สรุป Consumer Insight & Marketing Insight จาก MarTech Expo 2024

สรุป Consumer Insight & Marketing Insight จาก MarTech Expo 2024

สวัสดีนักการตลาดและนักอ่านทุกท่านนะคะ ในบทความนี้จะพาทุกคนมาดู สรุป Consumer Insight & Marketing Insight 2024 จากงาน MarTech Expo 2024 กัน โดยเป็น Session: Consumer Insight & Marketing Insight 2024 โดยคุณสโรจ เลาหศิริ, Marketing Consultant เพจสโรจขบคิดการตลาด และคุณสิทธินันท์ พลวิสุทธิ์ศักดิ์, CEO of Content Shifu

ที่จะมาเปิดเผยอินไซต์ของผู้บริโภค รวมถึงเทรนด์ต่าง ๆ ที่น่าจับตามองในปี 2024 นี้ เพื่อให้นักการตลาดและคนทำธุรกิจเตรียมพร้อมรับมือ ปรับตัว และนำไปประยุกต์ใช้กันต่อไปได้นั่นเอง ถ้าพร้อมแล้ว ไม่รอช้า ตามมาดูกันเลยค่า

The Era of Marketing ยุคสมัยของการตลาด

#1 ยุค Product Centric เน้นขายสินค้า

ยุคแรกเริ่มของการตลาด จะเป็นยุครุ่งเรืองของการผลิต นักการตลาดเน้นแค่การขายของ และเรียกได้ว่าสภาพแวดล้อมหรือปัจจัยภายนอกก็มีผลทำให้พฤติกรรมคนเปลี่ยนไป 

อย่างถ้าย้อนกลับไปเมื่อ 20-30 ปีก่อน สมัยที่ยังไม่มีสื่อเข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวันของเรามากนัก อาจจะมีแค่หนังสือพิมพ์ เป็นต้น หรือผู้ประกอบการสมัยก่อนเองเวลาจะทำธุรกิจที ก็ต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล  

นักการตลาดสมัยนั้นก็จะเน้นขายจากพื้นฐานแนวคิดที่ว่า คิดอะไรขึ้นมาได้ก็เอาไปขาย หรือพูดง่าย ๆ คือแค่หาจุดขาย โฟกัสกับการสร้างสินค้าที่ดี สื่อสารให้เข้าใจก็เพียงพอแล้วในตอนนั้น

#2 ยุค Emotional Driven เล่นกับอารมณ์

ต่อมาจึงเดินทางมาถึงยุคที่ 2 คือการหาคุณค่าของแบรนด์ ที่เหนือกว่าคู่แข่ง เพราะเมื่อทุกคนขายของกันหมด มันก็จะไม่มีอะไรโดดเด่น จึงเริ่มดึงเรื่องของอารมณ์ความรู้สึก ความ Emotional เข้ามาเกี่ยวข้องกับการทำการตลาดด้วย

ประกอบกับมันเป็นช่วงที่เดินทางมาถึงจุดพีคตรงที่การใช้โซเชียลมีเดีย ยูทูป หรือวิดีโอแบบยาวกันมากยิ่งขึ้น คนเลยฮิตทำหนังดึงอารมณ์ (ที่ดูแล้วร้องไห้เลยก็มีนะคะ) เพื่อชูให้คนเห็นว่าแบรนด์เราดี มีคุณค่าทางอารมณ์และจิตใจ

เช่น แบรนด์ผงซักฟอกที่เป็นผลิตภัณฑ์ที่เหมือนกันหมดในยุคนั้น แต่ถ้าหากตั้งคำถามว่าในร้อยพันกว่าเจ้า มีใครขายผงซักฟอกที่ดีต่อใจบ้าง เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงจะนึกถึงสโลแกน ยิ่งเลอะยิ่งเยอะประสบการณ์ เป็นต้น

#3 ยุค Always-on เข้าถึงได้ตลอดเวลา

ยุคถัดมาคือยุค Always-on เป็นช่วงเวลาที่ทุกคนมาอยู่กันบน Social Media มากขึ้น คือทุกคนมีโซเชียล และแน่นอนว่าทำให้คนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ตลอดเวลา 

ยุคนี้มันเลยเป็นเหมือนการทำการตลาดแบบ ‘แบรนด์ต้องเข้าถึงได้ตลอดเวลา’ ผู้บริโภคอยากจะถามหาตอนไหน อยากจะทักไปตอนสี่ห้าทุ่ม ถ้าแม่ค้าไม่ตอบก็จะเริ่มเกิดความไม่พอใจแล้วนั่นเอง สรุปแล้วก็คือการพร้อมอยู่ตรงนั้นเวลาที่ผู้บริโภคถามหานั่นเอง

#4 ยุค Adaptive Experience ปรับตัวตามสถานการณ์

นักการตลาดอาจจะต้องเหนื่อยขึ้นนิดหน่อยค่ะ เพราะสิ่งสำคัญของการทำการตลาดยุคนี้คือการมีความสามารถในการปรับเปลี่ยน ปรับตัวไปตามสถานการณ์ เพราะแต่ละบุคคล รวมถึงแต่ละบริบท ก็มีความแตกต่างกัน เราจึงต้องคอยปรับเปลี่ยนตัวเองให้ตามทันผู้บริโภคอยู่เสมอ

เพราะถ้าเราทำเหมือนเดิมกับทุก ๆ คน มันก็ไม่มีความแตกต่างหรือลูกค้าอาจจะรู้สึกว่าคุณค่ามันหายไป เพราะไม่ว่าจะแบรนด์ไหน ๆ ก็ทำแบบนี้ ส่งโปรโมชันมาให้แบบนี้เหมือน ๆ กันหมด เป็นต้น

แล้วทำไมเราถึงควรทำ Adaptive Experience?

#1 Value Shift

เพราะทุกวันนี้คนตีความคำว่า ‘คุณค่า’ เปลี่ยนแปลงไปแล้วนั่นเองค่ะ เมื่อสภาพแวดล้อมภายนอกเปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะเรื่องสังคม เศรษฐกิจ หรืออะไรก็ตาม

ทำให้คนมองคำว่าคุณค่าเปลี่ยนไป โดยเริ่มเปรียบเทียบสิ่งที่ตนเองจ่ายกับสิ่งที่ได้รับมา เช่น ถ้าเศรษฐกิจไม่ดี ตนมีกำลังจ่ายน้อยลง ก็มาดูต่อว่าพอเราจ่ายได้น้อยลง แล้วสิ่งที่ได้รับมาเป็นยังไง จ่ายน้อยได้มากขึ้นหรือไม่ ก็จะเป็นช่วงที่ผู้บริโภคมักจะมองหาสิ่งที่จำเป็นต่อชีวิตหรือจิตใจเท่านั้น ใช้จ่ายแบบเน้นความคุ้ม เป็นต้น 

ดังนั้นเราต้องปรับเปลี่ยนประสบการณ์เรื่องราคา โปรโมชัน ให้เหมาะกับสิ่งที่ลูกค้ามองหานั่นเอง สรุปคือเราในฐานะธุรกิจก็ต้องปรับตัวไปตามทั้งสถานการณ์หรือปัจจัยภายนอก ประกอบกับความต้องการของลูกค้าในแต่ละบริบทอีกด้วย

#2 Attention Shift

ในเรื่องของความสนใจของผู้คน แน่นอนว่าเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา แล้วอย่างในยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีหรือสื่อ โซเชียลมีเดีย เข้ามามีอิทธิพลในชีวิตประจำวันของเราอย่างมาก ตื่นนอนมาก็ไถฟีดก่อนแน่ ๆ แล้วหนึ่ง

ดังนั้นทุกวันนี้มันไม่ใช่แค่เรื่องของทีวี หรือสื่อปกติแบบสมัยแต่เก่าก่อน แต่อัลกอริทึ่มของโซเชียลที่รู้ใจเราซะเหลือเกิน ก็แย่งเวลาในชีวิตคนไปได้อย่างมาก แน่นอนว่าความสนใจของคนก็จะถูกดึงไปตลอดเวลา 

แต่ลองคิดดูซิคะ ถ้าเราในฐานะแบรนด์และธุรกิจไม่ทำอะไร ไม่รู้จักปรับตัวตามโลกที่มันกำลังหมุนเวียนเปลี่ยนไป ไม่ทำความเข้าใจว่าผู้บริโภคต้องการอะไร หรือกำลังสนใจอะไรอยู่ สุดท้ายแล้วก็คงไม่สามารถจะอยู่อย่างยั่งยืนได้นั่นเอง

#3 Touchpoint Shift

สำหรับ Touchpoint ที่เราพบเจอกับผู้บริโภค หากเป็นสมัยก่อนก็คงจะเป็นช่องทาง Offline เป็นหลัก ไม่ว่าจะหน้าร้าน สาขา หรืองาน Event ต่าง ๆ แต่ในช่วงหลัง ๆ อย่างหลัง Covid-19 ก็เริ่มโยกย้ายมาสู่ช่องทาง Online กันมากขึ้น เพื่อปรับเปลี่ยนเข้าถึงผู้บริโภคให้ได้มากขึ้น

จนในปัจจุบันตอนนี้ Omni Channel ผสมผสานระหว่าง Offline และ Online ให้ได้อย่างสมูทลื่นไหล ดังนั้น Touchpoint ก็จำเป็นจะต้องถูกดีไซน์มากขึ้นไปด้วยนั่นเอง เพื่อให้ลูกค้าพบเจอเรา รวมถึงเกิดความประทับใจ

สรุปทุกวันนี้บางทีเราจะทำการตลาดแบบเดิมก็คงจะไม่ได้ แต่ต้องเจาะลึกเข้าไปมากขึ้น และอย่าลืมดูบริบท หากสิ่งไหนหรือกระบวนการไหนที่เราไม่สามารถจะใช้ ‘คน’ ในการจัดการหรือสร้างสรรค์ขึ้นมาเองได้ทั้งหมด ก็อย่าลืมนำเทคโนโลยีที่เป็นเหมือนเครื่องมือคู่ใจ มาปรับใช้เพื่อส่งเสริมกันให้ธุรกิจเป็นไปในทิศทางที่ดีได้นั่นเองค่ะ

#1 Environment

แน่นอนว่าในเรื่องของสิ่งแวดล้อม ก็เป็นปัญหาทั้งระดับประเทศและระดับโลกมาอย่างเนิ่นนาน เมื่อโลกร้อนขึ้น ก็ส่งผลต่อพฤติกรรมของคนเช่นเดียวกัน คือการให้ความสำคัญและใส่ใจกับเรื่องของสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้นนั่นเอง

ดังนั้นก่อนที่ผู้บริโภคจะเลือกใช้หรือซื้อสินค้าอะไร อาจจะคำนึงถึงเรื่องสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้น อย่างเช่น ในการผลิตสินค้าหรือกระบวนการกว่าจะมาวางขาย แบรนด์ปล่อยคาร์บอนเยอะไหม ของที่ใช้อยู่ หรือแบรนด์ที่กำลังจะซื้อนี้มันทำลายโลกไหม เป็นเรื่องที่คนจะใส่ใจกันมากขึ้นในอนาคตนั่นเอง

รู้แบบนี้แล้วเราในฐานะคนทำธุรกิจหรือนักการตลาดก็อย่าลืมที่จะ Adapt ไปตามเทรนด์และความต้องการของผู้บริโภคในยุคนี้กันด้วยนะคะ กับการให้ความสำคัญในเรื่องของสิ่งแวดล้อม และใส่ใจในทุก ๆ กระบวนการจนกว่าจะถูกส่งไปถึงมือของผู้บริโภค

#2 Geopolitics 

ต่อมาในเรื่องของ Geopolitics ในเชิงของภูมิศาสตร์และการเมืองระหว่างประเทศ เราก็ควรจะติดตามข่าวสารบ้านเมืองอยู่เสมอ และไม่ใช่แค่ในประเทศไทยเท่านั้น แต่เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างแต่ละประเทศ ก็เป็นวาระระดับโลกที่ส่งผลกระทบต่ออะไรหลาย ๆ อย่างเช่นกันค่ะ

ดังนั้นถ้าเราพยายามทำความเข้าใจความสัมพันธ์หรือเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างประเทศ ในแต่ละช่วงกระแสเวลา ก็จะทำให้เราวางแผนรับมือ เตรียมแนวทางในอนาคตสำหรับธุรกิจ และเติบโตไปได้ดีขึ้นด้วยนั่นเองค่ะ

#3 Aging Society 

อีกหนึ่งเรื่องสำคัญนั่นก็คือประเด็นของ Aging Society หรือสังคมผู้สูงอายุนั่นเองค่ะ โดยอีก 60 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะเหลือคนประมาณ 30 ล้านคน ซึ่งมีคนทำงานน้อยลง เหลือแค่เพียง 10 กว่าล้านคน ดังนั้นคนอาจจะหันมาให้ความสำคัญและแคร์กับเรื่องสุขภาพมากกันมากขึ้น ถ้าแบรนด์หรือนักการตลาดเข้าใจคนกลุ่มนี้ ก็ถือได้ว่าจะเป็นโอกาสที่ดีของธุรกิจเราเช่นเดียวกัน

#4 AI & Tech

Mega Trends ที่ 4 ข้อสุดท้ายนี้จะเป็นอะไรไปไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เรื่องของ AI & Tech สมชื่องาน Martech จริง ๆ ค่า ทุกวันนี้เรื่องของเทคโนโลยี โทรศัพท์มือถือ หรืออินเตอร์เน็ตแทบจะกลายมาเป็นอวัยวะชิ้นที่ 33 แล้ว ดังนั้นหากมองพื้นฐานอย่างการริเริ่มทำความเข้าใจมันก่อน ก่อนจะนำไปประยุกต์ใช้กับธุรกิจของเรา มันก็จะส่งผลดีต่อเราแน่นอนค่า

หากเราใช้เทคโนโลยีให้เป็น ก็ไม่จำเป็นต้องกลัวว่ามันจะมาแย่งงานเรา แต่ให้มองเป็นเหมือนผู้ช่วย หรือเครื่องมือสำคัญในการช่วยเราขับเคลื่อนธุรกิจนั่นเองค่ะ เพราะต่อให้เครื่องมือจะดีแค่ไหน แต่หากคนใช้ไม่เชี่ยวชาญ ก็คงไม่อาจเกิดผลสำเร็จได้เช่นกัน

แชร์สถิติเกี่ยวกับการใช้เครื่องมือ Martech เพิ่มเติม

อย่างเป้าหมายในการนำเครื่องมือ Martech เข้ามาใช้ในองค์กร อันดับ 1 เลยที่คนให้ความสำคัญนั่นก็คือนำมาใช้ด้านยอดขายมากที่สุดถึง 88% กันเลยทีเดียว แล้วค่อยตามมาด้วยด้านประสิทธิภาพในการทำงาน 62% ค่ะ

ในส่วนของภาพรวมของการใช้งาน Martech หรือพูดง่าย ๆ คือคนใช้งาน Martech มากขึ้นหรือน้อยลงแค่ไหน โดยจากข้อมูล เดิมที่ในปี 2023 มีการใช้เครื่องมือ Martech จำนวน 15-16 ตัวต่อ 1 องค์กร จนในปี 2024 ปัจจุบันนี้มีการวางแผนใช้ทั้งหมด 23 ตัว เรียกได้ว่าเพิ่มขึ้นมาในจำนวนที่มากเลยทีเดียวค่ะ เพราะคนเริ่มมีการตระหนักรู้และตื่นตัวกับการใช้ Martech มากยิ่งขึ้น

อีกทั้งทางหน้า Facebook Page ของ Content Shifu ได้มีแจก Martech Providers for Thai Market อัปเดตล่าสุด จากงาน Martech Expo 2024 ทุกคนสามารถคลิก ที่นี่ ได้เลยค่า

สรุป Consumer Insight & Marketing Insight 2024 จาก Martech Expo 2024

เป็นยังไงกันบ้างคะสำหรับในบทความนี้ ที่ได้พาทุกคนมาดู สรุป Consumer Insight & Marketing Insight 2024 จาก Martech Expo 2024 ต้องขอขอบคุณคุณสโรจ เลาหศิริ, Marketing Consultant เพจสโรจขบคิดการตลาด และคุณสิทธินันท์ พลวิสุทธิ์ศักดิ์, CEO of Content Shifu กันอีกครั้งที่ได้มาแชร์ความรู้ดี ๆ ภายในงานนี้

ก่อนจากกันไปในบทความนี้ ขอแชร์เพิ่มเติมกับสรุป 5Ps of Martech ที่นักการตลาดควรรู้ในยุคนี้ค่ะ

#1 Planning & Strategy เริ่มต้นที่การวางแผน เพราะพื้นฐานต้องแข็งแรงก่อนถึงเติบโตได้

#2 People เทรนพนักงานให้ดี มีคนเตรียมไว้ให้พร้อมลุย

#3 Process ทำงานให้ได้แบบที่วางแผนไว้ มีความเป็นระบบระเบียบ

#4 Platform รู้จักหยิบจับเครื่องมือมาใช้ให้เหมาะสม

#5 Pioneer มีทีมนักสำรวจผู้เชี่ยวชาญที่จะมาช่วยนำองค์กร

ทั้งหมดทั้งมวลที่ได้รับความรู้กันมาใน Session นี้ สุดท้ายแล้วก็จะวนกลับไปที่เรื่องพื้นฐาน ที่ธรรมดาแต่สำคัญ คือการโฟกัสให้ได้ก่อนว่าแบรนด์เรามีจุดเด่นอะไร ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเราเป็นใคร เขามีเหตุผลและยินดีที่จะจ่ายเงินเพื่อซื้อสินค้าและบริการของเรารึเปล่า คือสิ่งที่เราต้องหาและตอบตัวเองให้ได้ก่อน

และจากนั้นค่อยนำมาประกอบกับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีให้เป็น เพราะมันคือเครื่องมือสำคัญในการช่วยให้เราสามารถขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตต่อไปได้นั่นเองค่ะ

หวังว่าทุกคนจะได้ความรู้ดี ๆ และประโยชน์กลับไปไม่มากก็น้อยนะคะ แล้วเจอกันใหม่ในบทความหน้าค่า และสามารถติดตามบทความด้านการตลาดเพิ่มเติมได้จากเพจการตลาดวันละตอน ที่ เว็บไซต์ Facebook Instagram Twitter และ Youtube ได้เลย

Fern Panassaya

เฟิร์น Junior Marketing Content Creator แห่งการตลาดวันละตอน รักแมวอ้วนและหมาโกลเด้น ตั้งใจสร้างสรรค์ทุกผลงาน ฝากเป็นกำลังใจและติดตามคอนเทนต์ใหม่ ๆ ต่อจากนี้ด้วยค่ะ <3

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *