Rank Zero วิธีปรับ กลยุทธ์ SEO ให้เว็บแรงจนขึ้นแซงอันดับ 1

Rank​ Zero​ วิธีปรับ กลยุทธ์​ SEO​ ให้เว็บแรงจนขึ้นแซงอันดับ​ 1

Rank Zero วิธีปรับกลยุทธ์ SEO ให้เว็บแรงจนขึ้นแซงอันดับ 1 เพราะถ้าหากพูดถึงการแข่งขันแล้วล่ะก็ ไม่ว่าใครก็อยากเป็นที่หนึ่งจริงไหมคะ? 

ในการทำ SEO ก็เช่นกัน ไม่ว่าใครก็อยากทำเว็บไซต์ให้ไต่อันดับขึ้นเป็นที่หนึ่งในหน้าการค้นหาของ Google กันทั้งนั้น หรือถ้าไม่ได้อันดับหนึ่ง ก็ขอแค่ไม่หลุดจากหน้าแรกก็พอใจแล้ว 

แต่สิ่งที่แบมจะมาเล่าให้ฟังในวันนี้ไม่ใช่วิธีการทำให้เว็บไซต์ของเราเป็นที่หนึ่ง แต่เป็นกลยุทธ์ SEO ให้เว็บไซต์ของเราไปอยู่ในอันดับที่ศูนย์ หรือ Rank Zero ซึ่งเป็นอันดับที่เหนือกว่าอันดับที่หนึ่งเสียอีก

Rank Zero คืออะไร

Rank Zero หรือ Position zero เป็นผลลัพธ์จาก Featured snippets ที่จะแสดงผลการค้นหาหรือคำตอบที่ต้องบน Google แบบทันทีโดยไม่จำเป็นต้องคลิกเข้าไปอ่านด้านใน ซึ่งผลการค้นหานี้มักจะปรากฏอยู่อันดับแรกสุดในหน้าแรกของการค้นหา 

โดยหน้าตาของ Rank Zero หรือ Featured snippets จะมาในรูปแบบของ Answer Box โดยมีกรอบเน้นให้เห็นแบบเด่นสะดุดตา อยู่ในตำแหน่งบนสุด นั่นจึงเป็นที่มาของคำว่า อันดับ 0 นั่นเอง

5 ประเภทเนื้อหาในการทำ Rank Zero

ในความเป็นจริงแล้วการทำเนื้อหาเพื่อให้ไปอยู่ใน Rank Zero ได้นั้น หลักใหญ่ใจความในการหาหัวข้อ หรือคีย์เวิร์ดในการเขียนนั้นอาจจะไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ เพียงแต่ต้องมีการปรับแต่ง กลยุทธ์ในการทำ SEO Content กันสักเล็กน้อย

ลองมาดูกันดีกว่าว่า 6 ประเภทเนื้อหาที่ใช้ในการทำให้เว็บไซต์ของเราติดอันดับ 0 ได้นั้นมีอะไรบ้าง

1.Paragraph

เป็นประเภทเนื้อหาที่แสดงให้เห็นใน Position Zero เยอะที่สุด โดยจะเป็นการตอบคำถามได้ครอบคลุมครบภายในหนึ่งย่อหน้า ส่วนมากจะเป็นการตอบคำถามประเภท ใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร เมื่อไหร่ 

2.Bullet List

การใช้ Bullet List จะเป็นการแสดงคำตอบแบบเป็นข้อๆ รวมไว้ในหัวข้อที่มีความเกี่ยวข้องกัน แต่ไม่จำเป็นต้องเรียงตามลำดับขั้นตอน เช่น แนะนำ 10 ร้านคาเฟ่ในหัวหิน หรือ เช็กลิสต์เก็บกระเป๋าเพื่อเตรียมตัวเที่ยว เป็นต้น

3.Number List

สำหรับเนื้อหาแบบ Number List นั้นมีความคล้ายคลึงกันกับ Bullet List มาก แต่จะแตกต่างกันตรงที่ ส่วนใหญ่แล้ว Number List จะเป็นการพูดถึงเนื้อหาที่ต้องมีลำดับขั้นตอน เช่น วิธีทำข้าวมันไก่ด้วยหม้อหุงข้าว หรือ 10 ขั้นตอนในการจดทะเบียนร้านค้าออนไลน์  เป็นต้น

4.Table

เนื้อหาในรูปแบบ Table นั้นส่วนมากจะเป็นคำตอบที่มีการเปรียบเทียบให้เห็นในรูปแบบตาราง เช่น อัตราสินเชื่อบ้าน หรืออัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ เป็นต้น แต่เนื้อหาในลักษณะนี้ เราจะไม่ค่อยพบเจอเท่าไหร่นัก

5.Video

การแสดงคำตอบเป็นเนื้อหาประเภทวิดีโอนั้นเราคงเคยเห็นผ่านหูผ่านตากันมาบ้างแล้ว โดยส่วนมากนั้น Featured snippets จะแสดงคำตอบในรูปแบบของวิดีโอจากทาง YouTube เสียเป็นส่วนใหญ่

เขียนอย่างไรให้ติด Rank Zero

ก่อนอื่นแบมต้องขอบอกก่อนเลยว่าการจะเขียนบทความให้ติด Rank Zero นั้นความจริงแล้วไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวหรอกนะคะ เพราะทาง Google ไม่เคยออกมาบอกเลยว่ามีปัจจัยไหนบ้างที่ทำให้เว็บไซต์ของเราสามารถอยูในอันดับ 0 ได้ 

เพราะฉะนั้นสิ่งที่แบมกำลังจะแนะนำนี้ เป็นเทคนิคที่เกิดจากการเรียนรู้และลองผิดลองถูก จนสามารถสรุปมาให้ทุกคนได้ 3 ปัจจัยหลักๆ ดังนี้

1.เลือกใช้ Long Tail Keyword เวิร์กกว่า

การใช้ Long Tail Keyword เป็นการเลือกใช้คำหลักที่มีความเฉพาะเจาะจงสูง ด้วยการเติมคำเติมคำขยายเข้าไปต่อท้ายคีย์เวิร์ด Broad Keyword 

เช่น แทนที่เราจะใช้ Keyword ว่า ตั๋วเครื่องบิน ญี่ปุ่น ก็อาจจะเพิ่มเป็น เปรียบเทียบตั๋วเครื่องบิน ญี่ปุ่น ราคาถูก เป็นต้น

ซึ่งคนที่ใช้ Long Tail Keyword ที่มีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้นในการค้นหานั้นก็มีแนวโน้มสูงมากที่จะมี Search Intent ที่ลึก ต่างจากคนที่ใช้ Broad Keyword ที่มักจะใช้เพื่อค้นหาข้อมูลกว้างๆ ไม่ลงลึกเท่าไหร่

เพราะฉะนั้นการที่เราใช้คีย์เวิร์ดที่มีความเฉพาะเจาะจง หรือลงลึกในรายละเอียดได้มากเท่าไหร่ หมายความว่าเราสามารถตอบคำถามคนที่มาค้นหาได้ตรงมากขึ้นเท่านั้น นั่นจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมการใช้ Long Tail Keyword จึงมีโอกาสที่ Google Search จะคัดเลือกเป็น Featured Snippets ได้

2.เนื้อหาที่เขียนต้องรู้ลึก รู้จริง 

ข้อนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ไม่เพียงแต่การเลือกใช้ Keyword ให้ถูกต้องเหมาะสมเท่านั้น แต่กลยุทธ์การ SEO Content คือการแสดงให้ Google เห็นว่าเนื้อหาที่คุณนำเสนอผ่านเว็บไซต์นั้นมีประโยชน์ แบบรู้ลึก รู้จริง และเป็นบทความที่มาจากประสบการณ์จริงของผู้เขียนด้วยแล้ว ก็จะยิ่งเพิ่มแต้มความน่าเชื่อถือ ที่เป็นปัจจัยหลักในการพิจารณาของ Google จนถูกดึงขึ้นเป็ Rank Zero ได้

เช่น เว็บไซต์การตลาดวันละตอน มีบทความที่อธิบายถึงการตลาดโดยการใช้ Data ซึ่งมีการไล่เนียงเนื้อหาอย่างละเอียด ตั้งแต่ เครื่องมือที่ใช้ ขั้นตอนการเก็บ Data ไปจนถึงวิธีการอ่านผล เป็นต้น

3.จัดเรียง Headline อย่างเป็นลำดับ

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่หลายคนไม่ค่อยให้ความสนใจ และมองข้ามกันอยู่บ่อยๆ แต่แบมบอกเลยว่าปัจจัยนี้ก็สำคัญไม่แพ้กัน โดยเราควรเรียงจากหัวข้อใหญ่ไปสู่หัวข้อย่อย และไม่ควรเรียงกระโดดข้ามไปมา

ซึ่งปกติแล้วหัวข้อใหญ่ที่สุด หรือ H1 จะเป็นชื่อบทความ จากนั้นก็ค่อยๆ กันลงมาตามลำดับความสำคัญ เป็น H2 H3 H4 H5 ตามลำดับ เช่น

H1 - เขียนบทความอย่างไรให้ถูกหลัก SEO Content

      H2 - SEO Content ต่างจาก Content ทั่วไปอย่างไร

      H2 - 9 ขั้นตอนในการเขียน SEO Content

           H3 - ขั้นตอนที่1: การเลือก Keyword

                H4 - Keyword ต้อง Relevant

                H4 - มีปริมาณ Search Volume อยู่

                        พอสมควร

                H4 - Keyword Difficulty

จากตัวอย่างด้านบนคงพอที่จะทำให้นักการตลาดมองเห็น Pattern การจัดเรียง Headline กันบ้างแล้ว ซึ่งในส่วนนี้นอกจากจะช่วยเรื่อง SEO แล้ว ยังช่วยให้เราจับประเด็นในการเขียน และเรียงลำดับความสำคัญได้ดีขึ้นด้วย

การที่หน้าเว็บไซต์ของเราติด Rank Zero นั้นก็เปรียบเสมือนทางลัดในการขึ้นสู่อันดับแรกๆ ในหน้าการค้นหา นอกจากจะทำให้มี Traffic เพิ่มขึ้นแล้ว ยังทำให้เปอร์เซ็นต์ CTR เพิ่มขึ้นตามไปด้วย อีกทั้งการขึ้นเป็นอันดับแรกในหน้าการค้นหาของ Google ยังส่งผลให้แบรนด์เป็นที่จดจำและเพิ่มความน่่เชื่อถือให้กับของผู้บริโภคมากขึ้นว่าเมื่อเข้ามาในเว็บไซต์ของเราแล้วจะได้รับข้อมูล และความรู้ที่ถูกต้อง

ส่วนตัวแบมมองว่า Rank Zero นั้นมีข้อดีมากกว่าข้อเสียนะคะ ยังไงเพื่อนๆ นักการตลาดลองเอาวิธีนี้ไปปรับใช้กับบทความของตัวเองดูได้นะคะ

ส่วนใครที่อยากเรียนรู้เกี่ยวกับการทำ SEO แบมแนะนำให้ไปอ่านเพิ่มเติมได้ ที่นี่ เลยค่ะ

ในบทความหน้าแบมจะมีอะไรมาอัปเดตอีกบ้าง สามารถติดตามได้ผ่านเพจการตลาดวันละตอน รวมถึง Twitter และ Blockdit ของการตลาดวันละตอนนะคะ

ที่มา

Bambinun*

Content Creator แห่งการตลาดวันละตอน ที่หลงรักการเล่าเรื่องผ่านตัวหนังสือ พอๆ กับการกินของอร่อย และใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเป็นทาสแมว

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *