9 เคล็ดลับในการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพ Image SEO
ในการทำ SEO เพื่อให้เว็บไซต์ของเราติดอันดับต้นๆ ของการค้นหานั้นจำเป็นต้องอาศัยหลายปัจจัยที่มาช่วยทั้งผลักทั้งดันให้เว็บไซต์ของเราเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ซึ่งรูปภาพก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการทำ SEO ของเราให้ดีขึ้นได้
บทความนี้แบมเลยจะมาพูดถึง 9 เทคนิคในการช่วยเสริมประสิทธิภาพของรูปภาพในเว็บไซต์ของเราให้ถูกใจ Google กัน จะมีวิธีไหนบ้างไปดูกันเลยค่ะ
ทำไมรูปภาพถึงมีความสำคัญกับการทำ SEO?
โดยปกติแล้วการค้นหา Google Image นั้นจะคิดเป็น 22.6% ของการค้นหาทั้งหมด นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ต้องใส่ใจกับ Image SEO ของคุณ เพราะถ้าเรามองข้าม หรือไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องรูปภาพมากพอ ก็อาจจะทำให้เราพลาด Traffic จากการชมเว็บไซต์จำนวนมากได้
สำหรับการทำ Image SEO นั้นสามารถช่วยเพิ่มการเข้าชมไซต์ของเราได้ เนื่องจาก
- การปรับภาพให้เหมาะสมจะช่วยเพิ่มโอกาสใน การจัดอันดับใน Google Image
- รูปภาพเป็นส่วนสำคัญของการทำ SEO เนื่องจากรูปภาพนั้นมีส่วนช่วยให้ทั้ง Google และผู้ใช้เข้าใจเนื้อหาที่เราเขียนมากขึ้น
Image Optimization คืออะไร?
10 วิธีในการทำ Image Optimization ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
เราลองมาดูกันดีกว่าค่ะว่าจะมีวิธีไหรบ้างที่จะช่วยในการปรับปรุงรูปภาพในเว็บไซต์เราให้มีประสิทธิภาพได้มากขึ้นกว่าเดิม
1.ตั้งชื่อรูปภาพให้ถูกต้อง
ตามคู่มือ Image SEO ของ Google ระบุไว้ว่าสิ่งสำคัญในการวัดคุณภาพของรูปภาพก็คือต้องใช้ชื่อไฟล์ที่สื่อความหมายของภาพให้ชัดเจน
ตัวอย่างเช่น
ภาพรองเท้า Nike Air Force 1
ถ้าเราไม่ได้ตั้งชื่อไฟล์ให้ถูกต้อง เวลาเราบันทึกไฟล์ ก็จะเป็นชื่อ IMG01234.JPG แต่การตั้งชื่อไฟล์ในลักษณะนี้ Google จะเข้าเข้าใจว่ารูปภาพนี้คือภาพอะไรกันแน่
เพราะฉะนั้นการตั้งชื่อไฟล์ที่ดีกว่าจึงควรจะเป็น white-air-force-1-pastel-stripes.jpg
เพราะเป็นชื่อที่สื่อความหมายกับรูปภาพได้อย่างชัดเจนนั่นเอง
นอกจากนี้ Google แนะนำให้ใช้เครื่องหมายขีดกลางแทนขีดล่างเพื่อแยกคำด้วย
2. ปรับขนาดภาพให้เป็นขนาดที่แสดงบนหน้าเว็บ
หนึ่งในปัจจัยสำคัญในการทำ SEO ก็คือเรื่องของความเร็ว ซึ่งขนาดไฟล์ภาพนั้นเป็นอีกหนึ่งตัวแปรที่จะทำให้เว็บไซต์ของเราโหลดช้าลงได้
ยกตัวอย่างเช่น
ถ้าความกว้างสูงสุดของรูปภาพบนเว็บไซต์ของคุณคือ 600 พิกเซล เราก็ควรปรับขนาดภาพเป็นขนาดการแสดงผลสูงสุดที่จำเป็นก่อนอัปโหลดเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหานี้
3. การบีบอัดรูปภาพ
การปรับขนาดรูปภาพนั้นไม่ใช่วิธีเดียวที่จะช่วยลดขนาดไฟล์ได้ แต่เรายังสามารถใช้วิธีการบีบอัดรูปภาพซึ่งสามารถช่วยลดเวลาในการโหลดหน้าเว็บได้เช่นกัน
การบีบอัดรูปภาพนั้นเป็นการย่อขนาดไฟล์โดยไม่ลดทอนคุณภาพจนอยู่ในระดับที่ยอมรับไม่ได้
โดยพื้นฐานแล้ว เป้าหมายของการบีบอัดรูปภาพก็คือการลดความซ้ำซ้อนในข้อมูลภาพให้เหลือน้อยที่สุดเพื่อให้มีประสิทธิภาพและความเร็วในการโหลดเร็วขึ้นนั่นเอง
4. เลือกรูปแบบที่เหมาะสม
เมื่อเราพูดถึงการบีบอัดภาพแล้ว เรามาพูดถึงการเลือกรูปแบบภาพที่เหมาะสมกับการใช้งานกันบ้าง
JPEG : รูปแบบภาพยอดนิยม แถมยังมีสามารถบีบอัดให้มีขนาดเล็กมากได้
PNG : ใช้เมื่อต้องการภาพพื้นหลังแบบโปร่งใส
WebP : ใช้เมื่อต้องการการบีบอัดที่สูงกว่า JPEG หรือ PNG โดยจะรองรับรูปภาพและภาพเคลื่อนไหวโดยไม่ลดทอนความลึกของสี เฟรมภาพเคลื่อนไหว ฯลฯ แต่ไม่สามารถใช้ได้กับเบราว์เซอร์รุ่นเก่าได้
SVG : ใช้สำหรับไอคอนหรือโลโก้
5. สร้างแผนผังไซต์รูปภาพ
พูดง่ายๆ ก็คือ การสร้างแผนผังเว็บไซต์สำหรับรูปภาพนั้นจะช่วยเพิ่มโอกาสที่ภาพของเราจะปรากฏในผลการค้นหาของ Google มากขึ้น
แผนผังเว็บไซต์แบบรูปภาพนั้นคล้ายกับแผนผังเว็บไซต์ XML ทั่วไป ยกเว้นว่าแผนผังเว็บไซต์แบบรูปภาพจะรวมเฉพาะ URL ของรูปภาพเท่านั้น
6. ใช้เครือข่ายการจัดส่งเนื้อหา
เครือข่ายการจัดส่งเนื้อหา (Content Delivery Network) หรือที่เราเรียกย่อๆ ว่า CDN นั้น เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเรียกดูเว็บไซต์จากทั่วทุกมุมโลกได้ในทันที
เพราโดยปกติแลัวเนื้อหาในเว็บไซต์มักจะประกอบด้วยข้อความ รูปภาพ และวิดีโอ เมื่อคลิกลิงก์ผู้ใช้จะต้องขอให้เซิร์ฟเวอร์ของเว็บไซต์แสดงเนื้อหาเหล่านี้ ถ้าในเว็บไซต์มีเนื้อหาหรือข้อมูลมาก ก็จะทำให้โหลดได้ช้าลง เมื่อผู้ใช้งานรอนาน ก็เป็นไปได้สูงที่จะออกจากหน้าเว็บ
แต่ด้วยการทำงานของ CDN นั้นจะทำการจัดเก็บเนื้อหาที่แคชไว้ใกล้กับผู้ใช้ปลายทาง และใช้อัลกอริทึมข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อค้นหาเส้นทางการส่งข้อมูลที่เร็วที่สุด เพื่อแก้ปัญหาความล่าช้าของเครือข่าย
7. ใช้ Lazy Loading
การโหลดแบบขี้เกียจๆ นี่แหละจะช่วยส่งผลดีต่อการทำ SEO มากขึ้น เพราะ Lazy Load เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่จะทำให้เว็บไซต์ของเราโหลดได้ไวขึ้น
เพราะส่วนมากในหน้าเว็บไซต์นั้นจะมีรูปภาพหลายรูป ถ้าต้องรอโหลดรูปภาพทุกรูปจนเสร็จก็จะต้องใช้เวลานาน ซึ่งอาจจะทำให้เกิดความหงุดหงิดใจกับผู้ใช้งานได้
ซึ่งการทำงานของ Lazy Load นั้นจะทำให้รูปภาพเหล่านั้นถูกโหลดเมื่อผู้ใช้เลื่อนไปถึงภาพๆ นั้นเท่านั้น เเทนที่จะโหลดรูปภาพ 10 รูปให้เสร็จในทีเดียว ก็เปลี่ยนเป็นเมื่อผู้ใช้เลื่อนหน้าจอไปถึงตรงที่ต้องเเสดงภาพ ค่อยโหลดมาเเสดงผลแทน
8. ใช้ประโยชน์จากการแคชเบราว์เซอร์
การแคชเบราว์เซอร์คือเมื่อไฟล์ถูกจัดเก็บโดยเบราว์เซอร์ของผู้เยี่ยมชม ซึ่งหมายความว่าเนื้อหาโหลดเร็วขึ้นเมื่อพวกเขาเข้าชมหน้าครั้งต่อไป หากไม่มีแคชของเบราว์เซอร์ ในครั้งต่อไปที่ผู้ใช้รายนี้เข้าชมหน้านี้ จะต้องดาวน์โหลดสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดอีกครั้ง แต่ด้วยการแคชของเบราว์เซอร์ เบราว์เซอร์จะเก็บข้อมูลเหล่านี้ไว้อยู่แล้ว ซึ่งหมายความว่าหน้าเว็บจะโหลดเร็วขึ้นมาก
ซึ่งเครื่องมือ Google PageSpeed Insights มักแนะนำให้ใช้ประโยชน์จากการแคชของเบราว์เซอร์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความเร็วในการโหลดรูปภาพ
9. เพิ่มข้อมูลโครงสร้างรูปภาพ
การเพิ่มข้อมูลที่มีโครงสร้างเป็นคำศัพท์หรือบริบทเพิ่มเติมที่เกี่ยวกับรูปภาพนั้นๆ จะช่วยให้ Googlt เข้าใจข้อมูลในหน้าเว็บไซต์ของคุณได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น
สมมติว่าเราต้องการอัปโหลดสูตรอาหารไปยังเว็บไซต์ของเรา เราก็สามารถใช้ข้อมูลที่มีโครงสร้างของรูปภาพเพื่อแสดงว่ารูปภาพนั้นเป็นของสูตรอาหารได้ โดยข้อมูลโครงสร้างรูปภาพนั้นอาจจะแสดงถึงบทวิจารณ์สูตรอาหาร เวลาที่ใช้ในการทำสูตร และรายการส่วนผสมสั้นๆ
แต่ต้องขอบอกไว้ก่อนว่าข้อมูลที่มีโครงสร้างรูปภาพเหล่านี้นั้นอาจไม่ได้ทำให้เว็บไซต์ของเรามีอันดับการค้นหาที่ดีขึ้นเสมอไป แต่อย่างไรก็ตาม มันก็เป็นวิธีสามารถช่วยปรับปรุงรายการค้นหารูปภาพของให้ดีขึ้นได้อีกทางหนึ่ง
และทั้งหมดนี้ก็เป็น 9 วิธีพื้นฐานที่จะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพในการทำ Image SEO ของเราให้ดีขึ้น
ยังไงก็ลองเอาเคล็ดลับเหล่านี้ไปปรับใช้กับเว็บไซต์และธุรกิจของคุณดูได้นะคะ แล้วได้ผลลัพธ์อย่างไรก็อย่าลืมมาบอกกันบ้างนะคะ
ส่วนใครที่อยากเรียนรู้เกี่ยวกับการทำ SEO แบมแนะนำให้ไปอ่านเพิ่มเติมได้ ที่นี่ เลยค่ะ
ในบทความหน้าแบมจะมีอะไรมาอัปเดตอีกบ้าง สามารถติดตามได้ผ่านเพจการตลาดวันละตอน รวมถึง Twitter และ Blockdit ของการตลาดวันละตอนนะคะ