Creative Marketing Campaign แก้ปัญหาคนซื้อพาสต้าน้อยลงเพราะไม่อยากเปลืองแก๊ส
ผู้เขียนเชื่อว่าผู้ประกอบการ นักการตลาด นักขาย เจ้าของธุรกิจจะต้องเคยประสบกับปัญหาลูกค้าไม่ค่อยซื้อของกันอย่างแน่นอน อยู่ดี ๆ จะต้องมีเรื่องให้ยอดขายลดลงเปรียบเสมือนฝันร้ายของผู้ที่เกี่ยวข้องและไม่อยากจะให้เกิดขึ้นเลยในชีวิตของการทำงาน ดังนั้น ในบทความนี้เราจะพามารู้จักกับ Passive Cooking ⏤ Creative Marketing Campaign แบรนด์พาสต้าจากอิตาลี
ที่ประสบปัญหาคนซื้อสินค้าน้อยลงจนหน้าใจหาย อันเนื่องมาจากแก๊สแพง คนไม่อยากจะซื้อพาสต้าไปต้มเพราะมันจะเปลืองแก๊ส เรามาดูกันว่าแบรนด์จะมีวิธีการแก้ปัญหานี้ยังไงถึงเอาชนะความไม่กล้าใช้เงินของผู้บริโภคจนสร้างยอดขายถล่มทลายไม่เกรงใจค่าแก๊สสุดแพงแสนแพงกันเลยทีเดียว!
ที่มาที่ไปของแคมเปญ Passive Cooking ⏤แก๊สแพง คนไม่อยากซื้อพาสต้าไปต้มให้เปลืองแก๊ส
Prompt: A woman is boiling pasta with a worried expression, her face is sweating, there are many pasta boxes in the kitchen
ใครที่เป็นสาย Foodie ชอบกินอาหารอิตาลีต้องคุ้นเคยกับวัตถุดิบอาหารขึ้นชื่อมีติดบ้านประจำชาติของคนอิตาลีอย่างพาสต้า ในช่วงเวลานั้น Barilla ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์พาสต้ากำลังประสบปัญหาใหญ่ อันเนื่องมาจากวิกฤตสงครามและเงินเฟ้อทำให้พลังงานขาดแคลน ค่าแก๊สแพงมากถึงมากที่สุด
และพาสต้าเป็นอาหารที่ต้องใช้แก๊สเยอะ แถมยังต้องใช้เวลาต้มนาน ทำให้คนตัดสินใจที่จะไม่ซื้อพาสต้าไปทำอาหารเพราะไม่อยากเปลืองแก๊ส ทำให้ Barilla ต้องเผิชญหน้ากับปัญหายอดขายที่ตกลง แบรนด์จึงปิ๊งไอเดียออกมาแก้ปัญหา กระตุ้นให้คนกลับมาซื้อพาสต้ามากขึ้น โดยการออกแคมเปญการตลาดที่มีชื่อว่า Passive Cooking
ลดเวลาต้มให้น้อยลง ใช้แก๊สน้อยกระตุกใจให้คนอยากซื้อพาสต้ากลับไปต้มที่บ้านมากขึ้น
ซึ่งแนวคิดของไอเดียนี้มาจากการที่แบรนด์พบว่าภูมิปัญญาเก่าแก่ของคนอิตาเลียน ตั้งแต่ยุค 1800 มีวิธีการปรุงพาสต้าที่เรียกว่า Passive Cooking โดยต้มพาสต้าในน้ำเดือดแค่ 2 นาที (จากเดิมที่ต้องใช้เวลาต้มเกือบ ๆ 10 นาทีหรือมากกว่านั้น) หลังจากนั้นก็ปิดไฟและปิดฝาอีกสักพักเมื่อเปิดฝาพาสต้าจะสุกพอดี
Barilla จึงทำแคมเปญโปรโมตวิธีปรุงแบบนี้ด้วยการเปลี่ยนวิธีปรุงบนฉลากให้เป็นแบบใหม่ทั้งหมด ชี้ชัดให้เห็นกันไปเลยว่าต้มด้วยวิธีนี้เปรียบเทียบกับการต้มแบบเก่า แต่ละแบบจะใช้เวลาเท่าใด
ใส่ใจมากกว่าแค่ยอดขาย แต่ยังเผื่อแผ่ไปยังกลุ่มลูกค้าทุก Segment
มากไปกว่านั้น แบรนด์ยังได้แสดงความใส่ใจต่อผู้บริโภคที่ไม่เชี่ยวชาญในการปรุงอาหารผ่านนวัตกรรมที่เรียบง่ายแต่มีประสิทธิภาพและช่วยให้ผู้บริโภคและตลาดได้รับความปรารถนาดีของพวกเขาผ่านเครื่องตั้งเวลาสำหรับการต้มพาสต้าแบบ Passive Cooking
โดย Barilla อนุญาตให้ทุกคนสามารถเข้าถึงไฟล์สำหรับสั่งพิมพ์ Passive Cooker ด้วยเครื่องพิมพ์สามมิติด้วยการดาวน์โหลดชุดไฟล์จากหน้า Passive Cooking ในเว็บไซต์ barilla.com โดยมีชิ้นส่วนที่จะต้องซื้อเพิ่มเพื่อประกอบคือแผงสำหรับใส่ถ่านขนาด AAA และแผงวงจรเพื่อให้ Passive Cooker สามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนผ่านแอปพลิเคชั่นที่มีให้บริการผ่านทั้ง iOS และ Android
หลักการทำงานของ Passive Cooker จะเริ่มจากการตั้งน้ำในหม้อแล้วปิดฝาก่อนวาง Passive Cooker ลงด้านบนฝาหม้อหลังจากที่เชื่อมต่อผ่านแอพพลิเคชั่นแล้ว ในแอพพลิเคชั่นจะมีคำแนะนำสำหรับการทำพาสต้าแต่ละประเภทให้สุก และเมื่อน้ำเดือด แอปพลิเคชั่นจะเตือนให้ปิดเตาแล้วเข้าสู่กระบวนการ Passive Cooking คือการใส่เส้นแล้วจับเวลาเพื่อนำเส้นไปปรุงต่อ
สรุป Creative Marketing Campaign แก้ปัญหาคนซื้อพาสต้าน้อยลงเพราะไม่อยากเปลืองแก๊ส
สิ่งเหล่านี้ทำให้เราเห็นว่าแบรนด์มีความใส่ใจต่อการครองชีพของผู้บริโภคอย่างแท้จริง นอกจากจะทำการคิดค้นหาทางแก้ไขปัญหามาช่วยในยามที่ผู้บริโภคเกิดวิกฤต แบรนด์ยังสร้างสรรค์นวัตกรรมมาให้ตอบโจทย์กับกลุ่มคนที่ประกอบอาหารไม่เก่งอีกด้วย
โดยแคมเปญนี้ Passive Cooking มียอดเข้าถึงมากกว่า 1 ล้านคนภายในสามสัปดาห์แรกหลังจากเปิดตัว เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างล้มหลาม เข้าใจหัวใจของผู้บริโภคได้อย่างทล่มทลาย ซึ่งหากเรามองให้ลึกลงไปอีก แคมเปญนี้นอกจากช่วยแก้ปัญหาลูกค้า ยังเล่าเรื่องวัฒนธรรมของอิตาเลียนที่สูญหายให้คนรุ่นใหม่รู้จักอีกด้วย อาจก่อให้เกิด Brand Love สร้างความผูกพันธ์สำหรับผู้บริโภคที่มีความชื่นชอบความเป็นชาติพันธุ์ของตัวเองได้อีกด้วยค่ะ
หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์และสร้างไอเดียใหม่ ๆ ต่อผู้อ่านทุกคนนะคะ แล้วพบกันใหม่บทความหน้าค่ะ
สำหรับใครที่อยากอ่านบทความเกี่ยวกับการตลาด หรือข่าวสารการตลาด แบบจัดหนักจัดเต็ม สามารถติดตามได้จาก เพจการตลาดวันละตอน รวมไปถึงเว็บไซต์ Twitter Instagram YouTube และ Blockdit ของการตลาดวันละตอนด้วยนะคะ
