รีวิว Nothing Phone 2 ฉบับพกไปทำงาน ดีไซน์ล้ำไม่พอฟีเจอร์น่าสนใจเพียบ

รีวิว Nothing Phone 2 ฉบับพกไปทำงาน ดีไซน์ล้ำไม่พอฟีเจอร์น่าสนใจเพียบ

สวัสดีค่ะชาวการตลาดวันละตอนทุกท่าน วันนี้ขอเปิด #การตลาดวันละชิ้น ด้วยการ รีวิว Nothing Phone 2 โทรศัพท์ที่ทำให้เทคโนโลยีเป็นเรื่องสนุกอีกครั้ง จากที่ Nothing Phone รุ่นแรกถึงขั้นได้รับรางวัลอันทรงเกียรติ สิ่งประดิษฐ์ยอดเยี่ยมแห่งปี 2565 จากนิตยสาร Time มาแล้ว วันนี้จะพาทุกคนมาดูกันว่า Nothing Phone 2 มีความพิเศษและน่าสนใจยังไงบ้าง

“สมาร์ทโฟนเป็นเครื่องมือสำคัญในชีวิตของเรา แต่มันกลายเป็นสิ่งรบกวนสมาธิมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เราอยู่กับปัจจุบันน้อยลง และมีความคิดสร้างสรรค์น้อยลง”

Carl Pei ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้งของ Nothing

ซึ่งส่วนตัวแล้วรู้สึกว่าจริงมาก ๆ เลยค่ะ ทุกวันนี้บางทีเราอยู่กับโทรศัพท์ตลอด 24 ชั่วโมง ตั้งแต่ลืมตาตื่นจนนอนหลับอีกครั้ง กลายเป็นเหมือนอวัยวะชิ้นที่ 33 กลืนติดอยู่กับร่างกายไปแล้ว จนบางครั้งทำให้เราโฟกัสกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าในชีวิตจริงน้อยลง ทำอะไรก็มีสมาธิน้อยลง ส่งผลให้คิดอะไรก็รู้สึกล้า ๆ ตัน ๆ ความคิดสร้างสรรค์ไม่ค่อยออกมา

ดังนั้นวันนี้จะพาทุกคนมารู้จัก Nothing Phone กันให้มากขึ้น เพื่อพามาดูความตั้งใจในการอยากให้คนใช้โทรศัพท์โดยไม่ต้องใช้โทรศัพท์ เอ๊ะแบรนด์โทรศัพท์อะไร ทำไมอยากให้คนใช้โทรศัพท์น้อยลงล่ะ แล้วใช้ยังไงให้น้อยลงแต่ยกระดับ Customer Experience ให้มากขึ้นได้ เอ๊าตกลงมันยังไง มาดูกัน

มองจากดาวอังคารก็รู้ว่าเป็น Nothing Phone 2

จริง ๆ สำหรับใครที่รู้จักอยู่แล้ว เมื่อพูดถึง Nothing Phone คงมีภาพในหัวเด้งเข้ามาแบบอัตโนมัติชัดเจนแน่นอน อย่างผู้เขียนเองก็เคยได้คุยกับเพื่อนว่าช่วงนี้ลองใช้ Nothing Phone อยู่ เพื่อนก็พูดขึ้นมาเลยว่าอ๋อโทรศัพท์ที่ดีไซน์ด้านหลังเครื่องเป็นแบบใส ๆ เปลือย ๆ ใช่ไหม 

ดังนั้นแบบนี้แน่นอนว่าคนเห็นแต่ร้อยเมตรก็คงรู้ว่าเป็น Nothing Phone กับดีไซน์ที่มีเอกลักษณ์ เก๋เท่ ไม่ซ้ำกับใครจริง ๆ เพราะเป็นกระจกหลังใส ๆ ที่โค้งมนเล็กน้อยถนัดมือ เห็นดีไซน์แผงวงจรที่สวยงาม

เพราะ Nothing Phone เขาใส่ใจในดีเทลมาก พัฒนารายละเอียดให้ดีขึ้นจากรุ่นแรก คำนึงถึงเรื่องการออกแบบที่เข้ากับการใช้งานจริง ไม่ว่าจะรูปทรง ตำแหน่งปุ่ม หรือในทุก ๆ องค์ประกอบเลย

อย่างตัวปุ่มล็อคหน้าจอที่อยู่ด้านข้างทางฝั่งขวา และปุ่มเพิ่ม-ลดเสียงที่อยู่ด้านข้างทางฝั่งซ้ายของตัวเครื่อง โดยปกติทุกคนอาจคุ้นชินมือกันว่าปุ่มเหล่านี้จะอยู่ค่อนข้างสูง หรือเรียกว่าส่วนบน ๆ ของด้านข้างเครื่องใช่ไหมคะ

แต่ของ Nothing Phone ปุ่มจะอยู่ตำแหน่งค่อนข้างต่ำลงมา หรืออยู่ประมาณกลาง ๆ เครื่องเลย ซึ่งเป็นดีเทลเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่บอกตามตรงว่าตอนแรกไม่ได้สนใจ แต่พอได้มาใช้งานแล้วรู้สึกว่าสะดวกขึ้นกว่าเดิมมาก เพราะอยู่ในตำแหน่งที่พอดีถนัดมือ เข้ากับการใช้งานจริง อย่างเวลาเล่นโทรศัพท์มือเดียวก็สามารถกดล็อคหน้าจอ หรือเพิ่มลดเสียงได้แบบถนัดมือสุด ๆ คือเป็นปุ่มที่อยู่ถูกที่ ถูกทาง ถูกตำแหน่งเกิน

และสำหรับใครที่เวลาเลือกซื้อสินค้า ให้ความสำคัญกับปัจจัยการออกแบบผลิตภัณฑ์และดีไซน์ที่สวยงาม มีเอกลักษณ์ ยูนีค เก๋ ๆ เท่ ๆ ไม่อยากซ้ำกับใคร ในขณะเดียวกันยังคงสะดวกต่อการใช้งานด้วย เก็บ Nothing Phone 2 นี้ไว้เป็นตัวเลือกในใจได้เลยค่ะ

Glyph Interface แบบใหม่ ไฮไลท์ของ Nothing Phone 2

ลูกเล่นหลักที่อยากจะนำเสนอนั่นก็คือ Glyph Interface แบบใหม่แบบสับ บนด้านหลังเครื่อง ที่มีส่วนช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถลดการโต้ตอบบนหน้าจอ และเข้าถึงข้อมูลสำคัญ ได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น อย่างที่ได้เกริ่นไปในตอนต้นว่าเป็นการใช้โทรศัพท์โดยไม่ต้องใช้โทรศัพท์ หรือใช้ยังไงให้น้อยลงแต่ชีวิตมีประสิทธิภาพมากขึ้นได้ มันเป็นยังไง อยู่ในส่วนนี้ด้วยล่ะค่ะ

ในรุ่นแรกไฟหลังเครื่องจะแสดงผลเป็นเส้นเดียวต่อกัน แต่ใน Nothing Phone 2 ได้ปรับปรุง Glyph Interface ที่แสนจะเป็นเอกลักษณ์นี้เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ด้วยการเพิ่มจำนวนส่วน LED เพื่อให้สามารถปรับแต่ง แสดงผล และใช้งานได้ดียิ่งขึ้น ใส่ใจดีเทลมาก

เริ่มกันที่อย่างแรกคือ ไฟ Glyph LED ขีดขวาบนสุดจะมีแสงค้างไว้ หากมีการแจ้งเตือนที่สำคัญ ฟีเจอร์นี้ Nothing Phone ให้ผู้ใช้งานสามารถ Customize ได้ โดยเข้าไปตั้งค่าได้ว่าต้องการรับการแจ้งเตือนที่สำคัญจากแอปไหน เช่น หากเราตั้งค่าเป็น Gmail ไว้ เวลามีการแจ้งเตือนจากเมลล์ ขีดขวาบนหลังเครื่องก็จะมีแสงค้างไว้ให้จนกว่าจะเข้าไปดู 

ดังนั้นแปลว่าต่อให้เราจะกำลังโฟกัสกับการทำงานอื่น ๆ อยู่ และคว่ำหน้าจอโทรศัพท์ไว้ เราก็จะยังรับรู้ได้ในทันทีและทำให้เราไม่พลาดแจ้งเตือนที่สำคัญนั่นเอง 

เป็นการลดการใช้เวลาบนหน้าจอ ไม่ต้องมาคอยจดจ่อจับจ้องแจ้งเตือนโทรศัพท์ตลอดเวลา สามารถไปทำอย่างอื่นได้อย่างเต็มที่ และหากมีแจ้งเตือนที่สำคัญจริง ๆ เข้ามา เราก็ยังสามารถเห็นและรับรู้ได้ทันทีค่ะ

ซึ่งก็จะสัมพันธ์มาถึงอีกอย่างนึงที่ลองใช้แล้วชอบ คือ การจับเวลานับถอยหลัง โดยสามารถเข้าไปตั้งค่าใน Glyph Setting ได้ โดยจับเวลาได้นานสุด 60 นาที ซึ่งไฟหลังจอจะแสดงผลเหมือนหลอดพลังงานที่ค่อย ๆ ลดลงตามเวลาที่เราตั้งไว้นั่นเอง 

การจับเวลาคงไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร โทรศัพท์ทุกเครื่องก็ทำได้ใช่ไหมคะ แต่รูปแบบการแสดงผลที่แตกต่างออกไป กลับช่วยให้การทำบางสิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้นทั้ง ๆ ที่ใช้เวลาบนหน้าจอน้อยลง ใครยังนึกภาพไม่ออกว่ามันดียังไง ขอยกตัวอย่างจากประสบการณ์ผู้เขียนเองที่เป็นคนสมาธิสั้นนิดนึงค่ะ55555

อย่างเวลาผู้เขียนนั่งทำงาน จะตั้งเวลาไว้ 25 นาที แล้วจึงพัก 5 นาที(ตามหลัก Pomodoro ของดร.โอม ชูศิลป์) ซึ่งปกติแล้วก็จะใช้แอปนาฬิกาจับเวลาบนหน้าจอโทรศัพท์นี่ล่ะค่ะ แต่ปัญหาที่เจอคือ

  • บางครั้งต้องมาคอยกดดูว่าจะหมดเวลารึยัง
  • เผลอเห็นแจ้งเตือนบนหน้าจอแล้วเข้าไปตอบทันที จนเพลินเกินเวลา
  • ลืมว่าจับเวลาไว้อยู่ เพราะหน้าจอมืด ไม่เห็นเวลาถ้าไม่กดดู แล้วเผลอทำอย่างอื่น ทั้ง ๆ ที่ใน 25 นาทีนี้ต้องโฟกัสแค่งานเดียว

สรุปคืองานที่ทำอยู่ไม่เสร็จสักที แต่พอเปลี่ยนมาใช้ฟีเจอร์นี้บน Nothing Phone 2 เราโฟกัสกับงานที่ทำอยู่ได้มากขึ้น เพราะคว่ำหน้าจอ ไม่เห็นสิ่งรบกวนใด ๆ ไม่ต้องกดดูเวลา ไม่ต้องเสียสมาธิกับแจ้งเตือนหน้าจอ ในขณะที่ยังเห็นอยู่ว่าหลอดเวลาใกล้หมดรึยังโดยแค่ใช้หางตาเหลือบมองวิเดียวเท่านั้น และพอหมดเวลาไฟจะกะพริบถี่ ๆ ให้เรารู้ ไม่มีเสียงดังให้ตกใจ ต่อให้จับเวลานั่งทำงานอยู่คาเฟ่นอกบ้าน ก็ไม่ต้องกลัวว่าคนจะแตกตื่นกันทั้งร้านเลยค่า

และบางคนอาจสงสัยว่า ปรับที่นิสัยตัวเองดีกว่าไหมให้เป็นคนที่โฟกัสกับสิ่ง ๆ เดียวให้ได้ ใช่ค่ะจริง ๆ ปรับที่พฤติกรรมตัวเองคงจะดีที่สุด55555 แต่ในเมื่อบางครั้งมันยาก การมีเทคโนโลยีเป็นตัวช่วยแบบนี้ ก็ทำให้เราโฟกัสกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ในชีวิตจริงได้มากขึ้น ช่วยลดเวลาการใช้โทรศัพท์ลง แต่กลับยกระดับประสบการณ์การใช้ชีวิตประจำวันและการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้เลย

นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชันเพิ่มเติม เช่น ดีเทลเล็ก ๆ น้อย ๆ เวลาทุกคนกดเพิ่ม-ลดเสียง หรือเสียบชาร์จแบต ก็จะมีไฟหลังเครื่องแสดงผลให้เห็นแบบเก๋ ๆ เท่ ๆ สุด ๆ

ทั้งหมดทั้งมวลหลักการสำคัญของการออกแบบสมาร์ทโฟนของ Nothing คือ Glyph Interface ซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อส่งเสริมให้ผู้ใช้มีส่วนร่วมในชีวิตประจำวันมากขึ้น โดยลดการโต้ตอบบนหน้าจอให้น้อยลง เรียกได้ว่าเหมาะมาก ๆ สำหรับคนที่ต้องการเวลาให้ตัวเองมากขึ้น หรืออยากมีสมาธิจดจ่อกับงานที่ทำมากขึ้นนั่นเอง ที่สำคัญสามารถ Customize ให้เข้ากับการใช้งานและประสบการณ์ของแต่ละคนได้

Nothing OS 2.0 ออกแบบหน้าจอวิดเจ็ต

Nothing OS ที่ขับเคลื่อนด้วยความตั้งใจที่จะลดสิ่งรบกวนในการใช้สมาร์ทโฟนให้ได้มากที่สุด พร้อมมอบประสบการณ์ที่รวดเร็วและราบรื่นให้กับผู้ใช้งาน ในขณะที่ยังคงความสวยงามด้านการออกแบบของ Nothing ไว้

หน้าตา UI จึงมีความขาว-ดำคลีน ๆ ดูมินิมอลสะอาดตา Font เป็นแบบ Pixel Dot LED เก๋ ๆ ออกแบบหน้าจอหลักและหน้าจอล็อกใหม่ด้วยวิดเจ็ต เลือกได้ว่าจะเปิดหรือปิดป้ายกำกับชื่อแอป อย่างผู้เขียนเองใช้แบบปิด คือไม่เห็นชื่อแอป ก็จะคลีน ๆ สะอาดตา คุมโทนมินิมอลสุด แต่ใครอยากให้แต่ละแอปขึ้นชื่อ กลัวสับสน ก็สามารถเปิดได้ค่ะ

บางครั้งพอตั้งให้ไม่เห็นชื่อแอป แล้วด้วยหน้าตา UI ที่ทุกแอปดูเป็นสีขาวดำคุมโทนกันหมดแล้วบางทีก็ทำให้รู้สึกไม่ค่อยอยากกดเข้าแอปหรือเล่นโทรศัพท์ค่ะ55555 ถือว่า Nothing ทำสำเร็จในความตั้งใจที่อยากจะลดเวลาที่คนใช้หน้าจอลง

โดยการออกแบบเน้นที่การปรับแต่งตามการใช้งาน สามารถแต่งการออกแบบกริด ขนาดวิดเจ็ต และธีมสีได้ในแบบที่ตัวเองชอบ พร้อมมีภาพและภาพเคลื่อนไหวกว่า 500 รายการ ให้ได้นำมาปรับแต่งหน้าจอกัน ผู้เขียนเองก็ใช้ภาพดอกไม้ที่ Nothing Phone มีมาให้เลือกค่า สวยแบบอาร์ต ๆ มากเว่อ

ทุกคนสามารถออกแบบวิดเจ็ดหน้าจอของตัวเองได้เลย ไม่ว่าจะตั้งค่าทางลัดหรือใช้แอปไหนบ่อย ๆ ก็สามารถ Customize เอามาไว้ที่หน้าจอหรือหน้าจอล็อคได้ ทำให้เข้าถึงความต้องการใช้งานได้อย่างรวดเร็ว สะดวกมาก ๆ ลดความจำเป็นในการปลดล็อคหน้าจอ อย่างผู้เขียนเองเวลาไปงานข้างนอกบ่อย ๆ ก็ตั้งค่าให้กล้องกับการ Scan QR Code มาไว้ที่หน้าจอล็อคเลย สามารถเข้าถึงได้ทันที สะดวกรวดเร็วทันใจ ไม่พลาดทุกช็อตสำคัญ

อีกหนึ่งดีเทลเล็ก ๆ น่ารัก ๆ คือสามารถเพิ่มข้อความในหน้าจอล็อคได้ด้วย ซึ่งจะขึ้นให้เห็นด้านล่างสุด ใครอยากจะเขียนสร้างกำลังใจให้ตัวเองในแต่ละวัน เขียนประโยคที่ชอบ หรือเขียนเตือนอะไรไว้กันลืมก็ทำให้มองเห็นได้ทันทีโดยยังไม่ต้องปลดล็อคหน้าจอเลย

การใช้งานบนหน้าจอลื่นไหล ไม่มีสะดุด และสามารถสแกนลายนิ้วมือได้ ขึ้นเป็นแสงกลม ๆ บนหน้าจอ หรือจะสแกนใบหน้าทั้งแบบปกติและใส่แมสได้เช่นกัน

ทั้งนี้ด้วยความมุ่งมั่นที่จะมอบประสบการณ์การใช้งานที่รวดเร็วและราบรื่นยิ่งขึ้น จึงได้ทำการปรับซอฟต์แวร์ให้เหมาะสมมากขึ้น ซึ่งทำให้ความเร็วในการเปิดแอปบน Nothing Phone 2 เร็วขึ้นถึง 2 เท่าจากรุ่นแรกอีกด้วย

มาดูเรื่องกล้องกันบ้าง (รีวิวฉบับเด็กอ้วนและไปงานอีเวนท์บ่อย ๆ นะ)

Nothing Phone 2 มอบประสบการณ์กล้องสมาร์ทโฟนระดับพรีเมียมที่สุด ณ ตอนนี้ ด้วยกล้องหน้า 32MP และระบบกล้องหลังคู่ที่มีเซ็นเซอร์ 50MP ขั้นสูงสองตัว พร้อมเซ็นเซอร์หลักที่ได้รับการอัปเกรดเป็น Sony IMX890

มีความสามารถในการประมวลผลข้อมูลกล้องมากกว่ารุ่นแรกถึง 4,000 เท่า เพราะมาพร้อมกับตัวประมวลผลสัญญาณภาพ (ISP) 18 บิตขั้นสูง ส่งผลให้ทั้งภาพถ่ายและวิดีโอมีความแม่นยำมากขึ้น

และด้วยการบันทึกข้อมูลที่เพิ่มขึ้นสามเท่า ฟังก์ชัน HDR ขั้นสูงจะใช้เฟรม 8 เฟรม โดยมีระดับแสงที่แตกต่างกันภายในโดเมน RAW ของเซ็นเซอร์ ซึ่งช่วยให้สามารถรักษารายละเอียดที่ซับซ้อนไว้ได้มากมายในแต่ละเฟรม 

และ Motion Capture 2.0 ซึ่งเป็นเทคโนโลยี AI ขั้นสูง รับประกันการโฟกัสที่แม่นยำ เก็บรายละเอียดที่สำคัญไว้ได้ทั้งหมด ได้ประสบการณ์การใช้งานกล้องที่ดียิ่งขึ้นแน่นอน

ในส่วนของวิดีโอก็มีการยกระดับความสามารถในการบันทึกวิดีโอด้วยความละเอียด 4K ที่ 60fps ในกล้องหลัง ปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นด้วยโหมดแอ็คชั่น สามารถมั่นใจได้ว่าการถ่ายทำจะราบรื่นแน่นอนแม้อยู่ในขณะเดินทาง เพราะมี EIS (ระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบอิเล็กทรอนิกส์) และ OIS (ระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคอล) ในตัว ส่วนกล้องหน้าความละเอียด 1080P ที่ 60fps สามารถบันทึกภาพตัวเองได้อย่างดี

เป็นตัวอย่างภาพจากการใช้กล้องโทรศัพท์ Nothing Phone 2 ถ่ายค่ะ บอกเลยว่าคมชัด สีสวยธรรมชาติและสมจริงด้วยค่ะ พกไปถ่ายเกือบทุกงานเลย เพราะได้รูปที่มีคุณภาพสูงโดนใจ

ใช้คู่กับ Nothing Ear 2 ได้ง่าย ๆ 

ในแอป Nothing X สามารถใช้เชื่อมต่อกับ Nothing Ear 2 ได้ง่าย ๆ อีกด้วย แค่เข้าแอป เปิดฝาเคส กดปุ่มที่เคสหูฟังค้างไว้ ก็เชื่อมต่อพร้อมใช้งาน เสียงใสสมจริง การออกแบบก็มีเอกลักษณ์ แบบดีเทลโปร่งใส ทำให้ดูสวยงามพิถีพิถัน 

มีการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานที่ดียิ่งขึ้น เล่นเพลงได้ยาวนานถึง 36 ชั่วโมงเมื่อชาร์จกับเคส หลังจากชาร์จเพียง 10 นาทีก็สามารถใช้งานได้นานถึง 8 ชั่วโมง กันน้ำและเหงื่อ

โหมดตัดเสียงรบกวนก็มี มากถึง 40 เดซิเบล ปรับระดับได้ เช่น

  • ANC แบบส่วนบุคคล
  • ANC แบบปรับให้เข้ากับสภาพแวดล้อม
  • โหมดฟังเสียงภายนอก

เคสชาร์จวัสดุสามารถทนแรงดันที่แข็งแกร่ง ให้ความรู้สึกสัมผัสแบบพรีเมียม และยังมาในรูปแบบที่เล็กลง เบากว่าเดิม และทนทานยิ่งขึ้น สามารถชาร์จแบบไร้สายได้ เพียงแค่วางไว้บนหลังโทรศัพท์ 

และสามารถใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์อื่นได้ โดย Android 5.1 ขึ้นไป ส่วน IOS 11 ขึ้นไป ราคาอยู่ที่ 5,490 บาท

ดำเนินธุรกิจโดยให้ความสำคัญกับความยั่งยืน

Nothing Phone 2 สามารถลด CO2 ลงได้ 5 กก. ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องของ Nothing ที่มีต่อความยั่งยืนตลอดหลายปีที่ผ่านมา

  • กรอบตรงกลาง ปุ่ม และปลายถาดซิมทำจากอะลูมิเนียมรีไซเคิล 100%
  • 80% ของชิ้นส่วนพลาสติกทำจากวัสดุรีไซเคิลและวัสดุชีวภาพ
  • ดีบุกรีไซเคิล 100% ใช้กับแผงวงจร 9 แผ่น
  • ฟอยล์ทองแดงรีไซเคิล 100% ใช้สำหรับแผงวงจรหลัก
  • เหล็กรีไซเคิลกว่า 90% ใช้สำหรับชิ้นส่วนปั๊มเหล็กทั้งหมด 28 ชิ้น
  • ไม่มีของเสียจากกระบวนการประกอบ
  • พลังงานหมุนเวียน 100% ในโรงงานประกอบและโรงงานผลิตอะลูมิเนียมรีไซเคิล
  • ได้รับการรับรอง FSC MIX (The Forest Stewardship Council) บรรจุภัณฑ์ปลอดพลาสติกที่มีเส้นใยรีไซเคิลมากกว่า 60%

ราคาและการจัดจำหน่าย

Nothing Phone 2 มีให้เลือกทั้งสีขาวและสีเทาเข้ม

  • 12GB/256GB 24,990THB
  • 12GB/512GB 27,990THB

วางขายทั่วประเทศตั้งแต่วันเสาร์ที่ 22 กรกฎาคมที่ร้าน dotlife 

รายการข้อกำหนดและคุณลักษณะทั้งหมดสามารถตรวจสอบเพิ่มเติมได้ ที่นี่ และหากต้องการติดตามข้อมูลล่าสุดทั้งหมด โปรดติดตาม Nothing บน Instagram, TikTok และ Twitter

สรุป รีวิว Nothing Phone 2 เหมาะกับใคร ข้อดี-ข้อเสีย

ก็จบกันไปแล้วนะคะสำหรับ #การตลาดวันละชิ้น ในวันนี้ เปิดประเดิมด้วยการ รีวิว Nothing Phone 2 โทรศัพท์ที่ทำให้เทคโนโลยีเป็นเรื่องสนุกอีกครั้ง และยกระดับ Customer Experience ได้อย่างสวยงาม ถึงจะชื่อไม่มีอะไรเลย(Nothing) แต่จริง ๆ มีอะไรเยอะเลยนะเนี่ย

ถือได้ว่ามีความคุ้มค่าคุ้มราคา ส่วนตัวผู้เขียนเองแล้วมองว่าแบรนด์เจาะกลุ่มที่ค่อนข้างจะ Niche เหมาะกับคนที่ให้ความสำคัญกับการออกแบบผลิตภัณฑ์และดีไซน์ของสินค้าเป็นหลัก มองหาความมีเอกลักษณ์ ไม่ซ้ำใคร เป็นโทรศัพท์ที่มีความแฟชั่น+เทคโนโลยี ในขณะเดียวกันก็มีคุณภาพและสะดวกต่อการใช้งาน

ข้อดี

  • ดีไซน์มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สวย ไม่ซ้ำใคร
  • ความสวยงามและประโยชน์ของ Glyph Interface ที่ปรับให้เข้ากับการใช้งานเฉพาะบุคคลได้
  • ซอร์ฟแวร์ใช้งานลื่นไหล ไม่สะดุด
  • กล้องคมชัด ภาพคุณภาพดี สีมีความจริงธรรมชาติ
  • แบตค่อนข้างอึด ใช้งานได้นาน

ข้อเสีย/ข้อควรระวัง

  • Glyph Interface ไม่เหมาะกับผู้ที่เป็นโรคลมชักหรือภาวะอื่น ๆ ที่ไวต่อแสง
  • โหมดถ่ายภาพมีเป็นขั้นพื้นฐาน ยังไม่มีความหลากหลายมาก
  • การแสดงผลไฟ LED ตอนจับเวลานับถอยหลัง ต้องตั้งค่าใน Glyph Interface เท่านั้น ไม่สามารถเชื่อมกับแอปนาฬิกาในเครื่องได้

โดยรวมแล้วเรียกได้ว่า Nothing Phone 2 ค่อนข้างที่จะเข้ามาเปลี่ยนภาพจำการใช้สมาร์ทโฟนแบบเดิม ๆ และสามารถยกระดับ Customer Experience ให้ดีขึ้นได้ รับรู้ได้เลยว่าในทุก ๆ ดีเทลการออกแบบ มีตัวตนที่ชัดเจนขนาดไหน ที่สำคัญคือความใส่ใจในเป้าหมายที่อยากจะลดเวลาที่ทุกคนโต้ตอบบนหน้าจอกัน แล้วให้หันมาโฟกัสกับสิ่งสำคัญที่อยู่รอบตัว ซึ่งส่งผลให้เราสามารถทำหลาย ๆ สิ่งในชีวิตประจำวันให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้อีกด้วย

สำหรับบทความนี้อาจจะไม่ได้ลงลึกในเชิงเทคนิคหรือเทคโนโลยีมากนักนะคะ แต่อยากพาทุกคนมาดูในมุมมองของการออกแบบผลิตภัณฑ์ด้วยแนวคิดที่แตกต่างออกไปจากเดิม เพราะหลาย ๆ คนรวมถึงผู้เขียนเอง คงยังไม่เคยเจอกับแบรนด์โทรศัพท์ที่อยากให้คนใช้โทรศัพท์น้อยลง หวังว่าหลังจากอ่านบทความนี้จบทุกคนจะมีมุมมองใหม่ ๆ หรือได้ไอเดียไปต่อยอดกับธุรกิจตัวเองกันได้นะคะ แล้วเจอกันใหม่บทความหน้าค่า

และสามารถติดตามบทความด้านการตลาดเพิ่มเติมได้จากเพจการตลาดวันละตอน ที่ เว็บไซต์ Facebook Instagram TwitterYoutube และ Blockdit ได้เลยค่า

Fern Panassaya

เฟิร์น Junior Marketing Content Creator แห่งการตลาดวันละตอน รักแมวอ้วนและหมาโกลเด้น ตั้งใจสร้างสรรค์ทุกผลงาน ฝากเป็นกำลังใจและติดตามคอนเทนต์ใหม่ ๆ ต่อจากนี้ด้วยค่ะ <3

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *