3 บทเรียน Netflix กับการใช้ Big Data สร้างเป็นซีรีส์ดัง House of Cards
House of Cards หนึ่งในซีรีส์ยอดนิยมของคนอเมริกันที่บางคนดูรวดเดียว 3 วันจบซีซันนั้นมาจากการที่ Netflix ใช้ Big Data ที่ผ่านการทำ Analytics มาอย่างดีจนถอดออกมาเป็น Insight คนดูที่แท้จริงที่นำไปสู่การลงทุนสร้างกว่า 100 ล้านดอลลาร์และกลายเป็นภาพยนต์ซีรีส์ดังที่โดนใจมหาชน วันนี้ผมจะมาเล่าให้คุณฟังว่า Netflix ใช้ Data-Driven Content อย่างไร และเราได้เรียนรู้เรื่อง Big Data แบบไหนบ้างจากซีรีส์เรื่องนี้ครับ
1. การลงทุนจะไม่เสี่ยงถ้าคุณใช้ Big Data เหมือนที่ Netflix ทำ
บางคนอาจไม่รู้ว่าภาพยนต์ดังหรือซีรีส์ยอดนิยมในวันนี้นั้นมีการใช้ Big Data ที่ผ่านการทำ Data Analytics มากมาย อย่างซีรีส์ House of Cards ก็เหมือนกัน เพราะอย่างที่เราพอรู้กันว่า Netflix เป็นบริษัทที่ใช้ Data-Driven Business อย่างมาก เพราะบริษัทนี้ใช้ Data มหาศาลที่เกิดขึ้นจากลูกค้าหรือผู้ใช้งานมาปรับปรุงสินค้าและบริการให้มีประสิทธิภาพและถูกใจลูกค้ามากขึ้นทุกวัน ซึ่งเป้าหมายของ Netflix นั้นก็เรียบง่าย คือจะเอาคอนเทนต์หรือหนังภาพยนต์ซีรีส์ที่ถูกใจคุณมากที่สุดมาให้คุณได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำที่สุดได้อย่างไร
ในปี 2011 Netflix ทุ่มทุนครั้งใหญ่กว่า 100 ล้านเหรียญยิ่งกว่าบริษัทช่องทีวีไหนจะกล้าลงทุนกับการสร้างหนังซีรีส์เรื่อง House of Cards ที่กำกับโดย David Fincher และแสดงนำโดย Kevin Spacey สื่อภายนอกประโคมข่าวว่านี่คือการเสี่ยงครั้งใหญ่ที่สุดของวงการทีวีหรือผู้ผลิตรายการทีวีที่ไม่ใช่ภาพยนต์ฟอร์มยักษ์สำหรับฉายในโรงหนัง
และทาง Jonathan Friedland ที่เป็น CEO ของ Netflix เองก็ออกมาให้สัมภาษณ์อย่างมั่นใจว่า ที่เขากล้าทุ่มเงินลงทุนในการผลิตซีรีส์เรื่องเดียวเป็นเงินกว่า 100 ล้านเหรียญเป็นเพราะเขารู้จักลูกค้าของตัวเองเป็นอย่างดีว่าผู้ชมชอบดูอะไร ซึ่งนั่นก็คือหนังภาพยนต์ซีรีส์เรื่องใหม่ House of Cards ที่มั่นใจมากๆ ว่านี่คือสิ่งที่ลูกค้าของ Netflix ส่วนใหญ่จะต้องชอบซีรีส์เรื่องนี้อย่างแน่นอน
เพราะก่อนที่ Netflix จะตัดสินใจทุ่มเงินในการสร้างซีรีส์เรื่องเดียวกว่า 100 ล้านเหรียญได้ มีการวิเคราะห์ข้อมูลหรือทำ Data analytics อย่างหนักหน่วงว่าตกลงหนังแบบไหนกันแน่ที่คนส่วนใหญ่ชอบดูแต่ยังไม่มีในตลาด ที่จะทำให้การทุ่มลงทุนสร้างหนังเรื่องนี้ขึ้นมากลายเป็นข้อได้เปรียบของ Netflix ที่ค่ายหนังอื่นหรือช่องทีวีอื่นไม่มีคอนเทนต์แบบนี้แน่นอน
- ลูกค้า Netflix ในอเมริกาจำนวนมากชอบซีรีส์เรื่อง House of Cards เวอร์ชั่นอังกฤษมากในตอนนั้น
- ภาพยนต์เรื่อง The Social Network ที่กำกับโดย David Fincher ก็มีกลุ่มผู้ชมที่ชื่นชอบเป็นจำนวนมาก
- กลุ่มคนที่ชอบดู House of Cards เวอร์ชั่นอังกฤษส่วนใหญ่ชอบดูหนังที่ Kevin Spacey แสดงนำ หรือไม่ก็ชอบดูภาพยนต์ที่ David Fincher กำกับควบคู่กัน
เห็นไหมครับความลงตัวของ 3 Insight สำคัญที่ได้จาก Data analytics ที่นำมาสู่การทุ่มลงทุนกว่า 100 ล้านดอลลาร์ในการสร้าง House of Cards เวอร์ชั่นอเมริกาที่แสดงนำโดย Kevin Spacy และกำกับโดย David Fincher แล้วผลลัพธ์ที่ได้ก็ดังเป็นพลุแตกจน Netflix ได้สมาชิกใหม่มากมายจากกระแสความดังพูดกันปากต่อปากของซีรีส์เรื่องนี้จนทำให้ไม่ต้องใช้งบการตลาดในการทำโฆษณาโปรโมตให้คนรู้จักแต่อย่างไร
เพราะเมื่อ Algorithm เบื้องหลังสามารถแนะนำหนังที่คุณน่าจะชอบบน Netflix ให้อย่างแม่นยำได้ กลายเป็นว่าแค่เอาคอนเทนต์ที่ใช่ไปขึ้นให้กับคนที่ชอบได้เห็น เพียงเท่านี้ก็ปังจนไม่รู้จะปังกว่านี้ได้อย่างไรครับ
2. Big Data คือสุดยอดอาวุธของทุกธุรกิจในยุค 5.0
ใน Season 4 ของ House of Cards ตัวละครที่ชื่อ Frank Underwood ที่เป็นผู้นำในการต่อสู้ Will Conway ผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกัน ทั้งสองคนมีเป้าหมายร่วมกันสองอย่าง
- อย่างเป็นประธานาธิบดีคนถัดไป
- และใช้ Big Data เพื่อจะเอาชนะการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น
ทีมของ Conway เลือกใช้ Data จาก Search engine ยอดนิยมในซีรีส์ที่มีชื่อว่า Pollyhop (เปรียบได้กับ Google ในชีวิตจริง) ในการเก็บข้อมูลออกมาวิเคราะห์และทำความเข้าใจว่าประชาชนหรือคนที่มีสิทธิ์มีเสียงในการเลือกตั้งครั้งถัดไปนั้นกำลังสนใจอะไร มีพฤติกรรมอย่างไร ชอบหรือไม่ชอบอะไร และแบ่งออกได้เป็นกี่กลุ่ม
จากนั้นทีมของ Comway ก็จะทำแคมเปญการตลาดหรือแคมเปญการสื่อสารออกไปยังคนแต่ละกลุ่มพฤติกรรมที่แตกต่างกัน ด้วยการเปลี่ยนผลลัพธ์การค้นหาใน Pollyhop (search engine ยอดนิยมในเรื่อง) ให้คนอ่านได้เห็นลิงก์เนื้อหาที่จะเปลี่ยนใจให้หันมาสนับสนุน Comway เพื่อเพิ่มโอกาสโหวตให้ชนะในการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น
ส่วน Frank Underwood เองก็เลือกที่จะตอบโต้ด้วย Big Data เช่นกันเพราะเมื่อ Aidan MacAllan ทีมงานของ Frank Underwood ที่เป็น Data Scientist ก็ไปค้นพบว่ทาง Conway เลือกแทรกแซงการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นผ่านการปรับเปลี่ยนผลลัพธ์การค้นหาของ
จากทั้งของเคสนี้จะเห็นว่า Big Data นั้นทรงพลังมากและเช่นเดียวกันก็เป็นเครื่องมือที่อันตรายมาก เพราะ Data ทำให้เรารู้ Insight สำคัญว่ากลุ่มเป้าหมายอย่างผู้มีสิทธิ์มีเสียงในการเลือกตั้งนั้นต้องการอะไรกันแน่ แล้วเมื่อเรารู้ว่าผู้คนต้องการอะไร เราก็สามารถที่จะโน้มน้าวให้เขาทำตามที่เราต้องการได้ไม่ยาก หรือแม้แต่ละล้างสมองด้วยเนื้อหาข่าวสารที่ถูกปั้นแต่งขึ้นมาก็เป็นได้
Big Data และการทำ Data Analytics ก็เป็นเสมือนเครื่องมือมหัศจรรย์ที่ทำให้เราเข้าถึง Deep Insight ของมนุษย์จริงๆ ในแบบที่วิธีการทำ Research แบบเดิมไม่สามารถให้ได้ แต่เครื่องมือก็เป็นแค่เครื่องมือ จะเกิดคุณหรือโทษก็ล้วนขึ้นอยู่กับเจตนาของผู้ใช้เครื่องมือทั้งนั้นครับ
3. Big Data จะมีค่าก็ต่อเมื่อมันตอบคำถามได้ในเวลาที่มี
ในซีซัน 4 ของซีรีส์ House of Cards จะมีการโชว์ให้เห็นความอัศจรรย์ของการใช้ Big Data ในแง่มุมต่างๆ แต่สิ่งสำคัญกว่าจากความมหัศจรรย์ที่ได้จากการวิเคราะห์ดาต้า ก็คือการที่ว่าเราสามารถได้คำตอบที่ต้องการในเวลาที่มีหรือเปล่า
ในตอนหนึ่งของซีรีส์นี้ที่เป็นตอนที่มีกลุ่มผู้ก่อการร้ายชื่อ ICO ที่จับตัวพลเมืองชาวอเมริกา 3 คนไปเป็นตัวประกันเพื่อต้องการต่อรองกับทางรัฐบาลสหรัฐอเมริกา
หลังจากกลุ่มผู้ก่อการร้าย ICO โทรเข้ามาทางทีมงานที่เกี่ยวข้องก็สามารถวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้นได้ว่ากลุ่มผู้ก่อการร้ายและตัวประกันอยู่ในสหรัฐอเมริกาแน่นอน แต่ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหนในประเทศกันแน่ ทีมงานทุกคนพยายามหาทางคลี่คลายสถานการณ์ดังกล่าวแข่งกับเวลาที่มีอยู่อย่างจำกัด ทาง Aidan MacAllan ที่เป็น Data Scientist อัจฉริยะของทางการก็เข้ามาช่วยแก้ปัญหานี้ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลของเสาสัญญาณโทรศัพท์ที่โทรเข้ามา เพื่อจะหาว่าตำแหน่งของเครื่องที่ใช้โทรเข้ามาต้นทางนั้นอยู่ตรงไหนกันแน่
แต่ด้วยปริมาณ Data ที่มีมากมายมหาศาลสวนทางกับเวลาที่มีอยู่อย่างจำกัด ทำให้ยากที่ Aidan MacAllen จะสามารถหาตำแหน่งของผู้ก่อการร้ายที่โทรเข้ามาได้ทันเวลา
ทางทีมงานคนอื่นๆ เลยได้รับมอบหมายให้ช่วยถ่วงหรือยื้อเวลากับผู้ก่อการร้ายไว้นานขึ้นอีกนิดเพื่อที่ Data Scientist คนนี้จะสามารถถอดรหัสจาก Data ได้ว่าตกลงแล้วผู้ก่อการร้ายที่โทรเข้ามานั้นอยู่ตรงไหนกันแน่ แต่เมื่อวิเคราะห์ข้อมูลจนค้นพบตำแหน่งของผู้ก่อการร้ายที่โทรเข้ามา แต่เมื่อทีม FBI บุกเข้าไปก็พบว่าสายเกินไปเสียแล้ว
จะเห็นว่า
การทำ Data Analytics ต้องวิเคระห์จากทรัพยากรกรที่มีนั่นก็คือประกอบด้วย คน เครื่องมือ และเวลา ถ้าเราไม่มีคนมากพอก็ต้องมีเวลานานพอ ถ้าเรามีเวลาน้อยไปก็ต้องไปเพิ่มเรื่องคนหรือเครื่องมือตัวช่วยเข้ามาแทนครับ
สรุป Data-Driven Content จาก Case study ของ Netflix ในการใช้ Big Data แล้วสร้างออกมาเป็นซีรีส์ House of Cards
จากความสำเร็จของหนังซีรีส์ House of Cards ก็จะทำให้เห็นว่าการลงทุนครั้งใหญ่กว่า 100 ล้านดอลลาร์ในแบบที่ไม่เคยมีช่องทีวีใดในอเมริกาเคยทำมาก่อนนั้นคนนอกล้วนมองว่าเสี่ยง แต่กับคนใน Netflix เองกลับไม่รู้สึกว่าเสี่ยง แต่เป็นการลงทุนครั้งใหญ่ที่ปลอดภัยและสมเหตุสมผลสุดๆ และด้วยการดำเนินการตัดสินใจลงทุนสร้างซีรีส์เรื่อง House of Cards ในเวลาที่เหมาะสม คือทำ Data Analytics แล้วเจอ Insight แล้วรีบหยิบเอามาใช้ทำงานในทันที ก็ทำให้ Netflix เกิดข้อได้เปรียบในการแข่งขันมหาศาลจนทำให้บรรดาบริษัทที่ใช้ Instinct หรือสัญญชาติญาณของผู้บริหารไม่สามารถแข่งขันได้อีกต่อไป
ทั้งหมดนี้จะเห็นว่า Big Data นำพามาซึ่ง Insight ที่แท้จริงที่จะนำมาสู่โอกาสใหม่ๆ เกินกว่ามนุษย์จะคิดค้นได้เพราะด้วยความจำกัดในการอ่านและวิเคราะห์ข้อมูลที่มีปริมาณมหาศาล ที่เคยพูดกันว่า Data is the new oil นั้นอาจจะเก่าเกินไป ในวันนี้ต้องพูดว่า Data is the new weapon หรือกลายเป็นอาวุธสำคัญของการทำธุรกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สุดท้ายนี้ผมอยากจะบอกว่า Big Data ก็เป็นแค่เครื่องมือชนิดหนึ่ง เพียงแต่มันช่างทรงประสิทธิภาพมากๆ แต่ Data จะก่อให้เกิดผลดีหรือร้ายก็ขึ้นอยู่กับเจตนาหรือวัตถุประสงค์ของผู้ใช้ว่าตั้งใจจะใช้มันเพื่อทำให้โลกใบนี้ดีขึ้นหรือตั้งใจจะทำเพื่อให้สังคมแย่ลงเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองครับ
และผมอยากจะถามว่าทิ้งท้ายว่า…วันนี้คุณเติม Data ให้ Netflix หรือยัง ถ้ายังก็ลองมาเปิด House of Cards Season 4 ดูไปพร้อมกันครับ
คลิปวิดีโออธิบายการทำ Big Data Analytics ของ Netflix จนกลายมาเป็นซีรีส์ดัง House of Cards
Source: https://bigwisdom.net/blog/2016/03/13/4-big-data-lessons-from-house-of-cards/