อัปเดต 5 Sales Trends ที่น่าจับตามองในปี 2023

อัปเดต 5 Sales Trends ที่น่าจับตามองในปี 2023

ในปี 2023 เกมการขาย หรือ Sales Trends ก็มีความสำคัญกับเหล่าธุรกิจไม่น้อย เพราะว่าการนำข้อมูลมาใช้ในการวิเคราะห์และการตัดสินใจในการขายจะเป็นการปรับปรุงกลยุทธ์การขายให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เรามาดูกันค่ะว่า 5 เทรนด์ด้านการขายที่น่าจับตามองในปีนี้จากข้อมูลของ HubSpot จะมีเทรนด์ไหนน่าสนใจบ้าง

1. การนำเสนอสินค้าหรือการสาธิตควรเน้นการขายปัญหาของลูกค้า

“Demos need to sell the problem, not the solution” เป็นแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับการขายและการสร้างความสามารถในการนำเสนอสินค้าหรือบริการของธุรกิจ หากอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ คือการโฆษณาปัญหาที่ลูกค้าเจอและวิธีที่สินค้าเราจะช่วยแก้ไขปัญหานั้นได้นั่นเอง

การเน้นการนำเสนอปัญหาจะช่วยให้ผู้ขายสามารถเป็นผู้นำทางให้กับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพค่ะ โดยใช้ข้อมูลและข้อเสนอที่เกี่ยวข้องเพื่อชักชวนลูกค้าให้ยอมรับว่าสินค้าหรือบริการที่นำเสนอจะเป็นคำตอบที่เหมาะสมในการแก้ไขปัญหาที่พวกเขาเผชิญหน้า การใช้แนวคิดนี้อาจช่วยเพิ่มโอกาสในการขาย และสามารถสร้างความพึงพอใจกับผู้ซื้อได้ดีขึ้นทีเดียวค่ะ

2. กระบวนการขายควรมีจุดสัมผัสหรือ Touchpoints มากขึ้น

Touchpoints ก็คือ จุดที่ลูกค้ามีการสัมผัสหรือมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์หรือสินค้า/บริการของบริษัท ซึ่งอาจเป็นช่องทางการติดต่อหรือช่องทางการสื่อสารที่บริษัทให้บริการแก่ลูกค้า อย่างเช่น การประชาสัมพันธ์ผ่านโซเชียลมีเดีย เว็บไซต์ เข้าร้านค้า โฆษณาทางโทรทัศน์ วิทยุ OOH ต่างๆ เป็นต้น

ทั้งนี้ตามรายงานกลยุทธ์การขายและแนวโน้มปี 2022 ของ HubSpot พบว่า พนักงานขาย 33% มีปฏิสัมพันธ์เฉลี่ย 2-4 ครั้งกับผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าในกระบวนการขาย และในขณะเดียวกันในจำนวนเฉลี่ย 2-4 ครั้งดังกล่าว พบว่า 84% ของผู้เชี่ยวชาญด้านการขายสื่อสารกับผู้ที่มีแนวโน้มจะเป็นลูกค้าผ่านช่องทาง อย่าง อีเมล โซเชียลมีเดีย SMS แชทสด ฯลฯ

จากข้อมูลนี้ ปลื้มมองว่าแบรนด์ไม่ค่อยทำการขายในการมีปฏิสัมพันธ์ครั้งแรกๆ กับผู้มีโอกาสเป็นลูกค้า แม้ว่านั่นจะเป็นเรื่องที่ดีก็ตาม ซึ่งนั่นอาจจะเกี่ยวข้องกับกระบวนการที่ต้องใช้ Touchpoints หลายจุดในการสร้างความสัมพันธ์ที่มีคุณภาพ

3. Freemium จะเริ่มต้นการ Conversation

จากประโยค “Freemium will kick-start the conversation” คือ รูปแบบของแนวคิดที่ให้สินค้าหรือบริการสามารถให้บริการให้กับผู้ใช้งานฟรี (Freemium) เพื่อเริ่มต้นสนทนาหรือการสื่อสารกับลูกค้า แนวคิดนี้จะช่วยให้ผู้ใช้งานมีโอกาสลองใช้และทดลองประสบการณ์กับผลิตภัณฑ์หรือบริการ โดยไม่ต้องมีค่าใช้จ่าย และเป็นการเริ่มต้นให้กับการสนทนาหรือการสื่อสารกับลูกค้า

ขอยกตัวอย่างโมเดล Freemium ที่ใกล้ตัวทุกคนเลย คือแพลตฟอร์ม YouTube ที่ให้เราใช่งานฟรี แต่ถ้าอยากเพิ่มประสบการณ์ที่ดีกว่าก็ซื้อ YouTube Premium เพิ่ม ทำให้ลูกค้าต้องเข้าใจรายละเอียดของสิ่งที่เราจะต้องได้รับกับเงินที่จะจ่ายไป เมื่อพวกเขายอมจ่ายในครั้งแรก ก็จะทำให้ครั้งต่อๆ ไปมีโอกาสตัดสินใจชำระเงินได้เร็วขึ้นค่ะ

นอกจากนี้ยังเป็นกลไกในการส่งเสริมการขายและการเพิ่มจำนวนผู้ใช้งานที่เรียกใช้ผลิตภัณฑ์หรือบริการในระยะยาว โดยหวังว่าผู้ใช้งานที่ใช้รุ่น Freemium จะสนใจและต้องการอัพเกรดอยู่เสมอ หรือเพิ่มการให้บริการกันต่อๆ ไป

freemium โมเดลนี้แบ่งผู้ใช้ออกเป็นระดับฟรี และระดับพรีเมียม นั่นแปลว่าผู้ใช้ฟรีจะใช้งานฟีเจอร์ที่จำกัด และต้องอัปเกรดเป็นบัญชีแบบชำระเงินในที่สุด โดยมีข้อมูลบอกว่า 32% ของผู้เชี่ยวชาญด้านการขายเสนอตัวเลือกโมเดล Freemium ให้แก่ผู้มีโอกาสเป็นลูกค้า

และประมาณ 90% ของพวกเขากล่าวว่า Freemium มีประสิทธิภาพปานกลาง-ดีมาก ในการเปลี่ยนผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าให้กลายเป็นลูกค้าที่จ่ายเงินอีกด้วยค่ะ

4. ใส่ใจกับลูกค้าที่มีอยู่แล้วมากกว่าลูกค้าใหม่

จากข้อมูล 26% ของผู้เชี่ยวชาญด้านการขายกล่าวว่า เราควรให้ความคำคัญกับลูกค้าเดิมมากกว่าการหาลูกค้าใหม่ในปีนี้ และมีแนวโน้มว่าเทรนด์นี้จะยังคงดำเนินต่อไปในปี 2023 นี้ค่ะ ทำให้เกือบ 90% พยายามรักษาและต่อยอดลูกค้าของตน ส่วนผลลัพธ์นั้น บอกว่าเกือบครึ่งหนึ่งของบริษัทรายงานว่ารายได้ถึง 30% มาจากการรักษาและต่อยอด

นอกจากนี้ ปลื้มมองว่าการรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าที่มีอยู่แล้ว ย่อมง่ายกว่าการหาใหม่ ในขณะเดียวกันหากเรารักษาและต่อยอดพวกเขาได้ มันจะปูทางไปสู่โอกาสใหม่ๆ ได้ดีขึ้น แบบลูกค้าเก่ายังอยากใช้สินค้าและบริการต่อ จนลูกค้าใหม่อยากใช้ตามนั่นเองค่ะ

5. Personalization มีความสำคัญต่อความสำเร็จ

ความเป็นส่วนตัวหรือ Personalization เป็นสิ่งสำคัญที่มีบทบาทสำคัญในความสำเร็จของธุรกิจ แนวคิดนี้หมายถึงการปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าและการให้บริการในแบบที่เน้นความเป็นส่วนตัวของลูกค้าแต่ละบุคคล ด้วยการเข้าใจและการตอบสนองตามความต้องการ

โดยใช้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้งาน ประวัติการซื้อ ข้อมูลส่วนตัว หรือข้อมูลอื่นๆ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่เป็นมากขึ้นและสะดวกสบายมากขึ้นสำหรับลูกค้า ซึ่งการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลให้เหมาะสมสามารถช่วยเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า สร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับลูกค้า และเพิ่มโอกาสในการขายและสร้างความสำเร็จในธุรกิจค่ะมาอัปเดต

นั่นแปลว่าข้อมูลใดเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง หากซับซ้อนและลงลึกไปอีกขั้น ปลื้มมองว่าเราไม่ควรขอข้อมูลเหล่านั้นกับลูกค้า เพราะมันจะทำให้ลูกค้าเกิดความไม่ไว้วางใจเรา และกลัวที่จะให้ข้อมูลต่างๆ

บทสรุป

เป็นอย่างไรบ้างกับ 5 Sales Trends ที่ปลื้มมาอัปเดตวันนี้ ปลื้มมองว่าการขายเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกธุรกิจ เพราะเป็นตัวช่วยในการเพิ่มยอดขายและกำไร ดังนั้นการติดตามและปรับตัวตามแนวโน้มการขายเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนากลยุทธ์ขายขององค์กรค่ะ

และในปัจจุบันเราปฏิเสธไม่ได้ว่าการใช้ช่องทางการขายออนไลน์ไม่สำคัญอีกต่อไป รวมถึงการใช้เทคโนโลยีเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับเราและผู้ซื้อ แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือการดูแลลูกค้าของเราให้ดีที่สุด เพราะสิ่งนี้จะสร้างความเชื่อมั่นในการซื้อสินค้าหรือบริการในทุกๆ ครั้งนั่นเองค่ะ

สำหรับใครที่อยากอ่านบทความเกี่ยวกับการตลาดเพิ่มเติม สามารถติดตามได้จาก เพจการตลาดวันละตอน รวมไปถึงเว็บไซต์ Twitter และ Blockdit ของการตลาดวันละตอนด้วยนะคะ

Source

Yoswimol

🎡PLEUM | Data Research Executive ในเครือการตลาดวันละตอน | สนใจเรื่องการตลาด ชอบดูการแข่งขันทางการตลาด และเป็นทาสตลาด... ทุกบทความตั้งใจเขียนมาก ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ มันเป็นกำลังใจที่ทำให้อยากเขียนต่อไปเลย☺️

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *