การตลาด DeeMoney ชู 3 Unique selling points เรทดี ไวดี ง่ายดี

การตลาด DeeMoney ชู 3 Unique selling points เรทดี ไวดี ง่ายดี

ใคร ๆ ก็ชอบเรื่องที่ทำให้ชีวิตเราง่ายขึ้นใช่ไหมล่ะคะ เมื่อสังคมไร้เงินสดและการชำระเงินผ่านช่องทางออนไลน์แทบจะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน และท่ามกลางอุตสาหกรรม FinTech ที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง วันนี้จะชวนทุกคนมาดู การตลาด DeeMoney FinTech สัญชาติไทยรายแรกที่กระโดดลงมาสร้างแบรนด์อย่างจริงจัง

ในปี 2024 ที่อุตสาหกรรม FinTech ทั้งของไทยและของโลก มีแนวโน้มเติบโตขึ้น เนื่องจากมีบริษัทต่าง ๆ ที่ให้บริการด้านการเงินและเทคโนโลยีที่สนับสนุนการเงินมากมาย อีกทั้งคนทั่วโลกต่างก็กำลังให้ความสนใจในการใช้บริการ FinTech กันเพิ่มมากขึ้น

อีกทั้งคนทั่วโลกและคนไทยมีปริมาณการชำระเงินผ่านช่องทางออนไลน์เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เรียกได้ว่า FinTech กำลังมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงวิธีการทำธุรกิจและการเงิน ทั้งในระดับประเทศและระดับโลกเลยทีเดียว

เพราะใคร ๆ ก็คงชอบเรื่องที่ง่ายกับชีวิตใช่ไหมล่ะคะ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ใช้บริการที่ต้องการความสะดวกสบายในการทำธุรกิจและการเงิน ดังนั้นแน่นอนว่าก็ทำให้ยิ่งมีการพัฒนาเทคโนโลยีที่ทันสมัยอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์คนกลุ่มนี้นั่นเอง ถือเป็นโอกาสที่ดีที่เราไม่ว่าจะฝั่งของธุรกิจเอง รวมถึงฝั่งของผู้ใช้งาน ควรที่จะต้องหันมาให้ความสำคัญไปพร้อมกัน

อย่างที่เราทราบกันดีว่า DeeMoney คือ FinTech สัญชาติไทย เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการโอนเงินไปต่างประเทศ ที่รองรับมากกว่า 26 สกุลเงิน และครอบคลุมมากกว่า 50 ประเทศทั่วโลก ภายใต้การบริหารงานของคุณอัศวิน พละพงศ์พานิช CEO & Co-Founder และคุณรัศเมฆ ศรีเศรษฐี MD & Co-Founder

ที่สำคัญคือในปีที่ผ่านมา การตลาด DeeMoney เรียกได้ว่าเป็น Fintech รายแรกของไทย ที่กระโดดลงมาสร้างแบรนด์อย่างจริงจัง ผ่านการสื่อสารกับกลุ่มลูกค้า ด้วยการออกภาพยนตร์โฆษณาตัวแรกที่ชื่อ “โอนไวระห่ำโลก” และต่อยอดเป็นกิจกรรมผ่านแคมเปญชื่อ #DeeMoneyOWNDEEChallenge 

เรียกได้ว่าตัวโฆษณาได้สร้าง Brand Awareness ผ่านการเล่าเรื่องราวจาก Customer Experience คือชี้ให้เห็นถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงของเราทุกคนได้แบบที่ใครดูก็เข้าใจได้ในทันที

และยังมีกิจกรรมส่งเสริมการขาย เพื่อกระตุ้นการเพิ่ม Transaction สำหรับลูกค้าใหม่และลูกค้าปัจจุบัน ในกิจกรรม “DeeMoney โอนดีแจกฟรีเทสล่า” นอกจากนี้ยังจับมือกับพันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่างธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ในการบุกตลาดเมียนมาในประเทศไทยอีกด้วย

ซึ่งแน่นอนว่าจากความตั้งใจในการปั้นแบรนด์และสร้างการรับรู้ ก็ทำให้ได้รับผลตอบรับที่ดี โดย Brand Positive Awareness เพิ่มขึ้นเป็น 45% เลยทีเดียว

ดังนั้นในปีนี้ DeeMoney จึงเตรียมต่อยอดและตอกย้ำแบรนด์ผ่านจุดเเข็งในเรื่องของ “เรทดี ไวดี ง่ายดี” และผลักดัน Application DeeMoney ให้มียอดดาวน์โหลดมากขึ้น หันมารุกตลาดที่มีศักยภาพสูง เพื่อกระตุ้นยอด Transaction ให้เพิ่มมากขึ้นด้วยนั่นเอง

จากการใส่ใจถึงความต้องการของลูกค้า แน่นอนว่านำมาสู่การพัฒนา ปรับปรุง และเพิ่มประสิทธิภาพของบริการอยู่เสมอ เพื่อตอบสนองความพึงพอใจของผู้ใช้งาน

DeeMoney จึงมีการพัฒนาและอัปเดต Feature ใหม่ ๆ ในแอปพลิเคชัน เช่น การเพิ่มฟังก์ชั่นด้านภาษาใน Application ‘DeeMoney’ ที่สามารถรองรับได้มากถึง 7 ภาษา ไม่ว่าจะภาษาจีน ภาษาเมียนมา ภาษาตากาล็อค เป็นต้น 

นอกจากนี้ยังอัปเกรดบริการเพิ่มเติม เช่น การเปิดรูปแบบการโอนเงินส่วนบุคคลไปยังธุรกิจที่ประเทศอินเดีย (India P2B: Personal-to-Business)  นับว่าเป็นการตอบโจทย์ผู้ใช้บริการที่ต้องการโอนเงินในด้านธุรกิจไปยังประเทศอินเดีย

และ PHP Wallet การโอนเงินผ่าน DeeMoney ไปยัง 6 Wallets ชั้นนำในประเทศฟิลิปปินส์ เพราะปัจจุบันจำนวนผู้ใช้ช่องทางการทำธุรกรรมแบบไร้เงินสดในฟิลิปปินส์เพิ่มขึ้น 84% โดย Mobile Wallet คือช่องทางการชำระเงินดิจิทัลหรือไร้เงินสดที่เป็นที่ต้องการในฟิลิปปินส์

มาถึงแก่นหลักหรือพระเอกของเรื่อง ในการทำธุรกิจแน่นอนว่าหากเรามี Unique selling points ที่แตกต่างหรือโดดเด่นมากกว่าคนอื่น ๆ ย่อมเป็นโอกาสที่ดีที่จะดึงดูดความสนใจและทำให้คนตัดสินใจเลือกเราได้ง่ายมากขึ้น โดยในปีนี้ DeeMoney ยังคงสานต่อจุดแข็งของแบรนด์ กับ 3 USP สำคัญ นั่นก็คือ เรทดี-ไวดี-ง่ายดี เรามาดูทีละตัวไปพร้อมกันค่ะ

ดีแรก ในส่วนของเรทดี หรือก็คืออัตราแลกเปลี่ยนที่ดีนั่นเอง คือ DeeMoney คิดค่าธรรมเนียมการทำรายการคงที่ โดยการโอนเงินไปต่างประเทศจะมีค่าบริการเริ่มต้นที่ 125 บาทเท่านั้น ซึ่งเมื่อเทียบกับค่าบริการของคู่แข่งรายอื่นในตลาด ทาง DeeMoney คิดค่าบริการในราคาที่ถูกกว่า

ดีที่สอง คือไวดี อย่างที่ทุกคนได้เห็นกันไปด้านบนกับภาพยนตร์โฆษณาตัวแรกอย่าง ‘โอนไวระห่ำโลก’ ที่ DeeMoney ได้ทำการสื่อสารไปถึงกลุ่มลูกค้า ว่าแบรนด์นั้นขึ้นชื่อในเรื่องของการ ‘โอนไว’ นั่นเอง

โดยมีการการันตีระยะเวลาที่เงินจะเข้าบัญชีปลายทางภายใน 1 วันทำการ เรียกได้ว่าสะดวกสบาย ง่าย และที่สำคัญคือความรวดเร็ว และสามารถตรวจสอบประเทศปลายทางที่ให้บริการได้ทางเว็บไซต์ DeeMoney อีกด้วย

ดีที่สาม คือง่ายดี สำหรับแอปพลิเคชัน DeeMoney ที่มีความสะดวก ง่าย รวดเร็ว ปลอดภัย และโปร่งใสในการให้บริการ และที่สำคัญผู้ใช้งานสามารถดำเนินการในการทำธุรกรรมต่าง ๆ ได้ด้วยตัวเอง หรือ Self-service นั่นเอง ไม่ต้องอะไรกับใครเยอะ ไม่ยุ่งยาก ทำด้วยตัวเองได้เลย

เพื่อเป็นการเน้นย้ำ Unique selling points หลักอย่างต่อเนื่อง เรามาดูในส่วนของแผนงานที่ DeeMoney ต้องการต่อยอดความสำเร็จกันต่อในปีนี้กันดีกว่าว่าจะเป็นไปในทิศทางไหนบ้าง เช่น

  • ยกระดับการสร้าง Brand Awareness ต่อกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ผ่านการเล่าเรื่องราวจาก Customer Experience
  • เพิ่มความน่าเชื่อถือของแบรนด์ ผ่านแคมเปญที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับใบรับรองการดำเนินงานจากธนาคารแห่งประเทศไทย, สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และรับฟังความคิดเห็นของลูกค้า
  • กิจกรรมส่งเสริมการขายและการตลาด โดยโฟกัสกลุ่มเป้าหมายลูกค้าเดิม (Existing Customers) และต่อยอดกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายใหม่ (New Customers) ทั้งสร้างการรับรู้ การสื่อสารเรื่องความน่าเชื่อถือ เพื่อให้เกิดการใช้บริการที่เพิ่มมากขึ้น

สรุปคือ DeeMoney ยังคงเดินหน้าสร้างการรับรู้ต่อกลุ่มเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง ภายใต้ Direction ของการทำงานร่วมกับทั้งแบรนด์ต่าง ๆ, ผู้ใช้งาน, สื่อ และ Partner ทางธุรกิจ ซึ่งนอกจากจะเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับผู้บริโภคแล้ว ก็เป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่สร้างสรรค์และยั่งยืนกับลูกค้าได้ในระยะยาวอีกด้วย

เป็นยังไงกันบ้างคะสำหรับบทความนี้ที่ได้พามาดู การตลาด DeeMoney ชู 3 Unique selling points เรทดี ไวดี ง่ายดี FinTech สัญชาติไทยรายแรกที่กระโดดลงมาสร้างแบรนด์อย่างจริงจัง

ทุกคนคงจะเห็นกันแล้วว่า DeeMoney ยังคงพัฒนาการให้บริการอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งกลยุทธ์ในการรุกตลาดที่มีศักยภาพสูง เช่น กลุ่มลูกค้าอินเดีย และเดินหน้าสร้างการรับรู้และความน่าเชื่อถือต่อไป ผ่านกิจกรรมส่งเสริมการขายและการตลาดต่าง ๆ

สิ่งที่สำคัญคือการที่เรารู้ว่าแบรนด์เรามีจุดแข็งอะไร มีสิ่งไหนที่จะสร้างความโดดเด่นและแตกต่างได้มากกว่าคนอื่น ๆ และให้ความสำคัญในเรื่องของ Product และ Service นำมาสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับกลุ่มเป้าหมาย และขยายพื้นที่การให้บริการที่เพิ่มเติมมากขึ้นได้ในอนาคต

หวังว่าทุกคนจะได้ความรู้ดี ๆ และประโยชน์กลับไปไม่มากก็น้อยนะคะ แล้วเจอกันใหม่ในบทความหน้าค่ะ และสามารถติดตามบทความด้านการตลาดเพิ่มเติมได้จากเพจการตลาดวันละตอน ที่ เว็บไซต์ Facebook Instagram Twitter และ Youtube ได้เลย

Fern Panassaya

เฟิร์น Junior Marketing Content Creator แห่งการตลาดวันละตอน รักแมวอ้วนและหมาโกลเด้น ตั้งใจสร้างสรรค์ทุกผลงาน ฝากเป็นกำลังใจและติดตามคอนเทนต์ใหม่ ๆ ต่อจากนี้ด้วยค่ะ <3

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *