ถอดบทเรียน “กลยุทธ์การตลาด Barbie Marketing” ที่กาลเวลาก็ฆ่าไม่ได้
หลายคนคงรู้จักกับตุ๊กตาผมบลอน ตาโต แต่งตัวสวยงามในชื่อของ Barbie ซึ่งเป็นที่รู้จักในหมู่สาวๆมาอย่างยาวนาน ไม่เพียงแต่บาร์บี้จะเป็นสัญลักษณ์แห่งความคิดถึงเรื่องราวในอดีต แต่ยังเป็นสิ่งที่คิดทางทีมได้คิดกลยุทธ์ออกมาอย่างรอบครอบทั้งในแง่ของการเพิ่มยอดขายและการสร้าง Brand Loyalty โดยในบทความนี้เราจะมาแกะบทเรียนของ กลยุทธ์การตลาด Barbie Marketing ทีละประเด็นไปกับผู้อ่านพร้อมๆกัน
พลังของโลกสีชมพู
เป็นเวลามากกว่า 64 ปีแล้วที่แบรนด์บาร์บี้ยังใช้สีชมพูเป็นเอกลักษณ์ของตุ๊กตา นั่นคือการแสดงถึงพลังแห่งความสม่ำเสมอ ด้วยการที่ยึดมั่นในการทำแบรนด์ โดยไม่ได้เปลี่ยนสีไปตามกระแสแฟชั่น การเลือกใช้กลยุทธ์นี้ไม่ได้เพียงแค่ส่งเสริให้แบรนด์มีเอกลักษ์เพียงแค่นั้น แต่ยังทำให้ภาพลักษณ์โดดเด่นและน่าจดจำอีกด้วย นักการตลาดสามารถเรียนรู้จากข้อนี้ได้ แต่ต้องให้มั่นใจก่อนว่าสีของแบรนด์นั้นสามารถกระตุ้นอารมณ์ได้เหมาะสมกับสินค้าตัวเองอยู่มั้ย
ตัวอย่างป้าย Billboard ที่ใช้แค่สีชมพู เพื่อโปรโมทภาพยนต์
ขยายฐานแฟนคลับด้วยการจับมือกับแบรนด์ต่างๆ
การร่วมมือกับแบรนด์ต่างๆกว่า 100 แบรนด์ในรูปแบบต่างๆ ทั้งผลิตภัณฑ์ เสื้อผ้า และรูปแบบความบันเทิงต่างๆ ความร่วมมือเหล่านี้ช่วยให้เข้าถึงผู้ชมได้กว้างขึ้นและสร้างความฮือฮาให้กับแบรนด์ ส่งผลให้ยอดขายเพิ่มขึ้น ซึ่งเราก็ปฎิเสธไม่ได้ว่าสาวๆมักจะพูเถึงบารืบี้กันอยู่ตลอด ละยกให้เป็นไอคอนิคแห่งความสวย น่ารัก นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทีมการตลาดที่สร้างผลงานในรูปแบบต่างๆมามากกส่า 64 ปี ด้านล่างเป็นแค่ตัวอย่างของแบรนด์ที่ไปร่วมมือในรูปแบบต่างๆ
ตัวอย่างที่บาร์บี้จับมือกับแบรนด์ต่างๆ
ลบภาพการตลาดแบบเดิมๆแล้วกล้าที่จะใช้ประโยชน์จาก AI
การใช้นวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ที่ทำให้การตลาดนั้นสำเร็จได้ ยกตัวอย่างกระแสตอนนี้เลยคือการโปรโมทภาพยนต์ ที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆมาใช้ เช่น การสร้าง awreness ผ่านหน้า Google ที่เปลี่ยนเป็นสีชมพูวิงค์เมื่อเสิร์ชคำว่า “Barbie” ในช่องเสิร์จ ทำให้นักการตลาดหลายคนนั้นควรเปิดรับเทคดนโลยีและสร้างประสบการณ์ที่สามารถโต้ตอบผู้บริโภคได้ เพื่อให้แคมเปญนั้นสดใหม่อยู่ตลอดเวลา ไม่ตกยุคสมัยนั่นเอง
Nostalgia Marketing กับการพาย้อนอดีตที่สวยงาม
บาร์บี้ใช้ประโยชน์จากความคิดถึงของที่ผู้ใหญ่หลายคนหวนนึกถึงวันวานที่แทรกเข้าไปได้อย่างสวยงาม กระตุ้นความทรงจำในวัยเด็กได้เป็นอย่างดี แคมเปญต่างๆที่สร้างออกมาไม่ได้เพียงจะดึงดูดแค่ผู้ชมหน้าใหม่เท่านั้น แต่ยังรวมถึงคนที่เติบโตมากับเรื่องราวในโลกสีชมพู นักการตลาดสามารถเรียนรู้ได้จากการลองทบทวนจุดแข็งของแบรนด์ผสมผสานกับองค์ประกอบต่างๆของความคิดถึงความทรงจำในวัยเด็ก
เปลี่ยนจาก what she looks like เป็น what she represents เพื่อยอมรับความหลากหลาย
การรู้จักโอบรับความหลากหลายทางสังคม โดยการเปลี่ยนการเปลี่ยนจุดสนใจจากรูปร่างหน้าตาเป็นการเป็นตัวแทน แนะนำชาติพันธุ์ที่หลากหลาย และเน้นความมั่นใจ การศึกษา และภาพลักษณ์ของร่างกาย มุมมองนี้ส่งผลให้บาร์บี้มียอดขายที่เติบโตอย่างมาก
Barbie Marketing ไม่ได้อยู่แค่ออนไลน์ แต่ High street คือโอกาส
แม้ว่าอุตสาหกรรมของ High street ที่อยู่ช่องทางออฟไลน์จะได้รับผลกระทบและปิดตัวไปจำนวนมาก แต่ทางทีมยังคงมองเป็นโอกาส โดยใช้กลยุทธ์ “Retail-tainment” เพื่อดึงดูดลูกค้า ด้วยการเชื่อมโยงประสบการณ์ดิจิทัลและประสบการณ์จริง การค้าปลีกสามารถฟื้นฟูได้ และเป็นประโยชน์ต่อโลกของเล่นอย่างมาก ทางบริษัทก็ยังตั้งเป้าหมายที่จะสร้างความต้องการสำหรับผลิตภัณฑ์ของตนโดยไม่คำนึงว่าผู้บริโภคจะซื้อของจาก Touchpoint ไหนบ้าง และกำลังสำรวจโอกาสที่นอกเหนือจากของเล่น เช่น เกมดิจิทัล Live Event ความร่วมมือกับแบรนด์ และภาพยนตร์ เช่น ภาพยนตร์บาร์บี้ เพื่อขยายการเล่าเรื่องและวัตถุประสงค์ของแบรนด์ไปยังผู้ชมที่กว้างขึ้น
สรุป กลยุทธ์การตลาด Barbie Marketing
กลยุทธ์ทางการตลาดของบาร์บี้เป็นแรงบันดาลใจให้กับนักการตลาดที่ต้องการสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์และเชื่อมต่อกับกลุ่มเป้าหมาย ที่มีทั้งฐานแฟนคลับใหม่และเก่า ด้วยการใช้สีชมพูของแบรนด์ที่เป็นที่รู้จัก การสร้างพันธมิตร ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี กระตุ้นความคิดถึง ส่งเสริมความหลากหลาย และปรับตัวเข้ากับกระแสที่เปลี่ยนแปลง นักการตลาดสามารถสร้างแคมเปญที่ส่งผลกระทบได้ นักการตลาดไม่ควรลังเลที่จะรีเฟรชความสดใหม่ในการคิดแคมเปญ แต่ยังคงความเป็นจุดแข็งของแบรนด์ไว้
นอกจากนั้นยังมองว่า ความคิดสร้างสรรค์ต้องมาก่อน อย่างที่ได้เล่าให้เพื่อนๆฟังไปแล้ว่าบาร์บีนั้นมีประวัติค่อนข้างที่ยาวนาน เพราะฉะนั้นการที่ทีมการตลาดจะโปรโมทในรูปแบบเดิมๆ ก็อาจจะทำให้แฟนคลับเบื่อสะก่อน ซึ่งเราก็ยอมได้ว่าทีมนักการตลาดของบาร์บี้นั้นทำงานกันอย่างหนัก ในการที่จะรังสรรค์ความคิดสร้างสรรค์ออกมาให้เราเห็นอยู่บ่อยๆ
