Wellness Collaboration การรวมแบรนด์เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของลูกค้า
หลายแบรนด์มักจะพยายามสื่อสารว่า การใช้สินค้าหรือบริการของแบรนด์ จะช่วยให้ชีวิตของลูกค้าดีขึ้นได้อย่างไร เพื่อบอก Product Value ของตัวเองแก่ลูกค้าที่จะนำไปสู่การปิดการขาย โดยชีวิตที่ดีขึ้นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับสินค้า/บริการของแบรนด์ รวมถึงนิยามชีวิตที่ดีขึ้นที่ต่างกันไปตามยุค ซึ่งสำหรับยุคนี้ก็ต้องยกให้เป็นเรื่องของ Wellness ที่ลูกค้ามักจะให้ความสำคัญมากที่สุด วันนี้เบสเลยอยากเอา Case Study ที่ว่าด้วยเรื่อง Wellness Collaboration มาเล่าให้ทุกคนได้อ่านกันครับ
Well-Being : Wellness Collaboration
หากใครที่มีโอกาสได้อ่านบทความ เทรนด์ Health & Wellness – Work ไร้ Balance สู่ Work Life Balance +120% ที่คุณนุ่นเขียนให้ทุกคนได้อ่านก่อนหน้านี้ จากภาพด้านบนจะเห็นว่า การพูดถึงหรือ Engagement เกี่ยวกับ Wellness Topics สูงขึ้นมาเยอะมากเมื่อเทียบกันกับช่วงปี 2021 ที่ผ่านมา
หมายความว่า ตอนนี้คนส่วนใหญ่เริ่มหันมาให้ความสำคัญในเรื่องของ Wellness หรือคุณภาพชีวิตที่ดีกันมากขึ้นกว่าเดิมค่อนข้างมากเลยครับ
ซึ่งหากเราลอง Breakdown เกี่ยวกับคุณภาพชีวิตที่ดีออกมา จะสามารถแยกปัจจัยที่ทำให้เกิดคุณภาพชีวิตที่ดีออกมาได้ โดยแบ่งเป็น 7 องค์ประกอบด้วยกัน ได้แก่ สังคม, หน้าที่การงาน, จิตวิญญาณ, สติปัญญา, ร่างกาย, อารมณ์ และสภาพแวดล้อม
ในทางทฤษฏีกล่าวไว้ว่าหากทั้ง 7 องค์ประกอบนี้มีความสมดุลซึ่งกันและกัน หรือมีระดับคุณภาพของบางองค์ประกอบที่ดีราว 4 ใน 7 ก็จะทำให้เรามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นมาได้ไม่มากก็น้อยแล้วครับ
ซึ่งแน่นอนว่าจากสถานการณ์ในช่วงเวลาที่ผ่านมา สถานการณ์โรคระบาด ที่นำไปสู่เป็นชีวิต New Normal, สภาวะความกดดันในเรื่องต่าง ๆ อย่างสภาพเศรษฐกิจ ด้วยภาวะเหล่านี้ก็ส่งผลให้คุณภาพชีวิตที่มีอยู่เดิมของทุกคนเปลี่ยนไปแล้วแต่ปัจจัยในชีวิตของคนแต่ละคน
โดยจาก Insight ที่พบคือ ณ ตอนนี้ทุกคนต่างต้องการรีบฟื้นตัวเองกลับมาให้เป็นปกติ หรือให้มีคุณภาพชีวิตที่มั่นคงมากขึ้น เพราะเริ่มเห็นว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ดูเหมือนจะเริ่มผ่อนคลายลงแล้ว
ในเชิงของการทำธุรกิจและการตลาด จึงมีความเป็นไปได้ว่า ใครที่สามารถตอบสนองต่อการใช้ชีวิตอย่างมี Wellness กับลูกค้าได้ดีที่สุด คนนั้นก็มีโอกาสที่จะได้รับประโยชน์มากที่สุดในการแข่งขันในช่วงเวลานี้
ซึ่งสำหรับธุรกิจที่ทำเกี่ยวกับ Wellness โดยตรง จากเดิมที่ได้รับความสนใจมากอยู่แล้ว จะยิ่งเป็นโอกาสในการทำการตลาดเพื่อสร้างประโยชน์ให้กับธุรกิจมากยิ่งขึ้นไปอีก
อย่างในบริบทของประเทศไทยก็จะเห็นว่า หลายแบรนด์ในธุรกิจ Wellness เริ่มเปิด Product Series ใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มทางเลือกที่ตอบสนองต่อคุณภาพชีวิตที่ดีของลูกค้าให้ได้มากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเริ่มมีธุรกิจที่จัดจำหน่ายหรือนำเสนอนวัตกรรมที่เกี่ยวกับเรื่องของ Ergonomics เกิดขึ้นมาหลายแบรนด์มากเหมือนกัน
จุดสังเกตสำหรับสถานการณ์นี้คือ สำหรับธุรกิจหรือแบรนด์ที่ไม่สามารถถ่ายทอด Product Value ในเชิงของ Wellness ได้อย่างครอบคลุมหรือชัดเจนมากเท่าธุรกิจ Wellness โดยตรง จะสามารถคว้าโอกาสนี้ได้อย่างไร
ทั้งหมดนี้เองนำไปสู่การหา Solution เพื่อสร้างโอกาสให้กับแบรนด์ ซึ่งหนึ่งในนั่นคือ การทำ Wellness Collaboration หรือการร่วมมือกันระหว่างแบรนด์เพื่อเพิ่มความครอบคลุมหรือความชัดเจนในการตอบสนองต่อคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับลูกค้านั่นเองครับ
Real Asset x Technogym
เมื่อไม่นานมานี้เบสได้เห็นข่าวเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ กับ ธุรกิจด้านเทคโนโลยีการออกกำลังเพื่อสุขภาพ อย่าง Real Asset กับ Technogym ที่เบสมองว่าเป็นการทำ Wellness Collaboration ที่ค่อนข้างน่าสนใจมากครับ
ซึ่งการ Collaboration กันระหว่างทั้ง 2 แบรนด์นี้คือทาง Technogym จะเข้ามามีส่วนร่วมในการออกแบบและดูแลอุปกรณ์ของฟิตเนสส่วนกลางภายในโครงการของทาง Real Asset ให้กลายเป็น Smart Fitness Center ตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นไป ทั้งโครงการในแนวราบ และคอนโดมิเนียม ที่กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้างที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
โดย Real Asset เป็นแบรนด์ธุรกิจอสังหาที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นได้ไม่นานมานี้ ที่มีทั้งโครงการในแนวราบและแนวตั้งที่น่าสนใจมากมาย ด้วยวิสัยทัศน์ “Believing A Better You is Possible” ที่เชื่อมันว่าทุกคนสามารถดีขึ้นกว่าเดิมได้
ผ่านแนวคิด Neverland ที่ทุกโครงการของแบรนด์จะมีการออกแบบและการให้บริการโดยคำนึงถึงการส่งเสริมสุขภาวะที่ดีของลูกค้าเป็นหลัก เช่น การส่งเสริมให้ออกกำลังกาย, การมีสุขภาพจิตที่ดีไร้กังวล, การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์, การให้ความรักความสำคัญกับคนในครอบครัว และการเข้าถึงผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์
ค่อนข้างเรียกได้ว่าเป็นการส่งเสริม Wellness Wheel พอสมควรเลยครับ
อย่างไรก็ตามการนำเสนอในเชิงของ Wellness ของธุรกิจอสังหาก็อาจจะมีขีดจำกัดบางอย่าง เพราะการสื่อสารของแบรนด์ก็มีความจำเป็นที่จะต้องให้ความสำคัญกับรูปแบบของบ้านหรือคอนโดที่น่าสนใจอที่มีผลต่อการขายสินค้าเป็นหลักก่อนอยู่ดี ทำให้อาจไม่สามารถสื่อสารเรื่องของ Wellness ออกมาได้อย่างเต็มที่
อีกทั้งแม้ว่าการมี Facilities ต่าง ๆ ที่มีพร้อมที่จะมอบคุณภาพชีวิตที่ดีต่อผู้บริโภคได้ แต่ทุกแบรนด์อสังหาหลายแบรนด์ล้วนแล้วก็สื่อสารในเรื่องแบบนี้หมด อาจทำให้ไม่เกิดความแตกต่างที่น่าสนใจในตัวแบรนด์มากนัก ที่จะมาช่วยสร้างโอกาสให้กับแบรนด์มากยิ่งขึ้น
ในส่วนของ Technogym ที่เป็นแบรนด์ธุรกิจด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างๆ ที่มุ่งพัฒนาให้เครื่องออกกำลังกายของแบรนด์สร้างประสบการณ์การออกกำลังกายที่ดีที่สุดแก่ลูกค้าภายใต้คอนเซปต์ Wellness Company จากประเทศอิตาลี
โดยแบรนด์ให้ความสำคัญ ตั้งแต่ ประสิทธิภาพในการออกกำลังกาย ไปจนถึงสัมผัสและความรู้สึกที่ได้รับจากดีไซน์ของเครื่องออกกำลังกายที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ ที่จะเข้ามาช่วยส่งเสริมให้บรรยากาศในการออกกำลังกายสนุกยิ่งขึ้น ถือเป็นแบรนด์ที่มีภาพลักษณ์ที่ดีในเชิงของ Wellness มากเลยครับ
และด้วยฟีเจอร์หรือเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่แบรนด์มี ก็น่าดึงดูดที่จะทำให้ใคร ๆ ที่เริ่มสนใจการดูแลสุขภาพอยากจะมาออกกำลังกายกันหมด รวมไปถึงคนที่ชอบออกกำลังกายแบบทั่วไปจนถึงระดับจริงจัง
ทั้งหมดนี้จึงนำไปสู่การ Collaboration ที่มีจุดที่น่าสนใจ ที่เรียกได้ว่า เป็นความร่วมมือที่เข้ามาเพิ่มโอกาสทางธุรกิจให้ทาง Real Asset ได้อย่างดี
เนื่องจากแบรนด์สามารถกลายเป็นแบรนด์ที่มี Product Value ที่ตอบสนองความต้องการผู้บริโภคในเรื่องของ Wellness ที่ชัดเจนมากขึ้น จากการได้ Technogym ที่มีจุดเด่นด้าน Wellness ชัดเจนมากอยู่แล้วเข้ามาเสริม
ซึ่งส่งผลต่อเนื่องให้สิ่งนี้กลายเป็นจุดแข็งในการต่อสู้ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ได้อย่างดีด้วย เพราะเกิดความโดดเด่นที่นำไปสู่ความแตกต่างจากคู่แข่ง ในการให้ความสำคัญกับประสบการณ์การออกกำลังกายของลูกค้าเป็นพิเศษ ที่แบรนด์อื่นก็ยากที่จะทำตามได้
นอกเหนือจากนี้แล้วทางฝั่ง Technogym เองที่เป็นแบรนด์ต่างชาติ ก็ยังได้มีโอกาสเข้าถึงผู้บริโภคได้มีประสบการณ์ใช้สินค้าของทางแบรนด์มายิ่งขึ้น และช่วยส่งเสริมความแข็งแรงในด้าน Branding และ Credit ในการทำธุรกิจของแบรนด์มากยิ่งขึ้นอีกด้วย
เป็นความร่วมมือที่นอกจากจะส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับลูกค้าให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้นใน Wellness Wheel แล้ว ยังเข้ามาเป็นส่วนเติมเต็มให้กันและกันระหว่างแบรนด์ได้อย่างดีอีกด้วย
บทสรุป
แน่นอนครับว่า การ Collaboration ก็เป็นสิ่งที่ไม่ว่าใคร ๆ ก็สามารถทำได้เหมือนกันครับ หากสามารถปิดดีลที่ต่างฝ่ายต่างเห็นประโยชน์ร่วมกันได้แล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องยาก
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ไม่ควรมองข้ามไปเลยจากการ Collab กัน ควรทำ Checklist เพื่อตอบให้ได้ก่อนครับว่า
- การร่วมมือจะสามารถสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับแบรนด์มากขึ้นได้อย่างไร
(จาก Case Study ที่เป็น Wellness Collaboration เพราะเป็นการร่วมมือที่มุ่งหวังจะเพิ่ม Value ให้กับแบรนด์ผ่านการเสริมความแข็งแรงด้าน Wellness ให้มากขึ้นของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มีข้อจำกัดด้านการสื่อสาร) - การร่วมมือจะพาแบรนด์ไปสู่จุดไหนในตลาดได้บ้าง
- การร่วมมือจะช่วยส่งเสริมให้แบรนด์สามารถให้อะไรกับผู้บริโภคได้รับสิ่งที่ดีที่สุดได้อย่างไร
การเลือก Collab โดยคำนึงถึง 3 สิ่งนี้เป็นหลัก จะทำให้ไม่ใช่แค่แบรนด์จะได้รับโอกาสและสร้างผลประโยชน์แค่ในระยะสั้นเท่านั้น
แต่ยังส่งผลในระยะยาวในภาพลักษณ์ของแบรนด์ ที่สะท้อนว่า แบรนด์มีความตั้งใจที่จะมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าของพวกเขาอย่างไรบ้าง นำไปสู่การตอบแทนจากลูกค้าที่จะกลับมาอย่างคุ้มค่าอย่างแน่นอน
สามารถอ่านบทความอื่น ๆ ของการตลาดวันละตอนได้ที่ คลิก
Ref.
yusabuy.com
ginkgosociety.com
healthdesigns.net
health.org.uk