พาเช็ค 5 สิ่งสำคัญสำหรับ การสร้าง Brand Storytelling
พาเช็ค 5 สิ่งสำคัญสำหรับ “การสร้าง Brand Storytelling”
ในปัจจุบันนี้ ทุกคนคงจะสังเกตเห็นได้ว่าแบรนด์ที่มีชื่อเสียงหลาย ๆ แบรนด์ ประสบความสำเร็จจากการบอกเล่าเรื่องราวของแบรนด์ตนเอง เพราะการเล่าเรื่องราวความเป็นมาของแบรนด์ ที่บ่งบอกถึงสไตล์ ตัวตน และสิ่งที่แบรนด์เชื่อมั่น ซึ่งจะช่วยดึงดูดลูกค้าที่สนใจใน “ความเป็นตัวตนของแบรนด์อย่างแท้จริง” เข้ามาค่ะ
และวันนี้เฟิร์นจะพาทุกคนมาดูองค์ประกอบสำคัญ 5 อย่าง ที่สำคัญกับ “การสร้าง Brand Storytelling” รวมถึงมีตัวอย่างแบรนด์ต่าง ๆ ที่ถ่ายทอดเรื่องราวของตัวเองออกมาได้เป็นอย่างดี มาให้อ่านเป็นกรณีศึกษากันด้วยค่า เพื่อช่วยให้ทุกคนเห็นภาพชัดขึ้นและนำไปปรับใช้กับธุรกิจตัวเองในการบอกเล่าเรื่องราวของแบรนด์ให้น่าสนใจมากยิ่งขึ้นได้ค่า
การสร้าง Brand Storytelling ด้วย 5 องค์ประกอบสำคัญ
การสร้าง Brand Storytelling คือ การเล่าเรื่องราวของแบรนด์ เพื่อกระตุ้นการตอบสนองทางอารมณ์ของคน ซึ่งนักการตลาดเชื่อว่าการทำให้แบรนด์เป็นเหมือนมนุษย์คนหนึ่ง จะนำไปสู่การสร้าง Brand Awareness การเติบโตของรายได้ และความภักดีของลูกค้าอีกด้วย
โดยเรื่องราวของแบรนด์ในที่นี้ก็คือ บริการทั้งหมดที่แบรนด์มอบให้ลูกค้า สิ่งที่แบรนด์ยึดถือและเชื่อมั่น รวมถึงการออกแบบ โลโก้ เว็บไซต์ หรือการมีส่วนร่วมกันทางโซเชียลมีเดีย
เชื่อว่าทุกคนคงอยากรู้กันแล้วว่า 5 องค์ประกอบสำคัญนี้มีอะไรบ้าง ไม่รอช้า ไปดูกันเลยค่า
1. Be authentic and consistent
สิ่งแรกที่ควรทำสำหรับการสร้าง Brand Storytelling คือ “การบอกเล่าเรื่องราวที่แท้จริง” บางคนอาจจะคิดว่าถ้าเราเล่าว่าแบรนด์เราประสบความสำเร็จตั้งแต่วันแรก คงเป็นเรื่องที่คนคงว้าวน่าสนใจ
แต่จริง ๆ แล้วถ้าคุณเคยล้มเหลวมาก่อนที่จะทำให้แบรนด์ประสบความสำเร็จได้อย่างทุกวันนี้ ก็อย่ากลัวที่จะบอกให้คนรู้เลยค่ะ เพราะการซื่อสัตย์จะช่วยให้คนสามารถเชื่อมโยงกับแบรนด์เราได้ดี หรือลองสร้าง วลีง่าย ๆ ที่ใส่ความจริงใจและแสดงถึงสิ่งที่แบรนด์เป็น ให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นในประโยคเดียว
ตัวอย่างแบรนด์ : TOMS
TOMS เป็นแบรนด์เสื้อผ้าที่มุ่งเน้นไปที่แนวคิดของ “การพัฒนาชีวิตให้ดีขึ้น” ดังนั้นเว็บไซต์ของ TOMS จะโชว์ให้เห็นถึง Brand Story อย่างชัดเจน ผ่านการใช้ภาษาและภาพในการสื่อสารเรื่องราวของแบรนด์
เมื่อผู้ชมเข้ามาในเว็บ จะได้เห็นว่าการซื้อ TOMS แต่ละครั้ง มีเป้าหมายอย่างไร เช่น “ในทุก 1 สินค้าที่คุณซื้อ TOMS จะช่วยเหลือคนที่ต้องการความช่วยเหลือ 1 คน”
หรือแถบ “What We Give” ที่จะแจ้งให้คนทราบเกี่ยวกับงานการกุศลที่ TOMS ทำ เช่น การช่วยจัดหารองเท้า การคลอดบุตรอย่างปลอดภัย เป็นต้น
ใครที่อยากนำไปเป็นแนวทางสำหรับการออกแบบหน้าเว็บไซต์ สามารถใช้ตัวอักษรขนาดใหญ่ ตัวหนา และคู่สีที่ตัดกัน มาเน้นที่พันธกิจหรือสิ่งที่แบรนด์ต้องการจะสื่อถึงตัวตน ก็จะช่วยให้ผู้ที่เข้ามาชม สามารถเข้าใจเว็บไซต์ของแบรนด์ได้อย่างชัดเจนเลยค่ะ
2. Know your audience
เรื่องราวของแบรนด์ที่ถูกถ่ายทอดออกไป จะมีประสิทธิภาพได้ก็ต่อเมื่อเราต้องรู้จักและเข้าใจคนที่เราจะเล่าให้ฟังก่อน ว่าลูกค้าของเราคือใครบ้าง มีรสนิยม ความชอบแบบไหน และเรากำลังพยายามแก้ปัญหาอะไรให้พวกเขาอยู่?
อาจจะเริ่มจากการทำวิจัยหรือเก็บ Data ข้อมูลการใช้งาน การมีส่วนร่วม ประวัติการซื้อต่าง ๆ ของลูกค้า มาวิเคราะห์และวางแผนต่อ เพราะถ้าเราเข้าใจกลุ่มเป้าหมายอย่างลึกซึ้ง ก็จะทำให้เรารู้แนวทางที่ชัดเจนว่าควรสื่อสารและเล่าเรื่องราวของแบรนด์ยังไงให้ออกมาตรงใจลูกค้ามากที่สุดค่ะ
ตัวอย่างแบรนด์ : Spotify
Spotify เป็นแพลตฟอร์มเพลงที่ใช้ Data มาช่วยปรับปรุงบริการและบอกเล่าเรื่องราวของแบรนด์
สโลแกนของ Spotify คือ “Music for every moment” จึงใช้ Data เพื่อช่วยให้เข้าใจว่าแบรนด์จะสามารถมอบเพลงให้กับผู้ฟังในทุกช่วงเวลาได้อย่างไร
ตัวอย่างฟีเจอร์นึงที่ Spotify ทำจากการฟัง พูดคุย และสื่อสารกับผู้ชมเป็นเวลาหลายชั่วโมงทุกวัน จนเจอ Insight สำคัญว่า สิ่งที่คนรุ่นมิลเลนเนียลต้องการ คือ เพลงและคอนเทนต์ที่เป็น Personalized จึงออกมาเป็น Personalized Playlists คือ “Playlists ที่แนะนำสำหรับคุณ”
และยังมีคอนเทนต์ต่าง ๆ อีกมากมายที่โชว์ความ Personalized ให้กับแต่ละคนค่ะ เช่น สิ้นปีจะมีฟีเจอร์สรุปว่าเราฟังเพลงไปมากน้อยแค่ไหน ฟังเพลงแนวไหนบ้าง ค้นพบศิลปินใหม่ ๆ กี่คน ซึ่งสามารถแชร์ไปอวดและคุยกับเพื่อนได้ด้วยค่า
จากตัวอย่างของ Spotify เราจะเห็นว่าการรู้จักลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะจากการวิจัย หรือเก็บ Data ด้วยวิธีต่าง ๆ จนสามารถช่วยให้แบรนด์นำเสนอบริการที่ตรงใจลูกค้าได้ ในขณะเดียวกันก็บอกเล่าเรื่องราวความเป็นตัวตนของแบรนด์ได้อย่างน่าประทับใจ
3. Communicate the problem you solve
อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้การบอกเล่าเรื่องราวของแบรนด์มีประสิทธิภาพ คือการสื่อสารถึงปัญหาในสังคมที่แบรนด์ต้องการเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยแก้ไข เช่น จริยธรรมในการผลิตเสื้อผ้า จะทำให้เรากลายเป็นแบรนด์ที่มีจุดยืนที่ชัดเจน
ตัวอย่างแบรนด์ : Girlfriend Collective
Girlfriend Collective แบรนด์ชุดออกกำลังกายที่ใช้มุมมองที่ยั่งยืนเพื่อทำการตลาดให้กับธุรกิจ
ผู้ก่อตั้ง Girlfriend Collective ตระหนักดีว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหาซื้อชุดกีฬาสำหรับผู้หญิง ที่ผลิตโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและถูกหลักจริยธรรม ในราคาที่ถูกหรือไม่เสียเงินสักบาท
ปัญหาที่แบรนด์อยากแก้ไขคือ การผลิตเสื้อผ้าที่ใส่ใจในจริยธรรม จึงนำเรื่องราวที่น่าสนใจนี้มาเล่าเรื่องราวผ่านเว็บไซต์ของแบรนด์
ในเรื่องของราคาที่ไม่แพงก็เป็นสิ่งที่ Girlfriend Collective ให้ความสำคัญ จึงมีแคมเปญ Facebook ที่เสนอเลกกิ้งฟรีให้ลูกค้าทุกรายที่ยินดีจ่ายค่าขนส่ง จากนั้นแคมเปญก็กลายเป็นส่วนสำคัญของการเล่าเรื่องและภาพลักษณ์ของแบรนด์
ตัวอย่างของ Girlfriend Collective นี้ถือเป็นการบอกเล่าเรื่องราวของแบรนด์ที่ดี ให้ลูกค้ารู้ว่าเราใส่ใจและต้องการแก้ไขปัญหาอะไรในสังคม มีจุดยืนที่ชัดเจน
4. Build your character
การสร้าง Character ให้กับแบรนด์ก็เป็นสิ่งสำคัญนะคะ เพราะการที่เราจะเล่าเรื่องราวของแบรนด์ ก็ควรใช้วิธีการสื่อสารที่สอดคล้องกับตัวตน บุคลิก และภาพลักษณ์ของแบรนด์
เช่น ถ้าทำงานให้กับบริษัทขนาดใหญ่ ภาษาอาจต้องออกแนวเป็นทางการ และมีอำนาจมากขึ้น เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ แต่ถ้าเป็นแบรนด์ใหม่ที่มีเป้าหมายเป็นกลุ่มมิลเลนเนียล อาจเลือกใช้ภาษาที่เข้าถึงง่าย มีอารมณ์ขัน เป็นต้น
ตัวอย่างแบรนด์ : Frank Body
Frank Body เป็นสครับขัดผิวสำหรับผู้หญิงโดยเฉพาะ ก่อตั้งขึ้นโดยเพื่อน ๆ 5 คน และเป็นแบรนด์ที่เลือกวิธีการสื่อสารได้เข้ากับบุคลิกของแบรนด์
โดย Frank Body ใช้ภาษาที่เป็นมิตร เรียบง่าย เข้าถึงได้ ตลกขบขัน และเข้าใจง่าย ทำให้ผู้อ่านรู้สึกเหมือนกำลังคุยกับเพื่อนสนิท และในหน้า About ของเว็บไซต์ ก็มีการเล่าถึงแนวคิดและเบื้องหลังของแบรนด์อีกด้วย
อีกตัวอย่างหนึ่งสามารถเห็นได้บนบรรจุภัณฑ์ของสครับ จะมีประโยคน่ารัก ๆ เช่น สินค้า Shimmer Scrub ผงสครับที่เมื่อใช้แล้วจะมีความแวววาวบนผิว รวมถึงวัสดุบรรจุภัณฑ์ก็เป็นสีชมพูอ่อนและเล่นแสง ทุกองค์ประกอบเหมือนกับดิสโก้บอล จึงออกแบบซองด้วยคำว่า “Follow the call of the disco ball” เป็นส่วนหนึ่งของการเล่าเรื่องที่บ่งบอกว่าแบรนด์นี้มีความสนุก และเข้าถึงง่าย
Frank Body ถือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการเล่าเรื่องราวเพื่อสื่อสารบุคลิกภาพของแบรนด์ได้อย่างชัดเจน และออกแบบองค์ประกอบของการสร้างแบรนด์ออกมาเข้ากันดีค่ะ
5. Connect with your community
การสร้างความรู้สึกเชื่อมโยงกับลูกค้าใน Community เช่น การโต้ตอบกับลูกค้าในโซเชียล รีโพสต์รูปภาพ การแท็กรีวิวจากลูกค้า หรือเพียงแค่กดถูกใจความคิดเห็น สิ่งเล็กน้อยเหล่านี้จะช่วยสร้างความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้ากับแบรนด์ได้ค่ะ
ตัวอย่างแบรนด์ : Everlane
Everlane เป็นร้านค้าเสื้อผ้าปลีกในซานฟรานซิสโก ที่มีแนวคิดที่ “ไม่มีอะไรต้องปิดบัง” ทุก ๆ การสื่อสารหรือกิจกรรมต่าง ๆ ที่เชื่อมโยงกับลูกค้า จะสามารถแสดงให้เห็นได้เลยว่าพร้อมเล่าเรื่องเกี่ยวกับแบรนด์ได้อย่างโปร่งใส ไม่มีอะไรต้องปิดบัง
เช่น จัดรายการถามตอบรายสัปดาห์ชื่อ “Transparency Tuesday” ใน Instagram และ Snapchat ที่มีผู้ติดตาม 639,000 คน ให้แฟน ๆ สามารถถามคำถามเกี่ยวกับแบรนด์ เรื่องราว ผลิตภัณฑ์ หรือเรื่องการทำงานของพวกเขาได้อย่างเต็มที่ จากนั้นสมาชิกของทีม Everlane จะตอบคำถามในลักษณะที่ให้ลูกค้ารู้สึกมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับแบรนด์
ในฐานะธุรกิจขนาดเล็กอาจจะมีงบประมาณด้านการตลาดไม่มากนัก แต่จริง ๆ แล้วบางครั้งงบน้อยก็สามารถสร้างสรรค์สิ่งที่ Impact และเชื่อมโยงลูกค้าเข้ากับเรื่องราวของแบรนด์ได้นะคะ
สรุป
เป็นยังไงกันบ้างคะทุกคน อ่านมาถึงตรงนี้คงได้เห็นถึง 5 องค์ประกอบสำคัญของ “การสร้าง Brand Storytelling” กันแล้วนะคะ ว่ามีความสำคัญกับการทำธุรกิจยังไง รวมไปถึงอาจจะได้ไอเดียในการออกแบบหน้าเว็บไซต์ ผลิตภัณฑ์ รวมไปถึงองค์ประกอบอื่น ๆ ของแบรนด์ ให้สามารถเล่าเรื่องราวและถ่ายทอดความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแบรนด์ออกมาได้
ทุกคนสามารถนำไปเป็นแนวทางในการปรับใช้กับธุรกิจตัวเองในการบอกเล่าเรื่องราวของแบรนด์ให้น่าสนใจมากยิ่งขึ้นกันได้ค่า หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับทุก ๆ คนไม่มากก็น้อยนะคะ❤️
และสามารถติดตามบทความด้านการตลาดเพิ่มเติมได้จากเพจการตลาดวันละตอน ที่ เว็บไซต์ Facebook Instagram Twitter Youtube และ Blockdit ได้เลยค่า
