Puppo แบรนด์อาหารสุนัขทำ Personalized Advertising ด้วยโปสเตอร์กว่า 100,729 ชิ้นเพื่อสุนัขทุกตัวในนิวยอร์ก
การตลาดแบบ Personalization ไม่ได้จำกัดอยู่กับแค่คน แต่ยังสามารถเอาไปใช้กับ Pet สัตว์เลี้ยงอย่างสุนัขก็ยังได้ผลดีไม่แพ้กันครับ เหมือนที่ Puppo แบรนด์อาหารสุนัขแบบสมัครสมาชิกที่มีจุดขายคือพวกเขาทำอาหารสุนัขแบบ Personalized Pet Food เพราะพวกเขาเข้าใจว่าสุนัขแต่ละตัวต้องการอาหารที่แตกต่างกัน พวกเขาเลยทำ Personalized Advertising ผ่าน Poster ออกมากว่า 100,729 ชิ้นเพื่อสุนัขทุกตัวในเมืองนิวยอร์กครับ
Puppo แบรนด์อาหารสุนัขที่ใช้โมเดลธุรกิจแบบ Subscription หรือสมัครสมาชิกจ่ายแบบรายเดือนเพื่อรับอาหารที่ถูกทำมาเพื่อสุนัขของตัวเองเท่านั้น นั่นก็เพราะว่าสุนัขแต่ละตัวแม้จะเป็นสายพันธุ์เดียวกัน แม้จะมีอายุเท่ากัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าแต่ละตัวจะเหมาะกับอาหารแบบเดียวกันครับ
ทางแบรนด์ Puppo เลยต้องหาทางว่าในเมื่อจุดขายของเราคือการทำอาหารเพื่อสุนัขแต่ละตัวแบบ Personalized Food อยู่แล้ว แล้วทำไมเราถึงไม่ทำการตลาดแบบ Personalization ออกมาเพื่อตอกย้ำจุดยืนของแบรนด์ที่คู่แข่งไม่มีล่ะ
และนั่นก็เลยเป็นที่มาของแคมเปญ Every Dog Has its Ad ที่เป็นการทำโปสเตอร์โฆษณาอาหารสุนัข Puppo กว่า 100,729 ชิ้น ที่ตั้งใจทำมาเพื่อสุนัขทุกตัวในเมืองนิวยอร์กเลยจริงๆ ผลที่ได้คือได้รับความสนใจจากบรรดาเจ้าของสุนัขมากมายที่บังเอิญพาสุนัขไปเดินเล่นแถวบ้านต้องเซอร์ไพรซ์เมื่อพบว่า “เดี๋ยวนะ เจ้าโปสเตอร์อาหารสุนัขชิ้นนี้มีชื่อสุนัขของชั้น แถมยังมี QR Code ที่มีหน้าตาแบบสุนัขชั้น แถมยังบอกถูกอีกด้วยว่าสุนัขตัวนี้ของชั้นเป็นสายพันธุ์อะไร
แต่เบื้องหลังความเรียบง่ายของโปสเตอร์แบบ Personalized Poster ชิ้นนี้นั้นไม่ได้ง่ายขนาดนั้นครับ เพราะการทำ Personalization ต้องเริ่มจากการมี Data set หรือชุดข้อมูลที่มีคุณภาพมากพอแล้วก็ต้องทำให้พร้อมใช้งาน จากนั้นก็ต้องมีระบบในการสร้างชิ้นงานแบบ Automation หรืออัตโนมัติตามมาครับ
แคมเปญการตลาด Every Dog Has its Ad หรือสุนัขทุกตัวมีโฆษณาของตัวเอง เริ่มจากการเข้าไปขอข้อมูลจากองค์กรที่มีข้อมูลสุนัขแทบทุกตัวในเมืองนิวยอร์กก่อน ซึ่ง Data set ชุดนนี้เมื่อเอามาเตรียมให้พร้อมใช้งานก็ต้องใช้เวลาประมาณหนึ่ง เพราะจากข้อมูลที่กระจัดกระจายต้องถูกเอามาจัดเรียงให้พร้อมใช้ ซึ่งข้อมูลที่แคมเปญการตลาดนี้ต้องการใช้ก็ประกอบด้วย ชื่อ อายุ สายพันธุ์ เขตที่อยู่ และรหัสไปรษณีย์
เมื่อ Data set หรือชุดข้อมูลถูกจัดเตรียมให้พร้อมใช้แล้ว ก็ถึงเวลาเอามาทำเป็นชิ้นงาน ซึ่งขั้นตอนการทำชิ้นงานแบบเดิมก็หนีไม่พ้นต้องพึ่ง Art Directro และ Copy Writer ใช่มั้ยครับ จากนั้นทีมครีเอทีฟคู่นี้ก็ต้องทำงานคู่กันไปทีละชิ้นๆ ซึ่งลองคิดดูซิครับว่าถ้าต้องทำโปสเตอร์โฆษณาให้ครบ 100,729 ชิ้นตามความตั้งใจของแคมเปญนี้จะต้องใช้เวลามากมายมหาศาลขนาดไหน
ดังนั้นนี่เลยถึงเวลาของการเอาระบบ Marketing Automation เข้ามาช่วยงานครับ การออกแบบโปสเตอร์แต่ละชิ้นสำหรับสุนัขแต่ละตัวจะถูกออกแบบโดยใช้ Algorithm ว่าชิ้นนี้จะต้องเขียนชื่อสุนัขตัวไหน สายพันธุ์อะไร รวมถึง Benefit อะไรที่สุนัขของคุณจะได้จากการเป็นสมาชิกรับอาหารสุนัขรายเดือนจาก Puppo ครับ
เมื่อ Algorithm พร้อมก็ถึงเวลา Generated ออกมาเป็นโปสเตอร์ให้กับสุนัขทั้งนิวยอร์กกว่า 100,729 ชิ้น ทีนี้คำถามสำคัญคือแล้วจะเอาโปสเตอร์นี้ไปติดที่ไหน หรือจะทำอย่างไรให้กลุ่มเป้าหมายที่เป็นเจ้าของสุนัขแต่ละตัวเห็น
เราลองกลับมาดูที่ Data set ของสุนัขในเมืองนิวยอร์กอีกครั้งครับ จะเห็นว่าข้อมูลของสุนัขแต่ละตัวที่เตรียมไว้แต่ยังไม่ได้เอามาใช้คือ เขตที่อยู่และรหัสไปรษณีย์ ดังนั้นโปสเตอร์ก็จะถูกติดไว้ตามเขตที่สุนัขตัวนั้นถูกรับไปเลี้ยงนั่นเอง แล้วไม่เท่านั้นกับสื่อที่เป็น Digital Out of home ก็ยังมีการเลือกโปสเตอร์ชิ้นมาที่ตรงกับเขตที่อยู่ตามไปด้วย ดังนั้นมั่นใจได้ว่าถ้าสุนัขตัวนี้ถูกรับไปเลี้ยงที่เขตหนึ่ง จะไม่มาทางที่โปสเตอร์ของสุนัขตัวนั้นจะไปโผล่อยู่ที่เขตสอง สาม หรือสี่แน่นแนครับ
กับสื่อดิจิทัลก็เช่นเดียวกัน เพราะสื่อดิจิทัลไม่ว่าจะเป็น Facebook Ads หรือ GDN หรือ Ad Network ต่างๆ ก็สามารถเลือก Geo-location หรือพื้นที่ๆ จะให้โฆษณาชิ้นนั้นโผล่แบบเฉพาะเจาะจงได้จริงๆ เรียกได้ว่าถ้าอยากให้โผล่แค่สี่แยกไฟแดงนี้เท่านั้นก็สามารถทำได้ไม่ยาก แต่แค่อาจจะต้องค่อยๆ ทำทีละจุดไปจนครบเท่านั้นเอง
และทั้งหมดนี้ก็ทำให้แคมเปญการตลาด Every dog has its ad เป็นแคมเปญการตลาดแบบ Personalization ที่ครบถ้วนสมบูรณ์แบบที่แท้จริง ตั้งแต่การออกแบบโปสเตอร์แบบ Personalized advertising ไปจนถึงการเอา Algorithm มาช่วยในการผลิตชิ้นงานให้ Scaleable ได้จริง แล้วก็ใช้ระบบ Automoation มาช่วยในการทำชิ้นงานทั้งแสนกว่าชิ้นขึ้นมา แล้วก็ลงสื่อโฆษณาตามพื้นที่ของสุนัขแต่ละตัวจริงๆ ซึ่งผลลัพธ์จากการทำแคมเปญการตลาดนี้ก็เป็นที่น่าพอใจกับทาง Puppo ที่ลงทุนไป
เพราะเมื่อเจ้าของสุนัขได้เห็นโปสเตอร์ดังกล่าวก็ทำให้พวกเขาหยิบมือถือสแกน QR Code ตรงเข้าไปที่เว็บไซต์ จากนั้นก็กด Subscribe เป็นลูกค้าเพื่อรับอาหารสุนัขแบบ Personalized Pet Food ที่มีหน้าซองเป็นรูปสุนัขตัวเองทันที ซึ่งภายในสัปดาห์แรกอัตราการเข้าเว็บไซต์จาก New User เพิ่มขึ้นกว่า 68% มีถึง 28% ที่มาจากการสแกน QR Code บนโปสเตอร์ และก็ยังมีคนเสิร์จหา Puppo เพิ่มขึ้นกว่า 144% เห็นมั้ยครับว่าการทำ Personalization ทำให้คนสนใจในแบรนด์เราแม้จะยังไม่เคยมีความสนใจที่จะหาซื้อมาก่อนด้วยซ้ำ
เพราะจากรายงานพบว่าการทำการตลาดแบบ Personalization จะทำให้คนที่แม้จะไม่เคยคิดว่าอยากจะซื้อหรืออยากได้ของเรามาก่อนเกิดความสนใจจนกลายเป็นอยากซื้อขึ้นมาได้ หรือถ้าให้สรุปง่ายๆ ก็คือแค่ Personalization ก็ทำให้อยากได้ขึ้นมาแล้ว
แล้วยิ่ง Puppo ผลิตสินค้าที่เป็นอาหารสุนัขแบบ Personalization ตามสายพันธุ์และอายุของสุนัขแต่ละตัวอยู่แล้ว ยิ่งทำการตลาดแบบ Personalization ก็ยิ่งทำให้กลุ่มเป้าหมายสนใจและเข้าใจถึง Brand Value ได้อย่างชัดเจนครับ
อ่านบทความการตลาดแบบ Personalization ต่อ > https://www.everydaymarketing.co/tag/personalization/
Source:
https://www.colensobbdo.co.nz/portfolio/work-every-dog-has-its-ad/
https://www.milkmoney.com/puppo-case-study