สรุปหนังสือ Marketing 5.0 Philip Kotler กับ Insight ทุก Generation 2021

สรุปหนังสือ Marketing 5.0 Philip Kotler กับ Insight ทุก Generation 2021

ล่าสุดผมได้หนังสือ Marketing 5.0 Technology for Humanity ของ Philip Kotler มา ซึ่งนับเป็นปรามาจารย์ด้านการตลาดของโลกที่นักการตลาดทุกคนต้องรู้จัก เลยจัดมาเป็นบทความพิเศษที่สรุปในส่วนของ Insight ในแต่ละ Generation ตั้งแต่ Baby Boomers, Gen X, Gen Y หรือ Millennials, Gen Z และ Alpha ไปจนถึงแนวทางทำการตลาดกับแต่ละกลุ่มที่แตกต่างกัน เพราะแต่ละกลุ่มก็มี Attitude หรือทัศนคติที่ล้วนต่างกันตามสภาพแวดล้อมและบริบทที่โตขึ้นมา

ถ้าพร้อมแล้วเรามาเก็บความรู้ไปพร้อมกันครับ ว่าในหนังสือ Marketing 5.0 นั้น Philip Kotler นั้นให้คำนิยามและอธิบายถึงแต่ละ Generation ว่าอย่างไร

Insight Baby Boomer – แก่แต่ยังไม่ยอมรีไทร์ แถมยังมีกำลังกายและเงินอีกด้วย

Baby Boomers คือกลุ่มคนที่เกิดในช่วงปี 1946-1964 เป็นคนกลุ่มที่เกิดขึ้นมาหลังสงครามโลกครั้งที่สองจบลงไป ที่ต้องถูกนิยามว่า Baby Boomers ก็เพราะว่าในช่วงเวลานี้มีเด็กเกิดใหม่ขึ้นมามากมายในอเมริกา พอเหล่าทหารได้กลับบ้านก็เดาได้ไม่ยากว่าพวกเขาน่าจะหมกตัวอยู่ในบ้านพร้อมกันจนทำให้เด็กแห่กันเกิดขึ้นมาในช่วงเวลาใกล้ๆ กันนั่นเองครับ

และเด็กที่เกิดใหม่กันยกใหญ่กลุ่มนี้ในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อนก็เป็นที่หมายของปองนักการตลาดทั้งหลายในช่วงเวลานั้น

เนื่องด้วยสภาพบ้านเมืองเริ่มปลอดภัยจากศึกสงคราม สภาพเศรษฐกิจก็ดีขึ้นอย่างก้าวกระโดดส่งผลให้เกิดการบริโภคและผลิตมากมาย ในยุคนั้นเป็นยุคของข้าวของเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านมากมายแห่กันประดิษฐ์ออกมาเพื่อเอาใจเหล่าแม่บ้านเต็มไปหมด

บรรดาชนชั้นกลางในอเมริกาขยายตัวอย่างรวดเร็ว ครอบครัวส่วนใหญ่ก็ล้วนกินดีอยู่ดีกันถ้วนหน้า เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่เศรษฐกิจทั่วโลกล้วนเติบโตกันอย่างไม่คาดฝัน

แต่ในขณะเดียกันคน Generation Baby Boomer เองก็โตมาพร้อมกับการสนใจเรื่องประเด็นปัญหาทางสังคม หรือใส่ใจกับประเด็นปัญหาสงครามย่อยๆ ที่อเมริกาไปก่อเรื่องนอกบ้านไว้เรื่อยๆ ตั้งแต่สงครามกับอเมริกาใต้ หรือสงครามเย็นกับโซเวียตก่อนจะแตกออกไปเป็นรัสเซีย แล้วไหนจะสงครามกับเวียดนามหรือกับเหล่าประเทศคอมมิวนิสต์ทั้งหลายครับ

เหล่า Baby Boomers นี้เองที่ตอนวัยรุ่นพวกเขาให้กำเนิดของกลุ่มคนที่เรียกว่า Hippie พวกเขาเป็นนักรณรงค์เคลื่อนไหวทางสังคมมากมาย และพวกเขาก็เป็นคนกลุ่มแรกที่โตมากับ TV และก็ Advertising บวกกับการเติบโตของ Hollywood ในอเมริกาจนทำให้เกิดดาราค้างฟ้าในตำนานมากมาย

แต่ในหนังสือ Marketing 5.0 ก็บอกว่า แม้จะเป็น Baby Boomers เหมือนกันแต่ก็ยังสามารถแบ่งแยกย่อยออกได้เป็น 2 Baby Boomers ที่เติบโตมาแตกต่างกัน เพราะ Baby Boomers ตอนต้นก็จะโตมาในสภาพแวดล้อมและสังคมที่ไม่เหมือนกับ Baby Boomer ตอนปลาย

เพราะ Baby Boomers ที่เกิดมาในยุค Jones หรือคนที่เป็นวัยรุ่นในยุค 1970 นั้นโตมากับความยากลำบากเพราะอยู่ในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำในอเมริกาอีกครั้ง พวกเขามีพ่อแม่ที่ต้องออกไปทำงานนอกบ้านด้วยกันทั้งคู่ ผิดกับ Baby Boomers ก่อนหน้าที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ทำหน้าที่เป็นแม่บ้านคอยดูแลบ้านและครอบครัวเป็นหลัก

ดังนั้น Baby Boomers ตอนปลายจึงมักโตขึ้นมาด้วยตัวคนเดียวและมีทีวีเป็นพี่เลี้ยงในช่วงวัยรุ่น และ Baby Boomers หลายคนก็ยังก้าวไปเป็น Idol หรือ Influencer ให้กับ Gen X ที่กำลังจะพูดถึงในอันดับถัดไป ก็เพราะกระแสของ Hollywood ที่มาแรงพร้อมกับทีวีที่เริ่มเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีทุกบ้านมีอเมริกาในช่วงเวลานั้นนั่นเองครับ

อีกแง่มุมนึงเหล่า Baby Boomers คือกลุ่มคนที่เป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอเมริกาและของโลกในเวลานั้น เมื่อพวกเขาไม่มีสงครามให้รบ แต่พวกเขามีงานมากมายให้ทำจนส่งผลให้อเมริกากลายเป็นชาติมหาอำนาจของโลกในเวลาถัดมาจนถึงปัจจุบัน ต้องบอกว่าคนอเมริกาเป็นหนี้ Baby Boomers มากเลยจริงๆ ที่ทำให้เงินสกุลดอลลาร์กลายเป็นเงินตราของโลกได้จนถึงทุกวันนี้

และนั่นก็ทำให้ Generation Baby Boomers เป็นที่หมายปองเหล่าแบรนด์ต่างๆ และนักการตลาดมากมาย เพราะพวกเขาเป็นกลุ่มคนที่ขยับทำมาหากิน หาเงินเก่ง และยิ่งปัจจุบันนี้พวกเขาก็อายุยืนมากขึ้นมีสุขภาพที่ดีกว่าที่เคยคาดการณ์กันไว้มาก

หลายบริษัทขยับเวลาเกษียณออกไปจาก 60 เป็น 65 และยิ่งถ้าเป็นระดับผู้บริหารนี่แทบจะต่อเวลาให้จนกว่าจะไม่สามารถทำงานได้จริงๆ บางคน 80 ยังเป็นผู้บริหารในบริษัทใหญ่ๆ ก็มีให้เห็นมากมายแม้แต่ในบ้านเรา

แต่ Baby Boomers เองก็มีจุดอ่อนที่คนรุ่นใหม่มองว่าเป็นอุปสรรค นั่นก็คือเรื่องของการเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้าไปใช้ในชีวิตประจำวัน แล้วก็เรื่องของการบริหารธุรกิจที่คนรุ่นใหม่มองว่าล้าหลังหรือไม่ทันการแข่งขันในโลกธุรกิจปัจจุบันเอาเสียเลย

สรุป Insight Baby Boomers จากหนังสือ Marketing 5.0

นั้นแก่ยากและตายช้า แถมยังมีเงินสะสมไว้ไม่น้อยและหลายคนก็ยังมีอำนาจในการตัดสินใจเพราะเป็นผู้บริหารอยู่ในบริษัท นั่นเลยทำให้นักการตลาดทั่วโลกล้วนอยากได้เงินจากผู้บริโภคกลุ่มนี้มากครับ แม้จะมีเหลืออยู่น้อย แต่ที่เหลืออยู่นั้นก็ล้วน Rare และ Luxury ไม่น้อยเลยทีเดียว

แล้วถ้าจะเลือกแบรนด์พวกเขาก็จะเลือกแบรนด์ที่น่าเชื่อถือ แบรนด์ที่อยู่มานาน ไม่ค่อยเปิดใจรับแบรนด์ใหม่ๆ นี่จึงเป็นโอกาสของแบรนด์เก่าที่อย่ามัวแต่มองหาคนรุ่นใหม่จนลืมไปว่าตัวเองมี Fan ที่ Loyalty ตัวเองมากเลยทีเดียว

Insight Generation X – กลุ่มผู้บริโภคที่น่าสงสารเพราะถูกนักการตลาดมองข้ามมานาน แต่วันนี้พวกเขาเริ่มขึ้นเป็นผู้บริหาร หรือออกไปสร้างธุรกิจของตัวเองจนมีกำลังซื้อที่มองข้ามไม่ได้แล้ว

น่าสนใจที่หนังสือ Marketing 5.0 ของ Philip Kotler เล่มนี้บอกให้รู้ว่า Insight Generation X หรือ Gen X คือถูกนักการตลาดและแบรนด์ต่างๆ มองข้ามมานาน เพราะพวกเขามักจะไปสนใจ Baby Boomers หรือไม่ก็ข้ามไป Gen Y ที่มีจำนวนมากกว่าไปเสียเลย

หนังสือเล่มนี้นิยามว่า Generation X หรือ Gen X คือคนที่เกิดในช่วงระหว่างปี 1965-1980 เป็น Generation ที่โตมาในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำตอนเด็กทำให้พ่อแม่ต้องออกไปทำงานหาเงินด้วยกันทั้งคู่

แถม Gen X บางคนก็ต้องเจอกับการหย่าร้างของพ่อแม่ที่มากกว่าคนรุ่นก่อนหรือ Baby Boomers อย่างเห็นได้ชัด เมื่อสังคมเริ่มเปิดกว้างการแยกกันอยู่หลังแต่งงานหรือมีลูกนั้นก็เริ่มกลายเป็นเรื่องธรรมดาในสังคมอเมริกา ในบ้านเราก็เริ่มจะเป็นแบบนั้นเหมือนกันตอนนี้

และนั่นทำให้พวกเขาเป็น Generation ที่ใช้เวลาอยู่กับเพื่อนเป็นส่วนใหญ่ เพราะเมื่อพ่อแม่ไปทำงานทั้งคู่ก็เลยรู้สึกสนิทสนมกับคนในครอบครัวน้อยมาก

การติดเพื่อนจึงเป็นเรื่องปกติของคนกลุ่มนี้ ถ้าคิดถึงสังคมไทยก็น่าจะเป็นกลุ่ม Gen Y ที่พ่อแม่ทำงานทั้งคู่เมื่อไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าบริบทสังคมในบ้านเราจะช้ากว่าที่อเมริกาไปสักเล็กน้อย

Gen X ส่วนใหญ่จึงโตมากับการดู MTV หรือซีรีส์ หรือรายการทีวีโชว์อย่าง Friends หรือถ้าบ้านเราก็น่าจะเป็นพวกซิทคอมต่างๆ เช่น สามหนุ่มสามมุม บางรักซอยเก้า และเป็นต่อ เกิดทันกันไหมครับ ถ้าพวกรายการเพลงในบ้านเราก็จะเป็น OIC แมลงมันส์ รายการคอนเสิร์ตต่างๆ ตามวันเสาร์และวันอาทิตย์ที่ผมเองก็จำชื่อไม่ได้แล้ว

คน Gen X เองน่าสนใจตรงที่เป็น Generation ที่โตมาพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีมากมาย ตั้งแต่เป็น Geneation ที่เริ่มรู้จัก Internet อย่างจริงจังเป็นเจนแรก เพราะที่ทำงานเริ่มปรับตัวมาใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตกันมากขึ้น

พวกเขายังได้รู้จักกับยุคของเทป ยุคของ CD และยุคของ DVD ไปจนถึงร้านเช่าหนังต่างๆ เด็กสมัยนี้คงงงว่ามันเคยมีธุรกิจแบบนี้อยู่ด้วยหรือ ทำไมเราต้องไปเช่าหนังมาดูกันด้วยนะ

แต่ในขณะเดียวกัน Gen X อย่างเราหลายคนก็ได้รู้จักกับ Online Streaming ไปพร้อมกันกับคนรุ่นใหม่ เรียกได้ว่าคนกลุ่มนี้เป็นคนกลุ่มที่เต็มไปด้วย Technology Experience มากมาย และเราก็ได้เรียนรู้มันและใช้งานจริงในแบบที่คนรุ่นก่อน Baby Boomers ไม่ได้เรียนรู้ที่จะใช้งานเท่ากับเรา

แต่จากที่เคยถูกมองข้ามมานานเพราะมองว่ามีจำนวนไม่มากพอจะสนใจ และก็ไม่ได้มีกำลังซื้อเงินถุงเงินถังเท่ากับ Baby Boomers ก่อนหน้า แต่วันนี้นักการตลาดและแบรนด์ต่างๆ ล้วนมองคนกลุ่มนี้ด้วยความหิวกระหายตาเป็นมัน เพราะ Gen X ในวันนี้ก้าวขึ้นไปเป็นผู้จัดการในบริษัท หรือไปเป็นผู้บริหาร และบางคนก็ถึงขนาดออกไปสร้างธุรกิจของตัวเองเพราะรู้สึกว่าทำงานในองค์กรมานานไม่ได้ก้าวหน้าเป็นผู้บริหารอย่างที่ตั้งใจไว้

ก็เพราะยังติด Baby Boomers ที่ไม่ยอมเกษียณอย่างที่บอกไว้ก่อนหน้านี้อย่างไรล่ะครับ

สรุป Insight Gen X จากหนังสือ Marketing 5.0

Gen X ในวันนี้นอกจากจะปรับตัวเก่งแล้วยังกลายเป็น Senior และ Management เต็มตัว แม้พวกเขาจำมีจำนวนไม่มากเท่า Gen Y ที่นักการตลาดเคยสนใจ แต่วันนี้พวกเขาก็มีความมั่นคั่งและมั่นคงพอตัวที่จะทำให้แบรนด์ต่างๆ มองข้ามอำนาจการซื้อของพวกเขาไม่ได้อีกต่อไปครับ

Insight Gen Y – กับมนุษย์ช่างสงสัยที่เกิดในช่วงเปลี่ยนผ่านสหัสวรรษ Millennials

Gen Y หรือ Generation Y คือคนที่เกิดในช่วงระหว่างปี 1981-1996 พวกเขาโตในช่วงเปลี่ยนผ่านสหัสวรรษที่เติมไปด้วยความกลัวว่าโลกจะแตกเพราะ Y2K หรือปี 2000 แล้วคอมพิวเตอร์ทั่วโลกจะทำงานผิดพลาด

พวกเขากลุ่มนี้เป็นลูกของ Baby Boomers ที่อายุยืนและมั่งคั่ง ในขณะเดียวกันชื่อ Gen Y ก็มาจากคำว่า Why เพราะพวกเขาเป็นเด็กที่ช่างตั้งคำถามกับทุกสิ่งรอบตัวที่เกิดขึ้นจนกลายเป็นเจ้าหนูจัมมัยในสายตาคน Gen ก่อนหน้าเหลือเกิน

คน Gen Y เป็นกลุ่มคนที่เกิดมาพร้อมกับการบูมในเรื่องการศึกษา คนกลุ่มนี้ได้รับการศึกษาที่ดีและสะดวกสบายกว่าคนกลุ่มอื่น หรือตัวพ่อแม่เองนี่แหละที่ผลักดันให้ลูกเข้าเรียนมหาวิทยาลัยให้ได้ เพราะรู้แล้วว่าความรู้และใบปริญญานี่แหละสำคัญต่ออนาคตการทำงานเป็นอย่างมาก

จนทำให้การเรียนจบชั้นปริญญาตรีกลายเป็นเรื่องปกติ จนต้องนำมาสู่การต่อปริญญาโททั้งในประเทศหรือต่างประเทศที่มีกันให้เห็นมากมายในบ้านเรา

ดังนั้จะเห็นว่าคน Gen Y มี Standard ในเรื่องการศึกษาที่สูงมาก ส่วนหนึ่งก็มาจากการเข้าถึงการศึกษาของคนรุ่นนี้ง่ายกว่าคนรุ่นก่อนมาก จนทำให้การเรียนจบมหาวิทยาลัยไม่ใช่ข้อได้เปรียบในการทำงานอีกต่อไปครับ

คนกลุ่มนี้ก็เติบโตมาพร้อมกับ Internet อย่างเห็นได้ชัด แม้คน Gen Y กับ Gen X จะใช้อินเทอร์เน็ตไม่น้อยกว่ากัน แต่ลักษณะหรือพฤติกรรมการใช้ของคนสองกลุ่มนี้จะแตกต่างกันพอสมควร

คน Gen X เริ่มใช้อินเทอร์เน็ตเพราะเรื่องงาน แต่กับคน Gen Y นั้นเริ่มใช้อินเทอร์เน็ตเพราะความต้องการส่วนตัวแล้วค่อยขยับมาที่เรื่องเรียน

คน Gen Y ใช้อินเทอร์เน็ตในช่วงแรกและใช้มากๆ ไปกับ​ Social media เป็นหลัก คนกลุ่มนี้คือคนกลุ่มแรกที่รู้จักกับ Facebook ก็ว่าได้ ดังนั้นการใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อเรื่องอื่นๆ นอกจากงานจึงกลายเป็นเรื่องปกติ และการใช้อินเทอร์เน็ตของ Gen Y ก็ก่อให้เกิดเทรนด์ที่เรียกว่า FOMO

FOMO หรือ Fear of Missing Out ก็คือการชอบเอาชีวิตตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ บนออนไลน์ คนยุคก่อนเปรียบเทียบชีวิตตัวเองได้แค่กับเพื่อนบ้านหรือเพื่อนในโรงเรียน แต่คน Generation Y นั้นสามารถเปรียบเทียบตัวเองกับคนแปลกหน้าที่อยู่ต่างโรงเรียนได้สบายๆ ไปจนถึงอาจจะถึงขั้นเปรียบเทียบตัวเองกับคนรวยคนดังที่ตัวเองไม่เคยรู้จักเป็นการส่วนตัวมาก่อน และนั่นก็เลยเป็นที่มาของ Influencer Marketing เพราะเมื่อนักการตลาดเริ่มรู้แล้วว่าคน Gen Y ชอบซื้อตามคนอื่นบนออนไลน์เพื่อให้ตัวเองไม่น้อยหน้า ก็ยิ่งโหมให้บรรดา Influencer เอาสินค้าหรือบริการตัวเองไปแชร์ไปอวดบนโลกออนไลน์เพื่อทำให้คนอยากได้อยากมีคล้ายๆ กัน

คงจะคุ้นกับแฮชแท็กดังในบ้านเราอย่าง #ของมันต้องมี ใช่ไหมครับ นั่นแหละนิยามง่ายๆ แต่เป็นแก่นของคำว่า FOMO ครับ

Insight คน Gen Y คือพวกเขา Research หาข้อมูลสินค้าหรือบริการ หรืออะไรก็ตามที่อยากรู้ได้เก่งบนมือถือหน้าจอเล็กๆ เป็น Generation แรก

ในแต่ขณะที่เสิร์จหาข้อมูลเก่งแต่ก็ไม่ได้กลับซื้อเก่งตามไปด้วย เพราะอำนาจเงินในกระเป๋าที่ยังมีไม่มากพอส่งผลให้พวกเขาระมัดระวังการใช้เงินพอควร และการเสาะหาโปรดีโปรปัง ก็ล้วนมาจากคน Generation นี้เป็นหลักเลยครับ

ที่น่าสนใจไปกว่านั้นใน Insight ของ Gen Y คือคนกลุ่มนี้เป็นคนกลุ่มแรกที่ปฏิวัติการใช้เงินจากคน Gen X หรือ Baby Boomers ด้วยการที่ไม่ค่อยอยากเป็นเจ้าข้าวเจ้าของทรัพย์สมบัติใดๆ มากมาย

คนกลุ่มนี้ชอบที่จะใช้เงินไปกับการท่องเที่ยวหรือการสะสมประสบการณ์ ทำให้ผู้ใหญ่หลายคนหรือ Gen ก่อนหน้าต่างไม่เข้าใจว่าทำไมเด็กสมัยนี้ถึงไม่รู้จักเก็บหอมรอมริบเอาเสียเลย

นั่นก็เพราะพอเกิดมาต่างยุคต่างสมัยจนต่าง Generation ก็ทำให้พวกเขาเลือกที่จะนิยามความร่ำรวยที่ต่างกัน คนยุคก่อนเลือกที่จะสะสมข้าวของทรัพย์สิมบัติ คนรุ่นใหม่เลือกที่จะสะสมประสบการณ์แล้วเอาไปโพสลง Instagram หรือ Facebook นั่นเอง

ในขณะเดียวกันพวกเขานี้เองที่ทำให้เศรษฐกิจแบบ On Demand นั้นเติบโตเป็นอย่างมาก คนกลุ่มนี้เลือกที่จะใช้ Uber บ่อยๆ จนเหมือนรถยนต์ส่วนตัว แทนที่จะต้องไปเสียเงินเพื่อซื้อรถยนต์ส่วนตัวสักคนเหมือนกับคนรุ่นก่อน

และนั่นก็ส่งผลให้บริษัทต่างๆ ต้องปรับ Business Model ใหม่เพื่อตอบความต้องการใหม่ๆ ของคนกลุ่มนี้ที่ต่างออกไป Toyota เองก็เริ่มให้บริการเช่ารถยนต์ใช้เมื่อต้องการ หรือ Volvo เองก็ยืดหยุ่นในระดับที่ว่าถ้าอยากใช้ Volvo ก็มาสมัครสมาชิกรายเดือนซิ แถมถ้าตอนไหนอยากได้รถคันใหญ่ขึ้นก็มาอัพเกรดรถได้ง่ายๆ แบบไม่ต้องซื้อใหม่นะ

ส่วนในเรื่อง Insight ในที่ทำงานของ Gen Y เองนั้นก็น่าสนใจไม่น้อย เพราะพวกเขาเรียนมาสูงจึงสงสัยในวิธีการทำงานของคนรุ่นก่อนที่อยู่มานาน และก็ทำให้ถูกมองว่าคนรุ่นใหม่ไม่นอบน้อม ไม่มีสัมมาคารวะ ไม่รู้จักเชื่อฟังผู้ใหญ่ ทั้งที่ตัวผู้ใหญ่อาจจะไม่สามารถตอบคำถามพวกเขาได้ และก็ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่ทำตามคำสั่งเหมือนที่ Gen X ทำๆ กันเป็นประจำนั่นเอง

ที่น่าสนใจไปกว่านั้นของ Gen Y ก็คือแม้จะเป็นคนใน Gen เดียวกันก็ยังสามารถแบ่งออกได้เป็นสองกลุ่มย่อยเหมือน Baby Boomers ที่เป็นพ่อแม่ของพวกเขา

นั่นก็คือ Older Millennials หรือ Gen Y ที่บังเอิญเรียนจบในช่วงที่เกิดวิกฤตทางการเงิน 2008 หรือ Hamburger Crisis ที่ส่งผลกระทบหนักไปทั่วโลกเพราะวิกฤต Subprime ในอเมริกา ซึ่งก็ทำให้งานเป็นสิ่งที่หาได้ยากมากเมื่อพวกเขาเรียนจบออกมา และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้ Gen Y จำนวนไม่น้อยที่เรียนจบในช่วงเวลานั้นเลือกที่จะออกมาทำธุรกิจส่วนตัวจนเป็น SME มากมาย

และเมื่อพวกเขาได้พบว่างานเป็นสิ่งที่หาได้ยากมากก็ส่งผลให้พวกเขาแยกระหว่างเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงานออกจากกันอย่างเด็ดขาดเมื่อเทียบกับคนรุ่นถัดไป

แม้พวกเขาจะติด Social media และชอบออนไลน์นานๆ แต่พวกเขาก็จะไม่ค่อยโพสบนเรื่องงานเพราะเลือกที่จะรักษาความเป็น Professional เอาไว้

ส่วน Millennials หรือ Gen Y ที่เกิดในช่วงหลังปี 1990 เป็นต้นไป คนกลุ่มนี้ไม่ได้เรียนจบมาในช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจจึงทำให้การหางานไม่ได้ยากเท่ากับ Millennials ตอนต้น Gen Y ตอนปลายจึงเลือกที่จะทำงานเพื่อเติมเต็มความต้องการของตัวเองมากกว่า กล้าที่จะเลือกงานี่ใช่ กล้าที่จะปฏิเสธงานที่ไม่เหมาะกับตัวเองออกไป จะไม่เหมือน Gen Y ก่อนหน้าที่ขอแค่ให้มีงานทำเพื่อจะได้จ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าบ้าน หรือแม้แต่ค่ารถของตัวเองก็ดีถมไปแล้ว

และในเรื่องของ Techology Gen Y ก็ถูกมองว่าเป็น Bridge Generation หรือเป็นคนที่สามารถใช้เทคโนโลยีข้ามระหว่างชีวิตออนไลน์กับออฟไลน์ได้เป็นอย่างดี ผิดกับ Gen X ที่ยังมองว่าคนเราแยกเป็นสองชีวิตระหว่างออนไลน์กับออฟไลน์โดยสิ้นเชิง

Gen Y มองว่าออนไลน์เป็นส่วนขยายของชีวิตออฟไลน์ที่ทำให้เราสะดวกสบายยิ่งขึ้น พวกเขาโตขึ้นมากับ Internet เป็น Generation แรก ทำให้พวกเขามีความเชี่ยวชาญเรื่อง Technology และ Digital มากกว่าคนรุ่นก่อนหน้าอย่างเห็นได้ชัดครับ

สรุป Insight Gen Y หรือ Millennials จากหนังสือ Marketing 5.0

Gen Y นั้นแบ่งแยกย่อยออกได้เป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกโชคร้ายจบมาในช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ก็น่าจะคล้ายๆ วัยรุ่น Gen Z ที่จบมาในยุคโควิด ที่หนักยิ่งกว่าฟองสบู่แตกด้วยซ้ำ

ส่วนอีกกลุ่มที่โตมาตอนเศรษฐกิจดีแล้วก็เลือกที่จะทำงาตามฝัน ที่สำคัญทั้งสองกลุ่มไม่ชอบสะสมทรัพย์สมบัติเหมือนคนรุ่นพ่อแม่ แต่เลือกที่จะใช้บริการตาม Demand อย่าง Uber หรือ Grab หรืออยากใช้อะไรก็ขอเช่าเอาเพราะไม่อยากมีภาระผูกพันธ์นานๆ ครับ

ในแง่นึงอาจจะมองได้ว่าเพราะพ่อแม่พวกเขาหาเตรียมไว้ค่อนข้างครบแล้ว Gen Y หรือ Millennials จึงเลือกที่จะเอาเงินไปเที่ยวและใช้ชีวิตเพื่อสะสมประสบการณ์ แล้วก็โพสเรียก LIKE บน Instagram หรือ Social media จนก่อให้เกิดคำว่า FOMO และ Influencer Marketing ขึ้นมาครับ

Insight Gen Z – เกิดมาพร้อมกับ Smartphone และไม่รู้ว่าถ้าขาดอินเทอร์เน็ตแล้วจะใช้ชีวิตได้อย่างไร

Gen Z คือกลุ่มคนที่เกิดในช่วงปี 1997-2009 คนกลุ่มนี้เป็นที่หมายปองของนักการตลาดและแบรนด์ต่างๆ ในปัจจุบันมาก แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาก็น่าสงสารเพราะเกิดมาในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกจึงทำให้พ่อแม่มีเงินน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับเด็ก Generation อื่น

นี่ยังไม่นับว่าพวกเขาเริ่มเรียนจบและต้องหางานทำในยุคที่โควิด19 ระบาดในปี 2020 อีก เรียกได้ว่าเป็น Gen ที่ซวยซ้ำซวยซ้อนแล้วไหนจะปัญหาทางการเมืองที่มีการประท้วงมากมายพร้อมกันทั่วโลกที่ก็เห็นแต่ Gen Z นี่แหละครับที่เป็นแกนนำไปพร้อมๆ กันตั้งแต่ Black Live Matter ในอเมริกา และก็อีกหลายประเทศที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมา

ทำให้ Gen Z นั้นมีพฤติกรรมการใส่ใจเรื่องเงินตั้งแต่ยังเด็กเพราะมีเงินให้ใช้น้อย บวกกับเมื่อถามความเห็นก็พบว่าปัจจัยที่จะทำให้เลือกงานใด เงินกลายเป็นหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ต่างกับ Gen Y ก่อนหน้าที่บอกว่าการได้ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำนั้นสำคัญกว่าเงิน

Gen Z กลุ่มนี้พวกเขาโตขึ้นมาพร้อมกับความแพร่หลายของ Internet เรียบร้อยแล้ว จะ 3G หรือเน็ตบ้านความเร็วสูงที่ต่อด้วย Wifi ส่งผลให้พวกเขาอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มี Internet ให้ใช้ครับ

แถมพวกเขายังไม่ได้มองว่า Internet หรือ Technology ต่างๆ จะเป็นเครื่องไม้เครื่องมือที่ช่วยให้การทำสิ่งต่างๆ สะดวกขึ้น แต่พวกเขามองว่าเทคโนโลยีต่างๆ ทั้งอินเทอร์เน็ตและสมาร์ทโฟนคือส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันที่ขาดไม่ได้ ขาดแล้วเหมือนขาดใจ เหมือนที่เราบอกกันว่าลืมเงินออกจากบ้านได้ แต่ถ้าลืมโทรศัพท์อย่างไรก็ต้องกลับไปเอาที่บ้าน

เพราะ Smartphone และ Internet คือทุกสิ่งที่เขาใช้เข้าถึงสิ่งที่ต้องการทุกอย่างตั้งแต่เด็กแล้ว ตั้งแต่การเรียนหนังสือ การอัพเดทข่าว การช้อปปิ้ง หรือการพูดคุยกับเพื่อนๆ พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่เสพคอนเทนต์หลากหลายมากกว่าคน Generation ก่อน เป็นกลุ่มคนที่สามารถเล่นเน็ตและดูทีวีได้พร้อมกัน หรือแม้แต่คุยแชททางมือถือกับเพื่อนไป แล้วหน้าจอคอมพิวเตอร์ก็เล่นเกมกับทีมไปเป็นเรื่องปกติ

แยกประสาทสัมผัสการรับคอนเทนต์ที่ดีที่สุดเลยครับ เรียกได้ว่าเป็น Gen ที่เคยชินกับการใช้หลายๆ จอ

แล้วพฤติกรรมการใช้ Social media ของ Gen Z ก็ต่างกับ Gen Y อย่างเห็นได้ชัด

แม้ทั้งสอง Generation จะใช้เวลาบนออนไลน์ไม่ได้ต่างกัน แต่พฤติกรรมการออนไลน์โดยเฉพาะบนโซเชียลมีเดียนั้นต่างกันลิบลับ

Gen Y เลือกที่จะโพสเฉพาะสิ่งที่ตัวเองมั่นใจว่าดี ผ่านสิบฟิวเตอร์ผ่านการแต่งภาพมาอย่างสวยงาม เรียกได้ว่าทุกภาพที่โพสต้องดูดี หรือทุกคลิปที่ลงไปต้องเพอร์เฟค

แต่กับ Gen Z นั้นเป็นคนละเรื่องกันเลยเมื่อพวกเขาออนไลน์ พวกเขาโพสทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตลงบนออนไลน์หรือโซเชียลเป็นเรื่องปกติ พวกเขาไม่ค่อยได้แต่งรูปภาพหรือคลิปเท่ากับคน Gen Y หรือถ้าจะแต่งก็จะเป็นการแต่งเอาสนุก เอามันส์ เอาฮา ไม่ได้เน้นการแต่งเอาหล่อสวยแบบคนรุ่นก่อนหน้าที่ทุกโพสต้องเป๊ะปังไม่อย่างนั้นอย่าโพสมันจะดีกว่าครับ

ดังนั้นพฤติกรรมของ Gen Y จะเป็นการใช้ Social media ออกไปทาง Personal Branding เสียมากกว่า ส่วน Gen Z จะเน้นการโพสอะไรที่จริงจนเป็นปกติ จนส่งผลให้พฤติกรรมการรับสื่อหรือคอนเทนต์จากแบรนด์เองก็เหมือนกับการโพสของพวกเขา

ถ้าแบรนด์ปั้นแต่งคอนเทนต์มากเกินไปพวกเขาก็จะรู้สึกว่าแบรนด์นี้เฟคหรือ Too good to be true นั่นเองครับ

ดังนั้นการจะทำการตลาดให้ถูกใจ Gen Z ต้องเอาจริงเข้าว่าเอาความผิดพลาดเข้าสู้ เหมือนที่ Diesel บอกว่าคนใส่แบรนด์นี้เป็นคนที่ออกจะไม่เพอร์เฟคด้วยซ้ำ ทั้งที่ราคา Diesel นั้นไม่ธรรมดาเอาเสียเลย

ที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือ Gen Z เป็นหนึ่งใน Generation ที่กล้าเปิดเผยข้อมูลกับแบรนด์มากๆ แต่พวกคุณต้องทำให้เขารู้สึกว่าให้ไปแล้วได้อะไรกลับมา แบรนด์ต้องทำ Custimized หรือ Personalization กับเขาให้ได้มากที่สุด ไม่ว่าจะด้วย Content หรือ Marketing หรือ Offering ใดๆ

จะมา Mass ใส่พวกเขาไม่ได้ เพราะพวกเขาจะรู้สึกว่าพวกคุณช่างไม่สนใจพวกเขาเลยทั้งที่ให้ Data ไปมากมายว่าชอบอะไรไม่ชอบอะไรครับ

Insight อีกอย่างที่น่าสนใจของ Gen Z คือพวกเขาชอบที่จะปรับแต่งสินค้าหรือบริการต่างๆ ให้เข้ากับความต้องการของตัวเองมากกว่าจะให้คุณทำมาให้แบบสำเร็จรูป

ดังนั้นคุณต้องเปิดช่องว่างให้พวกเขาเข้ามาเติมเต็มสินค้าหรือบริการของคุณ หรือขอความเห็นจากพวกเขาตรงๆ เลยก็ยิ่งดีนั่นจะยิ่งทำให้ได้ใจ Gen Z มากขึ้น

ส่วนในเรื่องการใส่ใจโลกและสิ่งแวดล้อมพวกเขา Gen Z เองก็ให้ความสำคัญในเรื่องนี้ไม่แพ้กับ Gen Y

แต่ที่เหนือไปกว่านั้นคือ Gen Z ไม่ได้เอาแต่พูดบอกว่าตัวเองใส่ใจโลกและสิ่งแวดล้อมหรือสังคมแต่ปากเปล่า แต่พวกเขาที่จะลงมือทำเพื่อทำให้การเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดขึ้นส่วนนึงก็คือผ่านการใช้เงินในกระเป๋าว่าพวกเขาจะเลือกสนับสนุนแบรนด์ไหน

ส่งผลให้หลายแบรนด์ที่ที่ไม่สนใจใยดูจะถูกแบนหรือ Boycott จาก Gen Z ไปไม่น้อย และการใส่ใจเรื่องสังคมหรือสิ่งแวดล้อมนี้ก็ยังส่งผลต่อการเลือกบริษัทที่จะทำงาน ถ้าบริษัทนั้นไม่ได้คิดเห็นหรือใส่ใจในประเด็นเดียวกัน Gen Z เก่งๆ ก็อาจจะเลือกทำงานกับที่อื่นหรือแม้แต่บริษัทคู่แข่งคุณ

เพราะ Gen Z ชอบที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมกับสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเองอย่างเต็มที่ ไม่ได้ดีแต่พูดหรือเอาแต่โพสอย่างที่ Gen Y เคยทำ

แบรนด์ที่อยากจะเข้าถึงพวกเขาต้องพร้อมให้พวกเขาใช้งานคุณได้ดีผ่านโทรศัพท์มือถือ หรือเป็นไปได้พยายามปล่อยให้พวกเขาทำเองแม้จะเป็นที่ร้านออฟไลน์ ดังนั้นคุณต้องพยายามออกแบบ Interactive Experience ออกมาได้ดีพอที่พวกเขาจะไม่ต้องมองหาพนักงานมาช่วยทำในเรื่องง่ายๆ ที่พวกเขาจะมองว่าทำไมไม่ปล่อยให้พวกเขาทำเองได้ คุณจะได้ไม่ต้องมาเหนื่อยวุ่นวายกับเรื่องแค่นี้หละ

เพราะเอาเข้าจริงแล้ว Gen Z ไม่ได้อยากเปลี่ยนแบรนด์บ่อยๆ หรอกครับ แต่แบรนด์ส่วนใหญ่ไม่สามารถตอบสนองในสิ่งที่พวกเขาต้องการตามที่เล่าไปได้ต่างหาก ส่วนแบรนด์ไหนที่ทำได้ดีก็จะเห็นว่า Gen Z ล้วนติดกันงอมแงม ดังนั้นการสร้าง Digital Experience ที่ดีจึงเป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้ Gen Z Loyalty กับแบรนด์เราไปนานๆ ครับ

แต่ในขณะเดียวกันนักการตลาดอย่างเราและแบรนด์ต่างๆ ก็ต้องทำใจเตรียมไว้อย่างนึงว่า Gen Z นั้นเบื่อง่าย จึงส่งผลให้ Product Lifecycle ต่างๆ นั้นหมดอายุเร็วมากกว่าคน Generation ก่อนหน้าอย่างเห็นได้ชัด

นั่นหมายความว่าเราก็ต้องพร้อมปรับตัวให้ไวถ้าอยากได้ใจพวกเขานานๆ เพราะพวกเขาบอกว่าไม่อยากเปลี่ยนแบรนด์บ่อยๆ หรอกถ้าไม่จำเป็น แต่ส่วนใหญ่มันจำเป็นเพราะไม่ถูกใจเลยต้องเปลี่ยนแบรนด์บ่อยๆ อย่างนี้ไงหละครับ

สรุป Insight Gen Z จากหนังสือ Marketing 5.0

Gen Z ในวันนี้กำลังก้าวเข้ามาเป็นกลุ่มผู้บริโภครายใหม่ที่ใหญ่มาก ด้วยจำนวนที่มากกว่า Gen Y อย่างเห็นได้ชัด และในปี 2025 พวกเขาก็กำลังจะเป็นกลุ่มคนทำงานที่มีจำนวนมากที่สุดอีกด้วยครับ

ดังนั้นกำลังการซื้อพวกเขากำลังจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คำถามสำคัญคือคุณพร้อมให้พวกเขาทำเองได้มากเท่าที่จะทำได้แล้วหรือยัง

อย่าลืมว่า Gen Z กล้าที่จะเปิดเผยทุกอย่างแบบไม่ปิดบัง แต่ในขณะเดียวกันคุณก็ต้องทำเรื่อง Personalization เพื่อให้เขาเห็นว่าคุ้มค่ากับการที่ยอมแชร์ Customer data ให้กับคุณไปนั่นเองครับ

Insight Generation Alpha – ผู้นำตัวเล็กที่คนทั้งบ้านต้องฟัง

Generation Alpha คือเด็กรุ่นใหม่จริงๆ ที่เกิดในช่วงระหว่างปี 2010-2025 คำนี้ถูกนิยามขึ้นมาโดย Mark McCrindle พนักงานคนหนึ่งในบริษัท Alphabet ของ Google เพราะเขารู้สึกว่าเด็กในวันนี้กลายเป็นผู้นำการตัดสินใจของคนทั้งบ้านไปแล้ว

เมื่อ Generation Alpha คือลูกของ Gen Y หรือ Millennials พวกเขาเกิดมาในยุคที่เรียกว่า IoT ก็ว่าได้ เกิดมาพร้อมกับเทคโนโลยีมากมายรายล้อมรอบตัว หรือพวกเขาคือเด็ก iPad ที่เราจะพบว่าบ้านไหนมีลูกจะต้องมี iPad ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ครับ

เด็กกลุ่มนี้สามารถผลักดันให้คน Generation อื่นๆ ต้องพยายามปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่พวกเขาเรียนรู้ไวอยู่ตลอด ตั้งแต่ระบบการสั่งการด้วยเสียงทั้งบนมือถือหรือในลำโพงอัฉริยะ เคยเห็นใช่ไหมครับที่เด็ก Alpha หลายคนอาจจะพูดยังไม่ทันได้แต่สามารถเล่น iPad และดู YouTube ได้อย่างคล่องแคล่วโดยไม่ต้องมีใครมาสอนเลยว่ามันใช้งานอย่างไร

เด็ก Generation Alpha ในวันนี้ได้รับการศึกษาที่ดียิ่งกว่าคนทุก Generation ที่เคยเป็นมา เพราะพ่อแม่ Gen Y หรือ Millennials Parent ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก แล้วไหนจะสื่อต่างๆ ที่เกิดกว้างส่งผลให้การเรียนรู้ของเด็กในวันนี้ไม่สิ้นสุดจริงๆ ตามที่เคยพูดกันมานาน

แต่นั่นก็ทำให้ Generation Alpha นั้นใช้เวลากับหน้าจอมากกว่าคน Generation อื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด พวกเขาตั้งดูคลิปการ์ตูนหรือวิดีโอต่างๆ บน YouTube เป็นประจำ ไปจนถึงการเล่นเกมมากมายที่อยู่บนเครื่อง iPad ที่พร้อมเกมใหม่ๆ มาเล่นได้ไม่รู้จบ และนี่ก็คือกิจวัตรประจำวันของ Alpha ที่เห็นกันจนชินตาแต่พ่อแม่ผู้ปกครองส่วนใหญ่ก็ไม่ห้ามกัน

ที่หนักไปกว่านั้นคือเด็กรุ่นใหม่ Generation Alpha หลายคนในวันนั้นมีช่อง YouTube เป็นของตัวเอง หรือที่เรียกว่า YouTuber บางคนมี Instagram Account เป็นของตัวเองด้วยซ้ำ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนมีพ่อแม่เป็นผู้สร้างและบริหารจัดการให้ เหมือนที่เรามักเห็นว่าพ่อแม่หลายคนชอบสร้างแฟนเพจหรือ Social media account ของลูกขึ้นมาตั้งแต่ลูกยังไม่รู้ความ เพราะหวังว่าถ้าลูกดังเป็น Influencer ขึ้นมาก็จะสามารถทำรายได้อย่างงามกลับคืนมาที่พ่อแม่

ความน่าสนใจของ Genration Alpha ในแง่การตลาดคือพวกเขาเปิดใจกับ Branded Content ยิ่งกว่าคนทุก Generation ทำนองว่าจะขายก็ขายมาเถอะแต่ก็ขอให้มันสนุกก็แล้วกัน เด็กกลุ่มนี้จึงสามารถนั่งดูคอนเทนต์วิดีโอการรีวิวของเล่นต่างๆ ได้ทั้งวัน และนั่นก็ส่งผลให้พวกเขาอยากจะซื้อตาม Infleuncer Alpha ด้วยกันที่เพิ่งดูรีวิวจากบน YouTube มาครับ

เด็กกลุ่มนี้กล้าที่จะเล่นกับของเล่นเทคโนโลยีหรือที่เรียกว่า Tech Toy กล้าที่จะพูดคุยกับ AI หรือคุ้นเคยกับระบบ Voice Command ต่างๆ โดยไม่รู้สึกแปลกๆ แบบคนรุ่นก่อน

และแม้วันนี้พวกเขาเหล่านี้จะยังไม่มีกำลังทรัพย์ที่จะไปใช้จ่ายใดๆ กับแบรนด์ต่างๆ แต่พวกเขาเป็นหนึ่งในผู้ตัดสินใจคนสำคัญของบ้านที่พ่อแม่ Millennials Parent กว่า 74% มักจะหันมาถามความเห็นลูกน้อย Alpha ว่าตกลงบ้านเราควรจะซื้อของชิ้นนี้ไหม

สรุป Insight Generation Alpha จากหนังสือ Marketing 5.0

Generation Alpha ในวันนี้สมกับถูกนิยามว่าเป็น Alpha หรือจ่าฝูง เพราะเด็กตัวน้อยคนนี้สามารถ Convince คนทั้งบ้านได้ว่าควรจะใช้เงินกับอะไรหรือไม่ควรใช้เงินกับอะไร

ด้วยการที่พ่อแม่ยุคใหม่เปิดใจฟังลูกมากขึ้น ส่วนหนึ่งก็น่าจะมาจากสมัยก่อนตอน Gen Y ยังเด็กพ่อแม่ไม่ค่อยฟังความเห็นพวกเขาเลย

แถมเด็กเหล่านี้ก็ยังคุ้นเคยกับเทคโนโลยีใหม่ๆ เป็นอย่างดี พวกเขาสามารถเล่นกับ AI หรือพูดคุยกับหุ่นยนต์ต่างๆ ได้ทั้งวันโดยที่ผู้ใหญ่อย่างเราอาจจะมองว่าประหลาดสักหน่อยครับ

สรุป Insight และวิธีทำ Marketing กับทุก Generation ตั้งแต่ Baby Boomer, Gen X, Gen Y, Gen Z และ Alpha จาก Marketing 5.0

นี่ก็เป็นข้อมูลอีกชุดที่น่าสนใจ ที่อ่านแล้วชอบเลยอยากเอามาแชร์ให้เพื่อนๆ นักการตลาดและเจ้าของธุรกิจได้เอาไปต่อยอดกัน ลองดูนะครับว่าตอนนี้เราพลาดที่ตรงไหนหรือเปล่า หรือเราจับกลุ่มเป้าหมายได้ถูกต้องแม่นยำพอหรือไม่

บางครั้งสินค้าเดียวอาจจะไม่ได้ตัดสินใจจากคนๆ เดียว โดยเฉพาะสินค้าในบ้านสำหรับกลุ่มครอบครัวที่เราจะมองข้ามเด็กตัวเล็กอย่าง Alpha อีกต่อไปไม่ได้

สุดท้ายนี้ผมอยากให้ทุกคนได้หาหนังสือ Marketing 5.0 เล่มใหม่ของ Philip Kotler มาอ่านกัน รับรองว่ามีอะไรอีกมากมายให้เรียนรู้เหมือนที่ผมได้เรียนรู้จนกลายมาเป็นบทความวันนี้ที่สรุปมาให้นี่แหละครับ

อ่านบทความสรุป Insight ทุก Generation ในปี 2021 จาก TCDC ต่อ > https://www.everydaymarketing.co/trend-insight/insight-all-generation-2021-baby-boomer-gen-x-gen-y-gen-z-alpha-from-tcdc-report/

สรุปหนังสือ Marketing 5.0 Philip Kotler กับ Insight ทุก Generation 2021 ตั้งแต่ Baby Boomer, Gen X, Gen Y หรือ Millennials, Gen Z และ Alpha

สนใจสั่งซื้อหนังสือ Marketing 5.0 ทางออนไลน์ > https://click.accesstrade.in.th/go/8JcQ80Nw

Nattapon Muangtum

เจ้าของเพจการตลาดวันละตอน / อาจารย์พิเศษวิชา Data-Driven Communication / เขียนหนังสือมาแล้ว 5 เล่ม Personalized Marketing, Data-Driven Marketing, Data Thinking, Contextual Marketing และ Social Listening / ที่ปรึกษา Data-Driven Advisor

2 thoughts on “สรุปหนังสือ Marketing 5.0 Philip Kotler กับ Insight ทุก Generation 2021

  1. สรุปได้ดีมาก ขอบคุณครับ

  2. สรุปออกมาดีมาก ขอบคุณมากๆนะครับ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

คุณคิดว่าปัญหา PM 2.5 ที่เชียงใหม่วิกฤตหรือยัง ?

#การตลาดวันละโพล ขอหนึ่งคำถามก่อนอ่านการตลาดวันละตอน แล้วเราจะเอาไปทำเป็น Infographic โชว์หน้าเพจให้รู้ด้วยกัน