ยกระดับ Content Marketing 2022 ด้วยกลยุทธ์การตลาด Contextual marketing
ในหนังสือ Marketing 5.0 มีการพูดถึงเรื่อง Contextual marketing เป็นบทหนึ่งช่วงท้ายเล่ม ผมในฐานะคนที่สนใจและติดตามเรื่องนี้มานานก็เลยถือโอกาสเอาเรื่องการตลาดแบบฉลาดใช้บริบทรอบตัวมาเพิ่มโอกาสขาย หรือ Contextual marketing มาเล่าให้เพื่อนๆ ในการตลาดวันละตอนได้รู้จักมากขึ้น วันนี้เราจะมาดูกันว่าการตลาดแบบ Contextual marketing นั้นจะช่วยยกระดับการทำ Content marketing 2022 หรือในปีหน้าได้อย่างไรบ้าง แต่ก่อนจะลงไปในรายละเอียดถึงแนวทางและวิธีการ ลองมาทำความเข้าใจกันก่อนนะครับว่า Contextual marketing หรือการตลาดแบบฉลาดใช้บริบทรอบตัวมาเพิ่มยอดขายคืออะไร และทำไมจึงสำคัญจนหนังสือ Marketing 5.0 ต้องเขียนถึง
Context สำคัญต่อ Marketing อย่างไร?
การตลาดทั้งหลายทั้งปวงตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันล้วนมีแก่นสำคัญตรงที่เราเข้าใจกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการได้ดีขนาดไหน เพราะถ้าเราไม่เข้าใจความต้องการของลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมายก็ยากจะทำการตลาดทุกรูปแบบไม่ว่าจะออนไลน์หรือออฟไลน์ให้ประสบความสำเร็จได้ การทำ Content marketing ก็เช่นกันถ้าเราไม่เข้าใจว่าคนอ่านต้องการอะไร คาดหวังอะไรจากการอ่านในครั้งนี้ แล้วเราควรจะพาเขาไปต่อทางไหน ต่อให้เขียนได้ดีเท่าไหร่ก็เหมือนกับคนที่หน้าตาดีแต่พูดจาไม่รู้เรื่องย่อมไม่มีใครทนฟังได้นานพอ
เช่น ถ้าเราทำคอนเทนต์มาดีแทบตายแต่พอมีคนค้นหาแล้วไม่เจอคอนเทนต์ของเราที่เกี่ยวข้องกับตัวเขาเลย มันก็ยากที่จะเปลี่ยนจากกลุ่มเป้าหมายให้กลายเป็นลูกค้า คุณอาจจะคิดว่ารูปก็สวยแล้วนะ อุตส่าห์จ้างช่างภาพแพงๆ มาถ่าย ข้อความก็สั้นกระชับคมคายโดนใจ แต่ทำไมไม่มีใครอ่านแล้วกดซื้อสินค้าหรือกดติดต่อกลับมาขอรับบริการจากเราเลยหละ
ดังนั้นการเข้าใจกลุ่มเป้าหมายอย่างถ่องแท้จึงสำคัญมาก ก่อนจะทำการตลาดใดๆ ถามตัวเองให้แน่ใจว่าเรารู้จักลูกค้าได้ดีมากพอแล้วจริงๆ เพราะยิ่งเรารู้ว่าลูกค้าเป็นใคร อยู่ที่ไหน สะดวกติดต่อกับเราแบบไหน กำลังมีความต้องการอะไร การจะทำการตลาดหรือโฆษณากลับคืนไปก็จะมีประสิทธิภาพมากกว่าคนที่ทำการตลาดหรือคอนเทนต์ใดๆ โดยไม่ได้ใส่ใจกลุ่มเป้าหมายผู้อ่านเลย
และการเข้าใจในบริบทหรือ Customer Context ยิ่งมีความสำคัญมาก เพราะถ้าเราสามารถทำการตลาดที่ดูใช่และเกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมายได้มากที่สุดก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสที่เขาจะหยุดอ่านคุณ กดเข้ามาอ่านคอนเทนต์ของคุณ อ่านคอนเทนต์ทั้งหมดที่คุณตั้งใจทำมาจนจบ จากนั้นก็ Convert กลายเป็นลูกค้าคุณด้วยความเต็มใจ
ดังนั้นการตลาดแบบ Contextual marketing คือการตลาดที่คิดถึงลูกค้าเป็นหลัก ไม่ใช่คิดเอาสะดวกเราเข้าว่า แต่ต้องคิดว่าทำอย่างไรเราจึงจะให้บริการหรือสร้าง Customer Experience กับคนที่เราต้องการได้ดีจนเขาอยากจะเป็นลูกค้าเราด้วยตัวเอง
Contextual marketing ต้องคิดถึงลูกค้ามากแค่ไหน
Contextual marketing คือกลยุทธ์การตลาดที่ใช้พฤติกรรมและบริบทโดยรอบของตัวลูกค้ามาวิเคระห์ว่าควรจะต้องทำการตลาดแบบไหน หรือทำโฆษณารูปแบบใดออกไปที่จะทำให้ลูกค้ารู้สึกใช่มากที่สุด ในความเป็นจริงแล้ว Contextual marketing นั้นสามารถทำผ่านกลวิธีการตลาดมากมาย ไม่ว่าจะออนไลน์ ออฟไลน์ จะโซเชียลมีเดียหรือแบนเนอร์โฆษณา จะบนมือถือหรือคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ แต่วันนี้เราจะมาโฟกัสกันที่ Contextual marketing จะเอามาประยุกต์ใช้กับการทำ Content marketing 2022 ได้อย่างไร
เพราะเดิมทีการตลาดแบบ Content marketing คือการพยายามสร้างเนื้อหาที่ดี ที่ตอบโจทย์ ที่มีประโยชน์ต่อกลุ่มเป้าหมาย แต่พอเอากลยุทธ์การตลาดแบบ Contextual marketing เข้ามาใส่ก็ต้องเริ่มคิดใหม่ว่ากลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการเข้าจะอยู่ในบริบทแบบไหนบ้างที่จะเข้าถึงคอนเทนต์เราได้ หรือคิดต่อยอดไปให้สุดคือการคิดว่าในบริบทที่แตกต่างกันไปของลูกค้าคนเดียวกัน เราจะต้องทำคอนเทนต์แบบไหน อย่างไร จึงจะทำให้ลูกค้าสะดวกสบายมากที่สุด
ดังนั้น Contextual marketing สำหรับการตลาดแบบคอนเทนต์จะไม่ได้คิดถึงแค่เนื้อหาที่มีจะต้องตอบความต้องการลูกค้า แต่จะต้องคิดถึงบริบทของวัน เวลา กับช่องทาง ที่คอนเทนต์นั้นถูกนำเสนอออกไปด้วย
เช่น ถ้าลูกค้าอ่านคอนเทนต์แล้วลงทะเบียนบอกว่าต้องการรับ e-book แล้วเรารออีกสองสัปดาห์ค่อยส่ง อันนี้มันดูขาดความใส่ใจอย่างมาก เวลาจึงเป็นปัจจัยสำคัญของการตลาดแบบฉลาดใช้บริบทเพื่อเพิ่มโอกาสขายครับ
Contextual marketing กับการ Optimized Content ให้ตอบบริบทของ SEO ที่คนค้นหา
การจะทำคอนเทนต์ให้เกี่ยวกับลูกค้ามากที่สุดได้ ต้องเข้าใจความต้องการของกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการเป็นอย่างดี เราจะต้องรู้ว่าพวกเขาชอบการสื่อสารด้วยโทนหรือน้ำเสียงแบบไหน เพื่อที่เราจะสามารถปรับเนื้อหาให้เข้ากับจริตความชอบของกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด
ตัวอย่างเช่นถ้าเราทำคอนเทนต์ที่มีกลุ่มเป้าหมายเป็น Marketing Director หรือคนที่สามารถตัดสินใจได้ทันที เราต้องรู้ก่อนว่าพวกเขามองหาอะไรในแต่ละคอนเทนต์มากที่สุด ซึ่งก็น่าจะเป็นตัวเลข ROI ผลตอบแทนจากการลงทุนไปกว่าจะได้กลับมาเท่าไหร่ แต่ในขณะเดียวกันถ้ากลุ่มเป้าหมายคุณเป็นนักการตลาดมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มทำงานได้ไม่นาน สิ่งที่พวกเขามองหาก็จะเป็นวิธีการทำงานให้เกิดผลลัพธ์ หรือเน้นไปที่ Tactics How-to มากกว่า Marketing Director ที่ไม่ได้ทำงานส่วนใหญ่ด้วยตัวเองคุณคงพอนึกภาพตามออกใช่ไหมครับ
ช่องทางในการสื่อสารทำการตลาดออกไปก็สำคัญ เราต้องเลือกช่องทางที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด เพราะแม้จะเป็นคอนเทนต์แบบเดียวกัน การตลาดที่มีวัตถุประสงค์เดียวกัน แต่ไม่ใช่ช่องทางเดียวกันจะเหมาะกับทุกคนเสมอไป และในขณะเดียวกันก็ไม่ใช่ทุกคนจะใช้ทุกช่องทางในการสื่อสารเหมือนกันครับ
ตัวอย่างเช่นถ้ากลุ่มเป้าหมายเราเป็น Gen Z การจะสื่อสารออกไปผ่าน Twitter หรือ TikTok ก็ดูจะเหมาะสมมากที่สุด แต่ถ้ากลุ่มเป้าหมายคุณเป็น Gen X หรือ Baby Boomer ขึ้นไปสองช่องทางนี้อาจไม่ใช่ช่องทางหลักที่พวกเขาใช้ในการรับข่าวสาร แล้วต่อให้คุณต้องการสื่อสารเรื่องเดียวกันออกไปยังหลายช่องทางเพราะต้องการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ครอบคลุมในวงกว้าง การจะสื่อสารด้วยวิธีเดียวกันบน Facebook ก็จะไม่เหมาะกับ Twitter (เชื่อเหอะผมเคยพยายามแล้ว) เพราะในทวิตเตอร์บริบทการใช้งานจะเป็นเน้นเกาะกระแสแฮชแท็กเป็นหลัก หรือถ้าจะเอาไปใช้บน TikTok นั้นถ้าจะมาโพสลิงก์แบบทื่อๆ เหมือนที่ทำบน Facebook เป็นประจำบอกได้เลยว่าพังเปลืองเวลาที่ทำไปครับ
สำหรับคนทำเว็บการเข้าใจบริบทเมื่อมีคนกดเข้ามาอ่านยังเว็บไซต์เรานั้นสำคัญมาก เราต้องรู้ว่าคนมายังหน้านี้ของเราด้วยการเสิร์จคำว่าอะไร หรือเข้ามาจากช่องทางไหนเป็นหลัก จากนั้นเราจะต้องทำการปรับคอนเทนต์ในหน้านั้นให้เข้ากับบริบทความคาดหวังที่กลุ่มเป้าหมายกดเข้ามา เช่น ถ้ามีคนเสิร์จเข้ามาที่เว็บเราด้วยคำว่า “คำที่คนไทยค้นหามากที่สุด 2021” นั่นหมายความว่าพวกเขาอยากเห็นทันทีว่าคนไทยชอบค้นหาอะไร ไม่ใช่วิธีสอนการใช้ Google Trends เพื่อค้นหาคำตอบดังกล่าวอีกที หรือผมอาจจะปรับเอาคำตอบที่คนต้องการที่สุดไว้ด้านบน จากนั้นก็ค่อยสอนวิธีการทำไว้ด้านล่าง เพื่อให้ตอบบริบทของความต้องการของผู้อ่านที่ต้องการคำตอบสุดท้ายมากกว่าวิธีการให้ได้มาซึ่งคำตอบครับ
สร้าง Content ตาม Context ของ Customer แล้วต้องส่งออกไปตาม Segments ด้วย
การ Optimized Content ที่เฉพาะเจาะจงไปยังกลุ่ม Customer Persona ต่างๆ ที่เราสร้างมาจะไม่มีประโยชน์เลยถ้าเราไม่สามารถหาวิธีส่งสารนั้นออกไปยังกลุ่ม Persona ที่เรากำหนดมาอย่างแม่นยำได้ สิ่งที่เราต้องทำคือส่งสารที่ตั้งใจออกไปยังกลุ่มต่างๆ ตาม Segmentation ที่เรากำหนดไว้
การทำ Segmentation ให้เกิดผลจะต้องอาศัยเครื่องมือการตลาดประเภท CRM หรือ Customer Relationship Management เข้ามาช่วย ซึ่งเครื่องมือที่ดีในวันนี้จะต้องไม่ใช่แค่การสะสมแต้มหรือ Loyalty Program เท่านั้น แต่ต้องมีความสามารถในการแบ่งกลุ่มลูกค้าตามเงื่อนไขต่างๆ ที่เราต้องการ หรือต้องสามารถทำ Customer Segmentation ตาม Buyer Persona ที่เราสร้างไว้ได้ แล้วคอนเทนต์ที่เราเตรียมไว้หรือแคมเปญการตลาดใดๆ ที่อุตส่าห์ตั้งใจ Optimized ให้ตรงตาม Context จะเกิดประสิทธิภาพอย่างเต็มที่ตามที่ลงแรงไป
สมมติว่าคุณต้องการจะสื่อสารไปยังกลุ่มผู้หญิงวัย 30+ ที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพเป็นหลัก และมีพฤติกรรมที่ชอบเข้ามาซื้อของทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ คุณคิดกลยุทธ์การทำ Contextual marketing strategy ไว้เป็นอย่างดีแล้วว่าลูกค้ากลุ่มนี้มีเป็นกลุ่มที่ทำงานประจำและมีโอกาสซื้อของเข้าบ้านแค่ช่วงวันหยุด ดังนั้นเราจะต้องส่งแคมเปญการตลาดประเภทโปรโมชั่นส่วนลดกระตุ้นเตรียมไว้ตั้งแต่เย็นวันศุกร์ เพื่อที่เช้าวันเสาร์เขาจะได้ไม่ลืมว่าจะต้องแวะมาใช้เงินที่เราก่อนจะหลุดไปที่อื่น
หรือถ้าผมต้องการจะทำการตลาดกับกลุ่มเป้าหมายที่กำหนดไว้ว่าเป็นสายงาน HR เป็นหลัก เนื้อหาที่ผมเตรียมไว้คือบอกให้รู้ว่าถ้าจ้างการตลาดวันละตอนไปจัดอบรมภายในพนักงานของคุณจะเก่งขึ้นเท่าไหร่เมื่อเทียบกับบริษัทคู่แข่งอื่นในตลาด ในขณะเดียวกันด้วยวัตถุประสงค์เดียวกันถ้าผมต้องการสื่อสารไปยังกลุ่มที่เป็นผู้บริหารในองค์กรแทน ผมก็จะเลือกทำการตลาดว่าถ้าพนักงานคุณเก่งขึ้นงานของผู้บริหารอย่างคุณก็จะเบาลง เลือกการตลาดวันละตอนจัดฝึกอบรมภายในทีมการตลาดคุณให้ จากผู้มีประสบการณ์ตรงในสายงานนี้กว่า 10 ปี บลาๆๆ ก็ว่ากันไปครับ
แต่ทั้งหมดที่เล่ามานี้ก็ไม่ใช่วิธีการทำ Customer Segmentation ทั้งหมด สำคัญคือวัตถุประสงค์หรือ Objective ของคุณว่าต้องการหรือคาดหวังสิ่งใดกลับมา ถ้าคุณต้องการสร้าง Awareness ให้คนรู้จักเป็นจำนวนมากวิธีการทำ Segments ก็คงไม่ตอบโจทย์ แต่ถ้าคุณต้องการสื่อสารแบบเฉพาะเจาะจงไปยังคนบางกลุ่มหรือใครบางคน การสื่อสารแบบเฉพาะเจาะจงลงไปในแต่ละ Segments โดยสื่อสารอย่างเข้าใจ Context ของผู้รับสารปลายทางก็จะมีประสิทธิภาพมากกว่าครับ
หา Context ที่ดีที่สุดในแต่ละ Channel ก่อนจะทำ Content ออกไป
ถ้าคุณมี Buyer Personas ที่หลากหลายมันอาจจะยากเกินไปในการสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดีย ดังนั้นสำหรับการทำ Contextual Content บนโซเชียลมีเดียนั้นต้องคิดถึงบริบทของแพลตฟอร์มที่ใช้สื่อสารมากกว่ากลุ่มเป้าหมายแยกย่อยตาม Persona ที่ทำมา เพราะตัวเครื่องมือไม่เอื้อให้ทำแบบนั้นสักเท่าไหร่ แต่บน Facebook ก็อาจจะพอทำได้ในการกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่จะเห็นแต่ละโพส
ถ้าสินค้าหรือบริการของคุณมีลูกค้าถึงสามกลุ่มธุรกิจที่แตกต่างกัน คุณจำเป็นต้องสื่อสารออกไปให้ครอบคลุมทั้งสามกลุ่มธุรกิจดังกล่าว หรือถ้าเราต้องการจะสื่อสารแบบเฉพาะเจาะจงไปยังกลุ่มเดียวก็ต้องสื่อสารให้ชัดเจนตอนทำคอนเทนต์หรือการตลาดออกไปว่าเราอยากให้ใครเข้ามา
วิธีการสื่อสารหรือทำคอนเทนต์ออกไปเมื่อระบุกลุ่มเป้าหมายก็สำคัญ แม้โซเชียลมีเดียจะสามารถทำคอนเทนต์ได้หลากหลายรูปแบบก็ตาม แต่การปรับรูปแบบของคอนเทนต์ให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการก็มีความสำคัญมากต่อผลลัพธ์ที่จะได้ ถ้าเราคิดว่ากลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการชอบดูวิดีโอเป็นหลัก การที่เราทำคอนเทนต์ประเภท White-paper ยาวหลายสิบหน้าให้ดาวน์โหลดไปอ่านก็ดูจะไม่ตอบบริบทสักเท่าไหร่
ข้อนี้ไม่มีคำตอบตายตัวแต่วันแรกในการทำ แต่เราสามารถทดลองทำหลายๆ แบบแล้วเรียนรู้ว่ากลุ่มผู้ติดตามบนโซเชียลมีเดียแต่ละช่องทางเราชอบคอนเทนต์แบบไหน แล้วก็ค่อยๆ ขยายการทำคอนเทนต์รูปแบบนั้นไปให้หลากหลายเนื้อหา นี่คือการทำ Content โดยอิงจาก Context ของแต่ละ Channel
เพราะอย่างที่ผมบอกไปตอนต้นครับว่าแต่ละ Channel หรือโซเชียลมีเดียต่างๆ ก็มี Context ของการ Consume Content ที่แตกต่างกัน บน Instagram เราต้องสื่อสารด้วยภาพเป็นหลัก จะมาโพสลิงก์แบบ Facebook ก็ไม่ได้ ส่วน Story บน Instagram เองก็ต้องใช้รูปแบบคลิปสั้นๆ เน้นความไวแบบ Real-time สรุปได้ว่าแต่ละช่องทางก็มีบริบทที่แตกต่างกันไปครับ
สิ่งเดียวที่จะบอกได้ว่าคอนเทนต์รูปแบบไหนที่ดีที่สุดสำหรับเราในช่องทางนี้ เราก็ต้องทดลอง ทำสอบ วัดผล แล้วก็เรียนรู้จากคนอื่นๆ ดูว่าเขาทำแบบไหนแล้วเวิร์คกัน ส่วนเราทำแบบไหนแล้วเวิร์คบ้าง หาบริบทของเราให้เจอแล้วคุณจะพบสูตรลับในแบบของคุณที่ใครก็ยากจะเลียนแบบตาม
ใส่ Call-to Action แบบ Personalization ตาม Context ของกลุ่มเป้าหมายตรงหน้า
สำหรับคนที่ทำเว็บหรือทำการตลาดใดๆ สามารถใส่ Call-to Action ที่ถูกปรับแต่งตาม Context ของคนตรงหน้าที่ได้รับให้เป็นแบบ Personalization ได้ ซึ่งวิธีการนี้สามารถประยุกต์ใช้ได้กับทุกคนบนเว็บไซต์เรา ลองมาดูกันครับว่าทำอย่างไรได้บ้าง
ที่นิยมใช้กันคือการปรับแต่ง Chatbot ให้ทักชื่อผู้อ่านที่ลงทะเบียนแล้วล็อคอินเรียบร้อยแล้ว หรืออาจจะปรับแต่งเนื้อหาจากชื่อบุคคลให้กลายเป็นชื่อบริษัทก็ได้สำหรับธุรกิจแบบ B2B เหมือนที่นิยมทำกันผ่านเวลาส่งอีเมลเป็นประจำ
หรือเราสามารถปรับแต่งปุ่ม Call-to Action ให้ตรงกับ Context ของ Audience ตรงหน้า เช่นถ้าเรารู้ว่าคนนี้เคยกดดาวน์โหลดไปแล้วก็ควรเปลี่ยนปุ่ม Call-to Action เป็นอย่างอื่น เช่น ดาวน์โหลดเอกสารอันถัดไป หรือแจ้งขอรับการติดต่อจากทีมงาน หรือแม้แต่กระทั่งเอาปุ่มออกไปเลยก็ยังดีกว่าครับ
หรือถ้าเรารู้ว่า Audience ที่กำลังอ่านอยู่ตอนนี้เคยลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว เราก็ถอดปุ่มลงทะเบียนออกไปแล้วอาจจะสลับด้วยปุ่มซื้อสินค้าหรือลงทะเบียนร่วมงานเข้ามาแทน
นี่คือการทำ Marketing Automation บนเว็บไซต์เราโดยอิงจาก Context ของ Customer ตรงหน้าจาก Data ที่มี เราต้องพยายามใช้ข้อมูลลูกค้าที่เรามีมาเพิ่มโอกาสในการขายมากที่สุด
สิ่งสุดท้ายที่อยากฝากไว้สำหรับการประยุกต์ใช้ Contextual marketing กับ Content
ทั้งหมดที่คุณได้เรียนรู้เกี่ยวกับการทำ Content ด้วยหลักการคิดแบบ Contextual marketing คือการปรับแต่งเนื้อหาหรือการตลาดให้กลุ่มเป้าหมายผู้รับสารรู้สึกถึงความใส่ใจตั้งใจส่งออกไป แต่อย่าทำให้ผู้รับสารรู้สึกอึดอัดใจที่คุณรู้ลึกถึงเรื่องส่วนตัวเขามากเกินไปจนรู้สึกเหมือนถูกใครสักคนจับตามอง แน่นอนว่าถ้าเป็นตัวคุณเองก็คงจะไม่ชอบ ดังนั้นนักการตลาดที่ดีต้องทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าเราใส่ใจเขาไม่ใช่โรคจิตใส่เขา
แล้วถ้าคุณยังไม่มีเครื่อไม้เครื่อมือที่จะทำคอนเทนต์หรือการตลาดให้ปรับเปลี่ยนเนื้อหาไปตามกลุ่มเป้าหมายได้แบบเฉพาะเจาะจง ก็จงค่อยๆ เริ่มต้นทำในระดับที่ทำได้ อาจจะเริ่มจากการใส่ใจใน Context ที่ส่งผลต่อ KPI หรือ Business objective ของคุณก่อน แล้วก็ค่อยๆ แบ่งกลุ่มลูกค้าออกมาทีละน้อยเพื่อเริ่มต้นทำ Contextual marketing ที่อย่างไรก็ดีกว่าการสื่อสารแบบโลกเก่าที่มองทุกคนคือคนๆ เดียวกันอย่างแน่นอน
เมื่อเราได้ข้อมูลกลุ่มเป้าหมายเข้ามาเพิ่มก็อย่าลืมคิดหาวิธีเอามาใช้หรือต่อยอดโดยยังเคารพสิทธิความเจ้าใจของข้อมูลของเจ้าตัว แล้วก็อย่าลืมเอาข้อมูลลูกค้าที่กระจัดกระจายมาประกอบภาพรวมเพื่อทำให้เข้าใจบริบทของลูกค้ามากขึ้น จำไว้ว่าเมื่อเรากำลังตั้งใจคุยกับใครสักคนหนึ่งสิ่งสำคัญคือความถูกต้องของข้อมูลที่มีต้องไม่ผิดเพี้ยนจนทำให้เสียโอกาสแทนที่จะปิดการขายได้โดยง่าย
สุดท้ายแล้วทุกแผนการตลาดทั้งหมด หรือทุกแคมเปญการตลาดที่เราทำก็ล้วนเพื่อทำให้ลูกค้ารู้สึกประทับใจ รู้สึกว่าเราพิเศษกว่าคู่แข่งแบรนด์อื่นในท้องตลาด ก็โดยการใส่ใจในลูกค้า เริ่มต้นที่การทำความเข้าใจในบริบทของลูกค้าตรงหน้า พวกเขาเป็นใคร พวกเขาอยู่ที่ไหน พวกเขากำลังสื่อสารกับเราผ่านช่องทางไหน พวกเขากำลังต้องการอะไร ทั้งหมดนี้คือการตลาดแบบใส่ใจในทุกบริบท Contextual marketing ที่จะเป็นทางออกใหม่ของโลกดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง ใครพร้อมเข้าใจลูกค้ามากกว่า ใครพร้อมใส่ใจในลูกค้ามากว่า และใครที่ให้ในสิ่งที่ลูกค้าต้องการได้ดีกว่า ก็จะเป็นผู้ชนะในเกมการตลาดไปอย่างไม่มีใครปฏิเสธได้ ทั้งหมดที่พูดมานี้ไม่ใช่เรื่องยากเกินไปที่เราจะทำได้ แต่ปัญหาคือการตลาดแบบ Contextual marketing ต้องใช้ความใส่ใจและละเมียดละไมอย่างมาก หนทางที่ยากที่สุดก็คือเส้นทางตรงไปยังเป้าหมาย และเช่นเดียวกันกับเส้นทางที่ง่ายที่สุดของการตลาด ก็คือไม่เสียเวลาอ้อมค้อมเดินทางง่ายเราแต่ยากลูกค้า เพราะแบบนั้นเท่ากับว่าคุณไม่ได้ใส่ใจในตัวลูกค้าสักนิดเลย