กลยุทธ์ Push & Pull คืออะไร ใช้ร่วมกันยังไงให้ปัง

กลยุทธ์ Push & Pull คืออะไร ใช้ร่วมกันยังไงให้ปัง

สวัสดีนักการตลาดและนักอ่านทุกคนนะคะ ในบทความนี้จะพาทุกคนมารู้จักกับ กลยุทธ์ Push & Pull กันว่ามันคืออะไร ดียังไง ควรใช้กลยุทธ์ไหนตอนไหนดี แล้วเมื่อไหร่ที่เราควรจะใช้ผสมผสานกัน? วันนี้จะมาเล่าให้ฟังค่า ถ้าพร้อมแล้วไม่รอช้า ตามมาดูกันได้เลยค่า

เชื่อว่าหลาย ๆ คนน่าจะเคยได้ยินหรือรู้จัก Push Marketing กันมาบ้างแล้ว เป็นที่คุ้นหูกันมาตั้งแต่สมัยเรียน เป็นวิธีที่ค่อนข้างจะดั้งเดิม ถ้าให้แปลตรงตัวคือการตลาดแบบผลัก แต่หากจะอธิบายให้เข้าใจง่ายคือกลยุทธ์แบบ ‘เชิงรุก’ อย่างเช่น การโฆษณาทั่วไป การส่งข้อความ โปรโมทแบรนด์ตัวเองไปสู่ผู้บริโภค เน้นขายตัวเองให้ลูกค้าเห็น

ซึ่งวิธีในการผลักดันสินค้าหรือบริการของเราไปสู่ผู้บริโภค ก็จะเหมาะสำหรับแบรนด์ที่ต้องการสร้าง Awareness หรือสร้างการมองเห็น ให้คนรู้จักเรามากขึ้น รู้ว่าแบรนด์เรามีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้นะ โดยเฉพาะอย่างเช่นเวลาเราเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่หรือวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ในช่วงแรกนั่นเอง

ดังนั้นสรุปแล้ว Push Marketing ก็เป็นตัวเลือกที่ดีหากคุณมีเป้าหมายอยากจะแนะนำหรือขายแบรนด์ตัวเองออกไปให้คนรู้จักในวงกว้าง โดยเฉพาะเวลาที่ตั้งใจจะเปิดตัวสินค้าหรือบริการใหม่ ก็อาจจะลองสร้างการเข้าถึงธุรกิจผ่าน Email Marketing, การโฆษณาผ่านในร้านค้าท้องถิ่น, สร้างเพจธุรกิจบนโซเชียลมีเดียเพื่อขยายการเข้าถึง หรืออย่างเว็บไซต์หน้า Landing Page ของเราก็สามารถใส่ CTA ไว้ได้เช่นกันค่า

#1 Quick Visibility สร้างการมองเห็นได้อย่างรวดเร็ว

อย่างที่ได้เล่ากันไปข้างบนว่า Push Marketing สามารถสร้างการมองเห็นและ Brand Awareness ได้ทันที โดยเฉพาะโฆษณาแบบเสียเงิน ยิ่งบนช่องทางอย่างโซเชียลมีเดีย ที่ทุกวันนี้ทั้งในฝั่งของแบรนด์เอง หรือลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเองอาศัยอยู่ เป็นช่องทางที่ใคร ๆ ก็เข้าถึงได้ เข้าถึงง่าย เข้าถึงเยอะ

#2 Control over Messaging ควบคุมสิ่งที่จะสื่อสารได้

เพราะ Push Marketing เป็นวิธีที่ธุรกิจสามารถกำหนดสิ่งที่ต้องการจะสื่อสารออกไปได้ ดังนั้นเราก็สามารถสร้างสรรค์สิ่งที่อยากจะส่งไปถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างรอบคอบ เพื่อให้มั่นใจว่าคนจะได้รับรู้ภาพลักษณ์ของแบรนด์ในมุมมองที่เราต้องการจริง ๆ

#3 Targeted Promotions การส่งเสริมการขายที่ตรงกลุ่มเป้าหมาย

เวลาแบรนด์ทำสินค้าหรือคิดค้นบริการขึ้นมาสักอย่าง ก็ต้องมีการกำหนดกลุ่มเป้าหมายใช่ไหมคะ การทำ Push Marketing นี้เองแบรนด์ต่าง ๆ ก็สามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมาย กลุ่มประชากร หรือกลุ่มลูกค้าที่เฉพาะเจาะจงก่อนจะทำการสื่อสารออกไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

หรือชวนทุกคนให้ลองนึกภาพง่าย ๆ เวลาเราเดินในห้างแล้วเจอพนักงานขายจากคลินิกเสริมความงามต่าง ๆ เดินเข้ามาหา แน่นอนว่าก่อนที่เขาจะเดินเข้ามาทำการส่งเสริมการขายหรืออธิบายคอร์สต่าง ๆ 

ก็ต้องประเมินดูจากการมองเบื้องต้นแล้วว่ามีศักยภาพจะเป็นลูกค้าของแบรนด์ได้ไหม เช่น เป็นกลุ่มวัยรุ่นวัยทำงานที่รักสวยรักงาม ถึงค่อยเริ่มทำการรุกขาย เป็นต้น

กลยุทธ์ Push & Pull คืออะไร ใช้ร่วมกันยังไงให้ปัง

อย่างเวลาที่เราเข้าเว็บไซต์ใด ๆ มาก็ตาม มักจะเห็น Display Ads หรือโฆษณาในรูปแบบรูปภาพ/แบนเนอร์/วิดีโอ ที่เสียค่าใช้จ่ายเพื่อใช้พื้นที่ในการโฆษณา เด่นหลาป๊อปอัพขึ้นมาอยู่เสมอ ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการใช้ Push Marketing ในการสื่อสาร 

จะสังเกตเห็นได้ว่าเป็นการสื่อสารสินค้าหรือบริการของแบรนด์ตัวเอง ผ่านสื่อโฆษณา ไปยังผู้บริโภค อย่างภาพโฆษณาด้านบนที่ให้คนมาทดลองเรียนฟรี 30 วัน มักมาพร้อมปุ่ม CTA ในที่นี้เป็น Sign Up ให้คนที่สนใจลงทะเบียนได้ พูดง่าย ๆ ก็คือเป็นรูปแบบการโฆษณาที่จ่ายเงินเพื่อยิงโปรไปให้ผู้บริโภคเห็นเรามากขึ้นนั่นเอง

รวมถึงยังมีรูปแบบ Display Ads ที่อยู่บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่าง ๆ เช่น Instagram ที่ให้เราสามารถสร้างและแชร์ต่อได้อีกด้วย

ในทางกลับกันกับที่เล่าเรื่อง Push Marketing ไปด้านบน ในส่วนของ Pull Marketing นี้กลับใช้แนวทางที่พูดง่าย ๆ คือเน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลางมากกว่า เช่น การทำคอนเทนต์ที่เน้นเนื้อหาที่มีคุณค่า การทำ SEO Content เป็นต้น เพราะแนวคิดหลักคือการวางตำแหน่งแบรนด์ในลักษณะที่ทำให้ลูกค้าอยากจะค้นหาสิ่งนั้นแล้วถูกดึงดูดเข้ามาหาเราเอง

เพราะ Pull Marketing ไม่ใช่แค่การโฟกัสว่าจะผลักดันสินค้าไปสู่กลุ่มเป้าหมายอย่างเดียวเท่านั้น แต่คือการสร้างแรงบันดาลใจ สร้างความปรารถนาขึ้นมา ทำให้คนตัดสินใจเลือกที่จะมาหาเรา อยากมีส่วนร่วมกับแบรนด์เราโดยธรรมชาตินั่นเองค่า

ดังนั้นแน่นอนว่าเรื่องของ Pull marketing จะมีความโดดเด่นในการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าในระยะยาว และ Brand Loyalty อย่างแน่นอน เพราะไม่ได้มุ่งเน้นแต่ว่าฉันจะต้องขายให้ได้ตอนนี้เร็ว ๆ เลยเท่านั้น แต่เน้นสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าแบบแท้จริงมากขึ้น

#1 Higher Quality Leads ลูกค้าเป้าหมายที่มีคุณภาพสูงขึ้น

เพราะอย่างที่เล่าไปด้านบนว่าการใช้ Pull marketing มักจะดึงดูดลูกค้ากลุ่มเป้าหมายที่มีคุณภาพสูงขึ้น เพราะเป็นกลุ่มคนที่เดินเข้ามาหาเราเพราะสนใจผลิตภัณฑ์หรือบริการของแบรนด์อย่างแท้จริงนั่นเองค่ะ

#2 Long-term Brand Loyalty สร้างความภักดีต่อแบรนด์ในระยะยาว

การที่ไม่ได้เน้นแต่ว่ามุ่งจะขายของเพียงอย่างเดียว แต่ให้ความสำคัญและใส่ใจกับการสร้างสรรค์เนื้อหาคอนเทนต์ที่มีคุณค่าด้วย ก็เป็นการแสดงความจริงใจ ซึ่งก็จะสามารถสร้างความไว้วางใจ และนำไปสู่การเกิด Brand Loyalty ในระยะยาวได้เช่นกัน

#3 Cost-Effective คุ้มค่า

เมื่อเวลาผ่านไปหรือพูดง่าย ๆ คือพอมองในระยะยาว การใช้ Pull Marketing อาจคุ้มค่ากว่า Push Marketing เนื่องจากเป็นวิธีที่เน้นดึงดูดลูกค้ากลุ่มเป้าหมายแบบออร์แกนิกเข้ามาอย่างต่อเนื่อง คือให้เขาสนใจเราเองแบบธรรมชาติ ซึ่งแน่นอนว่าในเรื่องของ Cost ก็จะลดลงเพราะเราไม่ต้องมานั่งทำการตลาดเชิงรุกตลอดเวลาเหมือนช่วงแรก ๆ ของการเปิดตัวแบรนด์ใหม่อีกแล้วนั่นเอง

อย่างเรื่องของการทำ SEO ปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับการเสิร์จ ก็เป็นหนึ่งในการใช้ Pull Strategy ที่ดีเลยล่ะค่ะ เพราะการใส่ใจในการทำให้เนื้อหาและองค์ประกอบอื่น ๆ มัน SEO Friendly

ก็จะทำให้คนที่กำลังต้องการข้อมูลหรือความช่วยเหลือในการแก้ปัญหา พอเขาเสิร์จคำที่เกี่ยวข้อง ก็จะเจอเว็บแบรนด์เราอยู่ในสายตาเองโดยธรรมชาติ เรียกได้ว่าเป็นวิธีที่ดีในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ในขณะเดียวกันก็เพิ่มการรับรู้ถึงแบรนด์ด้วย

การผสมผสานกลยุทธ์การตลาดระหว่าง Push & Pull สามารถทำได้เช่นเดียวกันค่ะ เพื่อทำให้แบรนด์ของเราเติบโต โดยอาจเริ่มต้นด้วยการใช้ Push Marketing อย่างที่ได้เล่าไปด้านบนว่ามันเหมาะสำหรับช่วงแรกของผลิตภัณฑ์ เช่น การเปิดตัวสินค้าใหม่ การใช้กลยุทธ์แบบผลักก็จะสามารถดึงดูดความสนใจได้ในเวลาอันรวดเร็ว และเป็นการแนะนำผลิตภัณฑ์ให้คนรับรู้ก่อนว่ามีสิ่งนี้อยู่ในตลาด 

ระหว่างที่กำลังทำโฆษณาและโปรโมชันไปสู่กลุ่มเป้าหมาย ก็สามารถสานต่อหรือนำมาผสมผสานกับ Pull Marketing เพื่อรักษาลูกค้าให้อยู่กับเราไปนาน ๆ และเพิ่มการมีส่วนร่วมของลูกค้าให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เป็นต้นค่ะ โดยสรุปมาใน 5 STEP ง่าย ๆ ด้านล่างนี้เลยค่า

#1 Initiate with Push Marketing

เริ่มต้นด้วย Push Marketing เช่น การเปิดตัวด้วยการยิงโฆษณาและโปรโมชันที่มีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างการรับรู้ถึงผลิตภัณฑ์ในระยะเวลาอันรวดเร็ว ให้คนรู้ว่ามีแบรนด์เราอยู่ในโลกใบนี้ก่อน

#2 Transition to Pull Marketing

เมื่อเริ่มดึงดูดความสนใจได้แล้ว ก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไปใช้ Pull Marketing ช่วย ค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนมาเป็นการใช้กลยุทธ์ที่ขับเคลื่อนด้วยเนื้อหา เช่น การเขียนบล็อก SEO และโซเชียลมีเดีย เพื่อให้ผู้ติดตามแบรนด์มีส่วนร่วมกับเรามากยิ่งขึ้น ซึ่งก็จะนำไปสู่ความผูกพัน ความภักดีในระยะยาวต่อไปนั่นเองค่ะ

#3 Balance Both Strategies

Balance ระหว่างการใช้กลยุทธ์ทั้งสองแบบ ประเมินดูอย่างต่อเนื่องระหว่างที่เราผสมผสานการใช้ทั้งกลยุทธ์ผลักและดึง และสามารถปรับเปลี่ยนได้ เพื่อให้มั่นใจว่าทั้งผลลัพธ์ในระยะสั้นและความภักดีของลูกค้าในระยะยาวนั้นจะมีประสิทธิภาพ

#4 Leverage Digital Channels

ใช้ประโยชน์จากช่องทางดิจิทัลในการผสมผสานระหว่างทั้ง Push & Pull marketing เพื่อรักษาภาพของแบรนด์ให้ส่งเสริมสอดคล้องกันไป

#5 Monitor and Adapt

อย่าลืมติดตามผลและปรับไปตามความเหมาะสม Monitor ประสิทธิภาพของทั้งสองกลยุทธ์อย่างสม่ำเสมอ อีกทั้งการคอยติดตามและรับฟัง Feedback จะทำให้เราสามารถนำไปพัฒนาวางแผนให้มันดียิ่งขึ้นได้อีก และยังเป็นการใส่ใจลูกค้า ซึ่งก็จะทำให้แบรนด์เรามีคุณค่าในสายตาลูกค้าต่อไปในระยะยาวอีกด้วย

แล้วคำถามสำคัญที่หลาย ๆ คนอาจจะนึกถึงนั่นก็คือแล้วเมื่อไหร่ที่เราควรใช้ Push Marketing และ Pull marketing เข้าไปด้วยกัน? พูดง่าย ๆ กลยุทธ์การตลาดทั้งแบบผลักและดึงก็เหมือนกับการมีสิ่งที่ดีที่สุดจากทั้งสองแบบ ซึ่งจะเหมาะสมอย่างยิ่งเมื่อแบรนด์ไม่ใช่แค่ต้องการสร้างยอดขายในทันที แต่ต้องการสร้างแบรนด์ที่ยั่งยืนและ Loyalty Customer ในระยะยาวด้วย 

เป็นยังไงกันบ้างคะสำหรับบทความนี้ ที่ได้พามาดู กลยุทธ์ Push Pull คืออะไร ใช้ร่วมกันยังไงให้ปัง เรียกได้ว่าทั้งสองกลยุทธ์ก็เป็นเครื่องมือสำคัญในชุดเครื่องมือของนักการตลาดยุคใหม่ ทุกคนสามารถนำไปปรับใช้ในการขับเคลื่อนธุรกิจของตัวเองให้เติบโตกันได้เลยนะคะ

แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของแต่ละธุรกิจ ดังนั้นอย่าลืมพิจารณาตามความเหมาะสมของสถานะของแบรนด์เราในตอนนี้ว่าเหมาะที่จะใช้กลยุทธ์ไหน หรือควรจะใช้ผสมผสานกันเมื่อไหร่

หวังว่าทุกคนจะได้ความรู้ดี ๆ และประโยชน์กลับไปไม่มากก็น้อยนะคะ แล้วเจอกันใหม่ในบทความหน้าค่า และสามารถติดตามบทความด้านการตลาดเพิ่มเติมได้จากเพจการตลาดวันละตอน ที่ เว็บไซต์ Facebook Instagram Twitter และ Youtube ได้เลย

Source Source Source

Fern Panassaya

เฟิร์น Junior Marketing Content Creator แห่งการตลาดวันละตอน รักแมวอ้วนและหมาโกลเด้น ตั้งใจสร้างสรรค์ทุกผลงาน ฝากเป็นกำลังใจและติดตามคอนเทนต์ใหม่ ๆ ต่อจากนี้ด้วยค่ะ <3

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *