าหมายต้องพยายามจากปกติสักนิด หรืออาจจะมากสักหน่อย เพื่อให้ได้ถึงเข้าแบรนด์หรือเข้าร่วมกับแคมเปญนั้น แต่รูปแบบแคมเปญการตลาดกับวัยรุ่น คนรุ่นใหม่ Gen Z 2024 นั้นไม่เหมือนที่แบรนด์ใดเคยทำกับวัยรุ่น Gen เก่ามาก่อน เพราะแคมเปญการตลาดที่จะได้ใจถูก Insight Gen Z วันนี้ต้องทำให้ทุกคนเข้าถึงได้ โดยเฉพาะต้องทำให้ Gen Z เข้าถึงง่าย หรือจะให้ดีที่สุดคือทำโดย Gen Z เพื่อ Gen Z นั่นเอง

นี่คือหลักคิดการตลาดแบบ Eazy for Every Z Strategy แคมเปญการตลาดเพื่อวัยรุ่น Gen Z ทุกคน

Case Study แคมเปญการตลาด Gen Z : Famous Orders เมนูซุปตาร์ที่ใครๆ ก็กินได้ McDonald’s

การเลียนแบบคนดังนั้นเป็นเรื่องปกติในทุกชนชั้นสังคม แต่ประเด็นคือในวันที่โลกเต็มไปด้วยความแตกต่างทางชนชั้นมากขึ้นเรื่อยๆ คนส่วนใหญ่มองเป็นปัญหาว่าเวลาคนดังโพสว่าตัวเองกิน ตัวเองใช้ ตัวเองใส่อะไร อยู่บ้านแบบไหน ขับรถอย่างไร ยากที่จะทำตามได้ เพราะส่วนใหญ่มักต้องใช้เงินเยอะมาก แต่ก็ยังมีบางแบรนด์ที่มองเห็นโอกาส ที่จะทำแคมเปญการตลาดที่หยิบคนดังมาให้ทุกคนเข้าถึงได้ นั่นก็คือ McDonald’s ครับ

แคมเปญการตลาดของ McDonald’s ที่ชื่อว่า Famous Order หรือผมขออนุญาตแปลเป็นไทยภาษาบ้านๆ ว่า “เมนูซุปตาร์ที่ใครๆ ก็กินได้” ด้วยการนำเสนอเมนูของบรรดาเซเลปคนดังจากทั่วทุกมุมโลกว่าพวกเขากินแบบไหนที่ McDonald’s

แคมเปญการตลาด Gen Z

ซึ่งแน่นอนว่าอย่างไร McDonald’s นั้นไม่ได้ขายราคาแพงมากจนใครๆ ก็กินไม่ได้ (ยกเว้นในประเทศยังไม่พัฒนาอย่างไร แต่ต้องใช้เงินมากกว่าปกติสักหน่อย) หรือถ้าพูดให้ถูกคือในต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศที่เจริญแล้ว ราคาอาหารใน McDonald’s นั้นถือว่าเป็นฟาส์ตฟู้ดราคาถูก ถูกแบบคิดอะไรไม่ออกก็บวกกับเงินไม่ค่อยมีก็เดินเข้าแม็คแล้วกัน

เมื่อเป็นแบบนั้นแล้วทาง McDonald’s เลยเอาเมนูที่บรรดาคนดังชอบมาสั่งที่ร้านกินประจำ แล้วก็ทำโฆษณาออกมาให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาชอบกินอะไรแบบไหน ถ้าอยากกินเหมือนคนดังซุปตาร์ระดับโลกก็สามารถกินตามได้เลย หรือดีไม่ดีคุณสามารถเลือกกินได้ดีและแพงกว่าซุปตาร์ที่ McDonald’s ก็ยังได้

แล้วยิ่งถ้าเป็นบรรดาวัยรุ่น คนรุ่นใหม่ Gen Z ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เมื่อเงินมีจำกัดครั้นจะให้ไปกินหรูกินแพงตามคนดังบ่อยครั้งก็ใช่ว่าจะทำได้ จึงมองว่าเป็นหนึ่งแคมเปญการตลาดที่ทำให้ Gen Z ทุกคนเข้าถึงและมีส่วนร่วมได้จริงๆ ครับ

เรียกได้ว่าเป็นแคมเปญการตลาดที่แสนจะ Eazy for Every Z แบบสุดๆ ทำให้ทุกคนเห็นภาพว่าตัวเองเข้าถึงได้เหมือนคนดัง แม้จะไม่ได้เป็นร่ำรวยแต่อย่างไร ใครที่ขายสินค้าราคาไม่แพง ยิ่งราคาถูกๆ ลองเอาไอเดียแบบแคมเปญการตลาดนี้ไปประยุกต์ต่อยอดใช้กันดูนะครับ

Case Study แคมเปญการตลาด Gen Z : Be a Follower มาแปะลิงก์ทำงานแบบ Affiliate Marketing กันเถอะ จาก Diesel

กระแสการตลาดแบบ Affiliate Marketing ในบ้านเราเพิ่งจะมาบูมเป็นเรื่องเป็นราวก็ตอนปี 2022-2023 แต่คุณอาจไม่รู้ว่าแบรนด์ดังระดับโลกอย่าง Diesel ที่เป็นแบรนด์ฝั่งโลกตะวันตกนั้นกลับถูกเอามาใช้ทำแคมเปญการตลาดจริงจังกันตั้งแต่ปี 2019 แล้ว

แคมเปญการตลาดนี้มีชื่อว่า Be a Follower : Side Biz ที่บอกให้บรรดาแฟนคลับหรือลูกค้า Diesel เดิมรู้ว่าจะมามัวเล่นโซเชียลมีเดียเพื่อสะสม Follower อย่างเดียวทำไม ทำไมไม่เริ่มลองมาเปิดร้าน Diesel ออนไลน์แล้วแปะลิงก์แชร์ส่วนลดให้เพื่อนๆ ผู้ติดตามไป เพื่อที่พวกคุณจะได้เงินส่วนแบ่งจาก Diesel กลับมาหละ

ไอเดียเรียบง่ายไม่ซับซ้อน สมัคร แปะลิงก์ แล้วก็แชร์ นั่นหมายความว่าบรรดา Gen Z ทุกคนเองสามารถเข้าร่วมได้ไม่ยาก และด้วยความเท่ห​์ ความแข็งแรงของแบรนด์ Diesel เองก็เอื้อให้วัยรุ่นทุกคนทำแบบนั้นได้โดยไม่เขินอาย ลำพังแค่ได้ใส่เสื้อผ้าแบรนด์นี้ก็เก๋จะแย่แล้ว ดูเหมือนทุกอย่างจะสอดคล้องลงตัวกันพอดีครับ

ส่วนตัวผมมองว่าถ้าจะให้ดีแบรนด์ที่คิดจะทำ Affiliate Marketing แบบนี้น่าจะไปอีกระดับด้วยการเปิดให้รับลิงก์สำหรับแปะโพสขายได้ค่าคอมส่วนแบ่ง ก็เฉพาะสินค้าที่ผู้ใช้คนนั้นซื้อไปแล้วเท่านั้น

ทีนี้คุณก็จะสามารถสกรีนการโพสสแปมที่น่าเบื่อแบบที่ Gen Z ส่วนใหญ่ไม่ชอบได้ และคุณก็จะได้เฉพาะโพสป้ายยาจากคนที่เป็นลูกค้าแบรนด์จริงๆ มีสินค้าในการทำคอนเทนต์นั้นจริงๆ ลองคิดภาพดูซิว่า Content Marketing ที่ถูกทำออกไปจะมีพลังในการโน้มน้าวมากกว่าคนเทนต์ทั่วไปที่แคะแปะลิงก์ขายได้ขนาดไหนกัน

ซึ่งผลลัพธ์สุดท้ายก็สวยงาม แคมเปญการตลาด Be a Follower : Side Biz ของ Diesel มีคนเข้ามาร่วมเปิดร้านแปะลิงก์ป้ายยาในสัปดาห์แรกมากถึง 37,000 ร้านค้าออนไลน์ ส่งผลให้จำนวนคนเข้าเว็บเยอะขึ้นถึง 365% สุดท้ายที่นักการตลาดทุกคนอยากรู้คือยอดขายเพิ่มขึ้นบ้างหรือเปล่า

แน่นอนว่ายอดขายเพิ่มขึ้นถึง 33% จากแคมเปญนี้ และก็ยังสร้างลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นอีก 18% ครับ

ดังนั้นอย่าทำแค่ให้คนแปะลิงก์ขายของจนดูเป็น Spam น่ารำคาญ แต่จงเลือกเฉพาะคนที่ใช่ ทำให้การได้สิทธิ์แปะลิงก์ Affiliate Marketing นั้นพิเศษกว่าแบรนด์ทั่วไปด้วย Creativity ของ Marketer อย่างเราครับ

Shein แบรนด์ Startup Fast Fashion ระดับโลก ที่เปิดโอกาสให้ลูกค้าทุกคนสามารถทำเงินด้วยการแปะลิงก์ Affiliate marketing ได้

นักการตลาด Gen X หรือ Gen Y อาจไม่รู้จัก Shein เพราะนี่คือเว็บขายเสื้อผ้าแฟชั่นออนไลน์ที่ใหญ่ระดับโลกจากประเทศจีน แต่บรรดาวัยรุ่น Gen Z ทั่วโลกนั้นรู้จักเว็บนี้ดี

Shein เพิ่งถึงกำเนิดขึ้นปี 2012 แต่มาวันนี้มีมูลค่ากว่า 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นั่นเพราะพวกเขาสามารถผลิตเสื้อผ้าสวยๆ ได้ในราคาที่ถูกมาก จนเรียกได้ว่าถูกแทบบ้า ทำเอาแบรนด์แฟชั่นรุ่นพี่ไปกันไม่เป็น

ซึ่งการที่ Shein สามารถผลิตเสื้อผ้าให้ขายได้ในราคาที่ถูกมากๆ แบบนี้ก็ต้องยอมรับว่ามาจากการใช้นวัตกรรมหรือเทคโนโลยีต่างๆ มากมาย ทั้งการใช้ Data ไปจนถึงวางระบบ Supply chain ทั้งหลายจนทำให้สามารถลดต้นทุนการผลิตได้สูงที่สุดแต่ก็ยังทำกำไรไปได้พร้อมกันครับ

โดยสินค้าก็มีให้เลือกมากมายแทบจะไม่รู้จบ จัดส่งก็รวดเร็วอีก แล้วแบบนี้แบรนด์อื่นๆ จะแข่งขันด้วยอย่างไรไหว และแผนการตลาดของ Shein นั้นก็ต่างจากแบรนด์แฟชั่นอื่นๆ ตั้งแต่ต้น โดยแบรนด์อื่นเน้นการใช้ดารา เซเลป คนดัง อินฟลูเบอร์ใหญ่โปรโมทกันตั้งแต่แรกและต่อเนื่องเป็นประจำ แต่กลับ Shein ไม่ พวกเขาเลือกที่จะเน้น Micro Influencer ตั้งแต่วันแรกๆ เพราะในแง่มุมของกลยุทธ์บรรดา Micro Influencer คนที่ไม่ดังมากยังมีเงินไม่มากนี่แหละคือลูกค้า Shein ชั้นดี

นั่นหมายความว่าถ้าเค้าโพส เพื่อนเค้าเห็น คนก็จะเชื่อโดยปริยายว่าพวกเธอต้องซื้อใส่เอง แนะนำเอง จนทำให้เกิดการซื้อตามเพื่อนมากกว่าคนดังในที่สุด

เท่านั้นไม่พอทาง Shein ก็ยังใช้วิธีสร้างยอดขายขยายฐานลูกค้าด้วยการทำ Affiliate Marketing ตั้งแต่แรก ด้วยการให้เอาลิงก์ขายสินค้าไปโพสตามโซเชียลมีเดียของตัวเองได้

แคมเปญการตลาด Gen Z

ทีนี้ถ้าลิงก์ของใครที่มีคนกดตามมาซื้อก็จะได้รับค่าคอมส่วนแบ่งตามยอดขายจริง เรียกได้ว่านอกจากได้เสื้อผ้าสวยๆ ราคาถูกมาใส่ ยังสามารถทำเงินได้จากการใส่เสื้อผ้าเหล่านั้นแล้วรีวิวให้คนมาซื้อตามอีกด้วยครับ

แบรนด์นี้ค่อนข้างเน้น TikTok มาตั้งแต่แรก ด้วยความที่เป็นแบรนด์จากจีนบวกกับกลยุทธ์การใช้ Micro Influencer คนไม่ดังมากแต่เน้นจำนวนเยอะๆ มาโปรโมทอย่างต่อเนื่องในระยะเวลานานพอที่จะทำให้คนซื้อตามจนติดด้วยตัวเองได้

แล้วยิ่งตอนช่วงโควิดที่ TikTok กลายเป็น Mainstream Social Media Platfrom ที่ดังก้าวกระโดดในระยะเวลาสั้นๆ ก็ยิ่งทำให้แบรนด์นี้ได้เปรียบอีกครั้ง เพราะกว่าแบรนด์อื่นจะปรับตัวตามก็ไม่ทัน Shein เสียแล้วครับ

ดังนั้นจะเห็นว่ากลยุทธ์หลักของ Shein คือทำสินค้าให้ถูกมากๆ ด้วยดาต้าและเทคโนโลยี จากนั้นก็เลือกเน้นใช้ Micro Influencer ที่เป็น Gen Z จริงๆ บวกกับเปิดโอกาสให้พวกเขาเหล่านั้นได้ทำเงินจากการแปะลิงก์ Affiliate marketing ของตัวเองไปเรื่อยๆ ครับ

Fenty Beauty สกินแคร์เพื่อแคร์ทุกสกิน

แคมเปญการตลาด Gen Z

สกินแคร์ส่วนใหญ่มีกี่เฉดสีให้เลือกครั้ง 3 5 10 15 หรือ 20 ? แต่สำหรับแบรนด์ Fenty Beauty ที่ก่อตั้งโดย Rihanna แล้วนั้นมีให้เลือกมากกว่า 50 เฉด หรือจะเรียกว่า 50 Shade of Skin ก็ว่าได้

นั่นเพราะเธอรู้ว่าผิวของผู้หญิงหรือผู้ชายนั้นมีความแตกต่างหลากหลายอย่างมาก จะมาทำแค่ไม่กี่เฉดนั้นไม่พอ เพราะสุดท้ายจะเหลือคนที่ตกหล่นไม่มีเฉดสีผิวของตัวเอง

คุณลองคิดภาพ จากเดิมสกินแคร์มักจะถูกพัฒนาขึ้นมาจากสีผิวคนส่วนใหญ่ที่สุดในประเทศนั้น แต่คำถามคือคนส่วนน้อยหละจะทำอย่างไร ก็ต้องทำใช้เฉดที่ไม่เข้ากับสีผิวตัวเองไป เพราะดีกว่าไม่มีอะไรทา

นั่นแหละครับ การตลาดหรือธุรกิจแบบไม่ค่อยเป็นประชาธิปไตยเท่าไหร่ ไม่ได้มีคำตอบให้กับทุกคน ธุรกิจไหนอยากไปได้ดีกับ Gen Z ต้องคิดถึงความแตกต่างหลากหลายให้มากพอและครอบคลุมด้วย

Photo : https://www.thinkwithgoogle.com/intl/en-apac/future-of-marketing/management-and-culture/diversity-and-inclusion/-fenty-beauty-inclusive-advertising/

เรื่องสกินแคร์ก็เหมือนกัน จะไม่ผลิตแค่ไม่กี่เฉดสีผิวหลักๆ ของคนส่วนใหญ่ไม่ได้ ก็เหมือนที่ Fenty Beauty เห็นปัญหานี้ที่แบรนด์ใหญ่ๆ มองข้ามมานาน จนเลือกกระโดดเข้ามาเป็นผู้ผลิตสินค้าแก้ปัญหาด้วยตัวเอง

ซึ่งนั่นก็ทำให้ยอดขายของแบรนด์นี้เกินครึ่งพันล้านดอลลาร์ไปแล้วในปีที่ผ่านมา เหตุผลก็มาจากการทำธุรกิจแบบ Long tail ที่เน้นจับกลุ่มเล็กๆ น้อยๆ ที่ใครๆ ก็มองข้ามไปเพราะรู้สึกว่าไม่คุ้มค่าการลงทุนใส่ใจเท่าไหร่ แต่คนส่วนใหญ่ชอบลืมคิดไปว่าถ้าเราสามารถจับกลุ่มเล็กๆ น้อยๆ ปลายแถวเหล่านั้นมารวมกันมันจะเป็นจำนวนหรือปริมาณที่มากมายมหาศาลขนาดไหน

นี่ยังไม่พูดถึงความได้เปรียบในการแข่งขันทางธุรกิจอีก ที่พอเราเน้นจับกลุ่ม Long tail กลุ่ม Niche ได้ก่อนคู่แข่งนั้นก็ยิ่งเป็น Barrier ป้องกันไม่ให้คู่แข่งรายไหนอยากจะเข้ามาเหนื่อยทำการตลาดกลุ่มเล็กๆ เหล่านี้แข่งกับเรา

จนกว่าที่เขาจะมีเทคโนโลยีใหม่ทำให้การผลิตสินค้าแบบ Personalization เกิดขึ้นได้ในราคาที่ถูกกว่าทุกวันนี้

Gucci Model Challenge แบรนด์หรูต้องเล่นได้

@morganpresleyxo

Y’all asked for another one so here we go ❤️🧐

♬ original sound – Morgan Presley

แคมเปญการตลาดสุดท้ายที่จะขอพูดถึงสำหรับกลยุทธ์ Eazy & Every Z Strategy ที่เป็นการทำให้แบรนด์เรานั้นง่ายที่ Gen Z จะเข้าถึงหรือเข้าหาได้มาจากแบรนด์หรูอย่าง Gucci ครับ

คุณอาจสงสัยว่าแบรนด์หรูหราอย่าง Gucci จะลดตัวลงมาทำการตลาดอย่างไรให้ Gen Z วัยรุ่นงบน้อยส่วนใหญ่เข้าถึงได้ ทีแรกผมก็คิดแบบนี้เหมือนกัน จนกระทั่งได้มารู้จักกระแส TikTok ที่ชื่อว่า #GucciModelChallenge ที่เกิดขึ้นแบบ Organic จนกลายเป็น Viral ไปทั่วโลกมากมาย

จุดเริ่มต้นคือมีคนหนึ่งขึ้นมาทำคลิปลง TikTok บอกกับ Gucci ว่าให้ช่วยจ้างตัวเองเป็นนางแบบของ Gucci ทีเถอะ เพราะฉันมีคุณสมบัติเหมาะสมอย่างมาก ลองดูซิว่าฉันแต่งตัวดูเป็นสาว Gucci ขนาดไหน

@gucci

@itsfionatho will be part of Gucci’s upcoming project for @tiktok with users who participated in the GucciModelChallange. Voice by @morganpresleyxo

♬ original sound – Gucci

ซึ่งถ้าดูจากคลิปจะเห็นว่าเป็นการทำคลิปเอาฮาในหมู่เพื่อน แต่กลายเป็นไวรัลไปทั่วโลกอย่างไม่น่าเชื่อ สรุปง่ายๆ คือการจะเป็นสาว Gucci หรือแต่งตัวแบบ Gucci นั้นแทบไม่มีกฏกติกาตายตัวแต่อย่างไร แต่พอจะมีหลักการคร่าวๆ ที่ผมสังเกตเจอดังนี้

  1. ใส่ให้เยอะชิ้นเข้าไว้ แม้แรกๆ ดูไม่แมชกันไม่เป็นพอ แต่ด้วยความเยอะจนมากพอมันจะลงตัวในท้ายที่สุด
  2. สำคัญต้องมีผ้าพันคอ Gucci ที่เอามาคลุมหัวแทนใช้พันพอ
  3. สำคัญสุดคือต้องมีแว่นกันแดด Gucci แว่นอันใหญ่ๆ โตๆ ดูแล้วรู้มาแต่ไกลว่าแบรนด์นี้แน่นอน
  4. ข้อสังเกตสุดท้าย พยายามใส่ให้สีขัดกันแบบสุดๆ

จาก Pattern ดังกล่าวกลายเป็นมีคนทำคลิป Recreation ต่อยอดกันใน TikTok มากมายมหาศาล ทางแบรนด์เองก็ไม่ได้อยู่เฉย ไม่ได้ออกมาห้าม แต่กลับพอใจและก็สนับสนุนเทรนด์นี้ไปกลายๆ จนเข้ามามีส่วนร่วมด้วย

นี่คือแคมเปญการตลาดแบบเริ่มต้นจาก User หรือ Customer จากนั้นแบรนด์ก็ต้องรีบหยิบมาต่อยอดเล่นกับกระแสนั้นให้ทัน ขนาดแบรนด์หรูอย่าง Gucci ยังทำ แล้วแบรนด์คุณจะมัวรออะไรอยู่

สรุปกลยุทธ์การตลาด Gen Z ด้วยการทำให้ Eazy for Every Z Strategy เพื่อวัยรุ่นทุกคน

รวมเคสแคมเปญการตลาดเจาะกลุ่ม Gen Z ด้วยกลยุทธ์ Eazy for Every Z Strategy จาก McDonald Diesel Shein Fenty Beauty และ Gucci

McDonald’s กับแคมเปญการตลาด Famous Orders เมนูที่ Gen Z ทุกคนสามารถกินตามคนดังได้ด้วยเงินน้อยนิด แถมดีไม่ดียังกินได้ดีกว่า

Diesel กับ Be a Follower : Side Biz เปิดโอกาสให้ Gen Z ทุกคนมาเปิดร้านออนไลน์ขายสินค้าแบรนด์ของตัวเองได้ง่ายๆ ด้วยการแปะลิงก์ Affiliate Marketing แล้วได้ส่วนแบ่งค่าคอมจากยอดขายกลับมา

Shein แบรนด์แฟชั่นเสื้อผ้าที่ทำให้วัยรุ่น Every Gen Z ทุกคนบนโลกสามารถเข้าถึงเสื้อผ้าสวยๆ ในราคาที่จับต้องได้

Fenty Beauty ของ Rihanna ที่ทำสกินแคร์มาเพื่อ Every Gen Z ได้เจอเครื่องสำอางที่เหมาะกับสีผิวตัวเองแบบไม่ต้องฝืนใจกล้ำกลืนแบบเดิม

Gucci แบรนด์หรูที่เปิดโอกาสให้ Every Gen Z สามารถเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์ได้ โดยไม่ต้องมีไอเท็มแบรนด์ทุกชิ้น เอาแค่ชิ้นหลักๆ หาซื้อง่ายอย่างแว่นตาก็เพียงพอแล้ว

เป็นอย่างไรครับกับกลยุทธ์การตลาดแบบ Eazy for Every Z บทความนี้ คงมากพอจะทำให้คุณเห็นภาพว่าเราจะทำการตลาดกับวัยรุ่นคนรุ่นใหม่อย่างไร ต่อให้เป็นแบรนด์ราคาถูกก็สามารถทำให้มีระดับขึ้นมาได้ ส่วนแม้จะเป็นแบรนด์หรูราคาแพง ก็สามารถทำให้ Gen Z งบน้อยรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์ได้เช่นกัน

ที่เหลือขึ้นอยู่กับความสามารถในการพลิกแพลงของคุณแล้ว ว่าจะพาแบรนด์คุณเข้าถึงเหล่าวัยรุ่น คนรุ่นใหม่ Gen Z ได้มากขนาดไหนครับ

Source
https://www.wk.com/work/mcdonalds-famous-orders/
https://antonkuerschner.com/diesel-be-a-follower/
https://www.preview.ph/fashion/gucci-model-challenge-tiktok-a00232-20200920

Nattapon Muangtum

เจ้าของเพจการตลาดวันละตอน / อาจารย์พิเศษวิชา Data-Driven Communication / เขียนหนังสือมาแล้ว 5 เล่ม Personalized Marketing, Data-Driven Marketing, Data Thinking, Contextual Marketing และ Social Listening / ที่ปรึกษา Data-Driven Advisor

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *