10 Digital Marketing Trends 2022 จาก Forbes

10 Digital Marketing Trends 2022 จาก Forbes

รวม 10 Digital Marketing Trends ของปี 2022 ที่นักการตลาดออนไลน์ต้องรู้ โดยเฉพาะคนที่เป็นหัวหน้าหรือผู้บริหาร จะได้กำหนด Marketing Strategy ได้แม่นยำในปีหน้าที่กำลังจะมาครับ

1. Email Personalization อีเมลที่แสนรู้ใจลูกค้า

ในต่างประเทศให้ความสำคัญกับการตลาดผ่านอีเมลมาก ผิดกับในบ้านเราที่ดูเหมือนการทำ Email Marketing จะไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไหร่ ส่วนหนึ่งเมื่อมองย้อนกลับไปอาจเป็นเพราะเดิมทีคนไทยส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้ Email เป็นช่องทางหลักในการติดต่อ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนที่เป็นหนุ่มสาวออฟฟิศ ที่คุ้นเคยกับการใช้อีเมลในชีวิตประจำวันย่อมมีประสิทธิภาพมากกว่าในระดับแมส

ประเด็นสำคัญถัดมาคือไม่ใช่แค่การทำ Email Marketing ธรรมดา แต่ต้องเป็นอีเมลที่แสนรู้ใจแบบ Personalization

ดังนั้นต่อไปนี้ก่อนจะส่งอีเมลหาลูกค้าคนไหน ต้องทำให้มั่นใจว่าเราปรับแต่งทั้งเนื้อหาและประสบการณ์ข้างในให้ดีที่สุดสำหรับลูกค้าแต่ละคนแล้วจริงๆ

ส่วนตัวผมเช็คอีเมลเป็นประจำทั้งเช้าและเย็น และก็ได้รู้จักบริการใหม่ๆ จากแบรนด์ที่คุ้นเคยอยู่ไว้ผ่านอีเมลเสมอ

ตัวอย่างเช่นผมเป็นสมาชิก SCB Prime ก็จะมีอีเมลประเภทแจ้งโปรโมชั่นพิเศษของแต่ละเดือน หลายโปรโมชั่นก็เป็นอะไรที่โดนใจ แน่นอนว่าผมก็รู้สึกประทับใจที่ได้เปิดอีเมลนี้ ผิดกับหลายๆ แบรนด์ที่ยังคงทำการตลาดแบบ Mass Marketing หว่านไปเรื่อยโดยไม่เคยดูจาก Data เลยว่าที่ผ่านมาผมเคยทำซื้อหรือใช้บริการอะไรกับแบรนด์ไว้บ้าง

ดังนั้นที่ผิดไม่ใช่ช่องทางอีเมล แต่เป็นการทำการตลาดผ่านอีเมลแบบไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจบริบทและตัวลูกค้าให้ดีว่าส่งอีเมลแบบไหนออกไปถึงจะประทับใจเพิ่ม Customer Lifertime Value ให้มากกว่าเดิม

2. Pay for Membership หมดยุค Loyalty Program

Loyalty Programs หรือระบบสมาชิกแบบสะสมแต้มนั้นล้าสมัยเกินไปแล้วสำหรับผู้บริโภคยุคใหม่ที่ต้องการความพิเศษกว่าใครถึงขนาดยอมจ่ายเงินเพิ่มให้ด้วยซ้ำ

ตัวอย่างง่ายๆ จาก Amazon Prime ที่ถ้าจ่ายเงินเพิ่มไม่กี่ดอลลาร์ต่อไปจะได้รับบริการพิเศษส่งฟรีถึงบ้านภายในสองวัน และ Business model นี้กำลังขยายออกไปเรื่อยๆ ยังธุรกิจต่างๆ มากมายที่เปิดโอกาสให้ลูกค้ายอมจ่ายแพงขึ้นเพื่อได้รับความพิเศษที่มากกว่าลูกค้าทั่วไป ตั้งแต่การได้สิทธิ์ในการซื้อก่อนใคร ไปจนถึงฟรีค่าส่ง หรือได้รับสิทธิ์ในการเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ที่คนอื่นเข้าถึงไม่ได้

ยกตัวอย่างเพิ่มเติมก็หนีไม่พ้นบรรดาบัตรเครดิตอภิสิทธิ์ต่างๆ ที่บางบัตรมีค่าสมาชิกรายปีหลายหมื่นแต่ก็ยังมีคนมากมายที่ยอมจ่ายเงินเพื่อได้ใช้ เพราะบัตรพวกนี้ให้สิทธิพิเศษแก่สมาชิกที่คนทั่วไปไม่ได้จริงๆ

ดังนั้นจะเห็นว่ายุคแห่งการกระตุ้นให้คนมาซื้อซ้ำหรือใช้เงินกับเราด้วยการสะสมแต้มกำลังนั้นหมดสมัยไปแล้วครับ เรากำลังเข้าสู่ยิค Pay for VIP ที่ลูกค้ายอมจ่ายแพงขึ้นถ้าเธอจะดูแลฉันได้ดีกว่าคนทั่วไปนั่นเอง

3. Foresight ทำเร็วๆวัดผลไวๆทำไปปรับปรุงไปตลอดเวลา

คนส่วนใหญ่เวลาจะเดินหน้าตัดสินใจทำอะไรมักใช้ข้อมูลจากการมองย้อนกลับไปในอดีตที่เคยทำ หรือที่เรียกว่า Hindsight อารมณ์เข้าทำนองว่า “รู้งี้” กับ “รู้แล้ว” ก่อนจะตัดสินใจลงมือลงทุนทำอะไรสักอย่างเป็นเรื่องปกติ

แต่การตัดสินใจแบบนี้นั้นไม่ทันการกับโลกที่หมุนเร็วขึ้นทุกวัน แถมพฤติกรรมผู้บริโภคก็เปลี่ยนไปไวเหลือเกิน ต้นปี Clubhouse มาแรงมากทั่วโลกแล้วก็เงียบหายไป จากนั้นปลายปีก็สะเทือนด้วยคำว่า Metaverse กับ NFT

ประเด็นสำคัญคือเทรนด์นี้คือการที่เราต้องตัดสินใจโดยมองไปข้างหน้า คาดการณ์จาก data ที่ได้มาผ่านการทำ Experimental บนสินค้าหรือบริการของเราแล้วเอามาปรับปรุงให้ดีขึ้นอย่างรวดเร็วที่สุด

เราไม่อาจรอให้มีข้อมูลทุกอย่างครบแล้วค่อยตัดสินใจได้ เพราะไม่อย่างนั้นอาจช้าเกินไปจนคู่แข่งทำไปเรียบร้อยและพัฒนาสินค้าของเขาให้เป็น Version 2.0 ที่ดีกว่า Version 1.0 ไปมหาศาล

ถ้าจะเรียกว่าเป็นการทำงานแบบ Agile หรือ Sprint ก็ได้ครับ เพราะนี่คือโลกที่ต้องทำงานแบบพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่ต้องปรับตัวกับปรับปรุงตลอดเวลา เปรียบกับการที่เราขับรถไปพร้อมกับสร้างรถไปพร้อมๆ กัน ถ้าเรามัวแต่รอสร้างรถให้เรียบร้อยแล้วค่อยออกเดินทาง ผมคิดว่าคู่แข่งเราคงเปลี่ยนรถกลายเป็นจรวดแล้วพุ่งทะยานสู่ดวงจันทร์หรือดาวอังคารเรียบร้อยแล้ว

4. Personalized Offer แทน Favor Discount เลิกลดล่อลูกค้า

แบรนด์ส่วนใหญ่ในวันนี้พึ่งพาส่วนลดในการสร้างยอดขายหรือหาลูกค้าใหม่เข้ามามากเกินไป ส่งผลให้การเกิดเฝ้ารอส่วนลดก่อนซื้อจนเสียแบรนด์ที่พยายามสร้างมาอย่างยากลำบากไปเรื่อยๆ

ดังนั้นเทรนด์การตลาดในปี 2022 จะเป็นการเลิกใช้ส่วนลดแบบหว่านๆ ลดไปเรื่อยๆ ลดให้กับทุกคนเหมือนกัน มาสู่การนำเสนอคุณค่าหรือโปรโมชั่นพิเศษแบบเฉพาะคนที่เป็น Personalized Value

แบรนด์ที่จะไปต่อได้ในยุคที่การตลาดยากขึ้นเรื่อยๆ คือแบรนด์ที่มีคุณค่ามากพอที่คนจะยอมจ่ายราคาเต็มหรือจ่ายแพงกว่าด้วยซ้ำ ดังนั้นเราต้องใช้ Customer Data ที่มีเพื่อทำความเข้าใจ Insight ให้เต็มที่ ถ้าลูกค้าคนนี้ชอบโปรโมชั่นส่งฟรีก็ไม่จำเป็นต้องลด หรือถ้าลูกค้าคนนี้ชอบส่งเร็วแบบ same day delivery ก็ให้ยื่นข้อเสนอนี้แทนส่วนลดที่ไร้เสน่ห์

ย้อนกลับไปดูเทรนด์ข้อ 2 เรื่อง Pay for Membership ลูกค้าวันนี้มีส่วนลดมากเกินไป สิ่งที่พวกเขาต้องการคือการดูแลที่เหนือกว่า พิเศษกว่า นั่นหมายความว่าคุณต้องรู้ใจลูกค้ามากกว่าเดิมและเร็วกว่าคู่แข่งครับ

หมดยุคแล้วกับการลดราคาแบบสุ่มสี่สุ่มห้า ถ้าอยากไปต่อในปีหน้า ต้องรู้จักฉลาดลดกับเพิ่มคุณค่าไปพร้อมกัน

5. First-Party Data การตลาดแบบฉลาดเก็บดาต้า

ปฏิเสธไม่ได้ว่าโลกเราก้าวเข้าสู่ยุค Data-Driven Marketing เรียบร้อยแล้ว และหลายธุรกิจก็เริ่มรู้ไปจนถึงปรับตัวมากขึ้นทุกวัน แต่ปัญหาสำคัญในวันนี้คือนักการตลาดเข้าถึง Customer data ได้น้อยลงเรื่อยๆ

ด้วยประเด็นเรื่องของ Privacy ที่ผู้คนทั่วโลกกังวลและรัฐบาลหลายประเทศก็ออกกฏหมายควบคุมเรื่องนี้อย่างจริงจัง

ไม่ว่าจะ GDPR, PDPA หรือ CCPA ก็ตาม เอาเป็นว่าหมดยุคการใช้ดาต้าฟรีตามใจ ยินดีต้อนรับเข้าสู่ก่อนจะเอา Data ไปขอ Consent แล้วหรือยัง?

ขอแล้วเก็บรักษาให้ปลอดภัยต่อการถูกแฮกด้วยใช่ไหม หากไม่ก็เตรียมตัวบ้ายบายจาก Customer data เลยเพราะจะไม่มีใครอยากให้ Data กับคุณอีก

และจากการประกาศเรื่องจะยกเลิกThird-party Cookies ในเร็ววันของ Google ไปจนถึงการยกระดับเรื่อง Privacy ของ iPhone กับ iOS 14.5 ที่ต่อไปนี้ถ้าแอปไหนจะขอข้อมูลการใช้งานนอกแอปตัวเองจะมีการแจ้งไปยังเจ้าของเครื่องว่าเต็มใจให้เขาตามเก็บดาต้าหรือไม่

และเมื่อ Third-Party Data หายไปส่งผลให้ First-Party Data หรือ Customer Data กลายเป็นเทรนด์หลักในปีหน้า (จริงๆ ก็เริ่มมาแล้วตั้งแต่ปี 2021 แหละ)

ดังนั้นถ้านักการตลาดคนไหนหรือแบรนด์ใดยังไม่เตรียมพร้อมเรื่อง Data มากมาย เตรียมตัวบอกลาจากการแข่งขันได้เลยครับ เพราะเกมนี้ไล่ตามกันยาก เพราะดาต้าเหมือนสายน้ำ ถ้าไม่รีบเก็บ สะสม ตักตวงในตอนนี้วันหน้าก็จะเหลือน้อยลงทุกทีที่จะมีให้ใช้

6. Video Content is King การตลาดวันนี้ขาดวิดีโอไม่ได้แล้ว

ตั้งแต่ปี 2021 มาคอนเทนต์ประเภทวิดีโอทุกรูปแบบได้รับความนิยมอย่างมาก และกำลังก้าวเข้ามาเป็นคอนเทนต์หลักแทนรูปแบบภาพนิ่งหรือสเตตัสเดิมที่เคยนิยมมานั้น

ปฏิเสธไม่ได้ว่าเพราะ TikTok ทำให้พฤติกรรมการเสพคอนเทนต์เปลี่ยนไปภายในระยะเวลาไม่ถึงสองปี สาเหตุหลักมาจากการล็อกดาวน์ที่ทำให้เรามีเวลาว่างมากมายที่จะเรียนรู้ในการเล่นโซเชียลมีเดียแพลตฟอร์มใหม่ๆ อย่างการทำวิดีโอสั้นๆ แห่งนี้

และจากกระแสนิยมกลายเป็นสื่อหลักจนส่งผลให้ Social media platform ยักษ์ใหญ่เดิมก็ปรับตัวตามเกมของ TikTok มาทำวิดีโอสั้นๆ เหมือนกัน

Facebook ออก Story ให้ใช้งานง่ายขึ้น Instagram ออก Reel แน่นอนว่าตั้งใจทำมาชนกันตรงๆ ทาง YouTube เองออก Shorts ปรับวิธีการเสนอคอนเทนต์ที่เน้นยาวมาสู่คอนเทนต์สั้นๆ ไวๆ ดูเรื่อยๆ ได้ทั้งวัน

ยังไม่นับถึงแพลตฟอร์มการดู Streaming มากมายที่กลายเป็นช่องทางหลักของการใช้เวลาทุกวันนี้

พฤติกรรมการดูทีวีเปลี่ยนมาเป็น LIVE หรือการย้ายไปดูซีรีส์คอนเทนต์ดีๆ บน Netflix กับ Disney+ และนั่นก็ส่งผลให้แพลตฟอร์มโฆษณาต่างๆ ปรับตัวตามพฤติกรรมการเสพสื่อที่เปลี่ยนไป ไม่เว้นแม้แต่โลกออฟไลน์เองที่มีการเอา Video Content ไปประยุกต์ใช้กับหน้าร้านจริงมากขึ้นเรื่อยๆ

ดังนั้นเทรนด์การตลาดในปีนี้เป็นปีของ Video Content จริงๆ ถ้าแบรนด์ใครยังไม่เริ่มเรียนรู้และรีบทำ ระวังตกเทรนด์จนตามเขาไม่ทันได้ง่ายๆ

7. Personalized Offline Direct Mail ตื่นเต้นทุกครั้งที่มีของมาส่งที่บ้าน

ในวันที่อะไรก็ดิจิทัล อะไรก็ออนไลน์ แต่กลายเป็นว่าผู้คนจำนวนมากมายในปีนี้ต่างตื่นเต้นกับอะไรง่ายๆ อย่างการได้รับกล่องพัสดุหรือจดหมายแทน

เพราะในวันที่เรา Work from home เราอยู่กับออนไลน์จนเอียนไม่น้อย กลายเป็นว่าการตลาดแบบ Offline Direct Mail กลับกลายเป็นเทรนด์ใหม่ การตลาดกล่องสุ่มก็เป็นอีกหนึ่งเทรนด์ที่มาแรงมากในบ้านเรา จากแม่ค้าออนไลน์มาสู่แบรนด์น้อยใหญ่ ดังนั้นนักการตลาดต้องรู้จักใช้วิธีส่งของหรือจดหมายหาลูกค้าเพื่อสร้างความประทับใจให้เขาอยากแชร์สิ่งที่ได้ออกไปทางออนไลน์ต่อ

แต่อย่าลืมว่าก่อนจะส่งอะไรออกไป แน่ใจว่าเราคัดเลือกของข้างในแบบ Personalization ที่เจ้าตัวได้รับแล้วต้องประทับใจจริงๆ นะ

8. Postcards Marketing

ข้อนี้แอบไม่น่าเชื่อและเซอร์ไพรซ์ผมเหมือนกันครับ เมื่อ Forbes บอกว่าเทรนด์การตลาดในรูปแบบ Postcard เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมา 5 ปีแล้ว และปีหน้าก็คาดว่าน่าจะเป็นหนึ่งในเทรนด์หลักเช่นเดียวกัน

ด้วยความที่มันมีน้ำหนักเบา ส่งง่าย แต่ก็ยัง impact เมื่อได้รับถ้าเป็นโปสการ์ดดีๆ ที่มาจากความตั้งใจ

ซึ่งธุรกิจที่ใช้แล้วได้ผลดีมักจะเป็นอสังหา การปรับปรุงบ้านหรือครัว (อันนี้เห็นแนบมากับพวกค่านำ้ ค่าไฟ ค่าอินเทอร์เน็ตประจำ) ดังนั้นการตลาดผ่านโปสการ์ดแม้จะดูเชย แต่ถ้าวางกลยุทธ์ดีๆ ก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ทำ ROI ได้ดีมากเลยทีเดียว

ว่าแต่ผมควรส่งโปสการ์ดหาใครดีนะ

9. Digital Storytelling ไม่ใช่แค่ Storytelling แต่ต้องเล่าอย่างเข้าใจดิจิทัล

Storytelling ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างไร แต่ประเด็นปัญหาใหญ่คือนักเล่าเรื่องส่วนใหญ่เล่าแบบไม่ได้เข้าใจธรรมชาติของดิจิทัลสักเท่าไหร่นัก การเล่าเรื่องแบบ 15 วิ 30 วิ หรือ 60 วิ ไม่ตอบโจทย์พฤติกรรมการใช้สื่อออนไลน์ของคนทุกเจนในวันนี้ ในปีที่ผ่านมาเป็นปีของการสื่อสารผ่านคอนเทนต์มากมาย ส่งผลให้แบรนด์ส่วนใหญ่ต้องเรียนรู้การเล่าเรื่องให้น่าฟัง น่าดู หรือแม้แต่น่าหยุดดูมากกว่าเดิม

การทำ Content Marketing แบบ Storytelling ในวันวานของนักการตลาดคือพยายามบอกเล่าเรื่องราวว่าทำไมผู้คนหรือผู้บริโภคจึงควรมีสินค้าหรือใช้บริการของเขาในชีวิตประจำวัน

ใช้แล้วดีอย่างไร มีแล้วจะสบายอย่างไร ถ้าขาดไปแล้วจะลำบากแบบไหน แต่วิธีการเล่าเรื่องแบบนี้ไม่ได้ผลเท่าเดิมอีกต่อไป เพราะคอนเทนต์ประเภทที่มีประโยชน์นั้นมีมากมาย แต่ผู้คนในวันนี้อยากได้คอนเทนต์ที่มีความ Excite กว่าเดิม

ส่วนหนึ่งเทรนด์นี้น่าจะมาจากพฤติกรรมการเสพคอนเทนต์ที่เปลี่ยนไป จากวิดีโอยาวเป็นวิดีโอสั้น ดังนั้นถ้าไม่สนุกจนทำให้สะดุดแบบทันควัน คุณน่าจะลำบากมากในปีหน้าครับ

10. Meta Metaverse ร่างใหม่ Facebook ที่ต้องจับตาดูให้ดี

การปรับตัวครั้งใหญ่ที่สะเทือนโลกของ Facebook ในปีนี้ไม่ใช่การปรับเปลี่ยน Algorithm แต่อย่างไร แต่ออกมาประกาศเปลี่ยนวิสัยทัศน์ใหม่ว่าจะมุ่งสู่งการเป็นผู้นำด้าน Metaverse

และแน่นอนว่าการเปลี่ยนครั้งนี้รุนแรงมาก เพราะเปลี่ยนไปขนาดถึงชื่อบริษัท เอาเป็นว่าไม่เคยเจอบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกที่ไหนทำมาก่อน(เท่าที่ผมรู้) เพราะมันต้องปรับเปลี่ยนเรื่องเอกสารเยอะมากครับ

แต่นั่นก็เป็นการออกมาบอกให้ชาวโลกรู้ชัดว่านี่คือสิ่งที่ Facebook จะมุ่งหน้าไป ซึ่งทำให้สิ่งที่หลายคนเคยคาดการณ์ว่า Facebook กำลังหมดเสน่ห์ลงทุกวัน ไปจนถึงคาดการณ์ว่า Facebook กำลังจะตายไปในโลกโซเชียลมีเดีย

ซึ่งก็ไม่มีใครคาดคิดว่าพี่ Mark แกจะเอาจริงเอาจังขนาดนี้ ถ้าแค่เปิดบริษัทใหม่หรือ Product ใหม่ยังพอว่า นี่ถึงขนาดเปลี่ยนบริษัทเก่าเป็นใหม่ เป็นการเล่นใหญ่ระดับโลกจริงๆ ครับ

เปรียบกับบ้านเราก็คล้ายๆ จาก SCB กลายเป็น SCBx ทำเอาสะเทือนประเทศไม่น้อยเลยทีเดียว

กลับมาที่การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ของ Facebook อีกครั้ง ซึ่งก็ต้องตามดูกันว่าพวกเขาจะมีกลยุทธ์ใดในการขับเคลื่อนธุรกิจให้ก้าวไปสู่การเป็นผู้นำของ Metaverse ได้จริงๆ

หาก Mark Zuckerberg เองยังคงทำงานแบบเดิม ใช้กลยุทธ์แบบเดิม แน่นอนว่าจะไม่มีทางทำให้ Meta ประสบความสำเร็จซ้ำสองเหมือน Facebook ได้แน่นอน

งานนี้หลายๆ แบรนด์ต่างก็เฝ้ารอดูว่า Metaverse ของ Facebook จะเป็นอย่างไรต่อปีในปี 2022 โลกการตลาดน่าจะเปลี่ยนไปอีกไม่น้อย รอติดตามเรื่องนี้กันอย่างใกล้ชิดดีกว่าครับ

สรุป 10 Digital Marketing Trends 2022 จาก Forbes ที่นักการตลาดต้องรู้

ตั้งแต่ Personalized Marketing ในทุกรูปแบบ Email, Direct Mail ไปจนถึง Postcard ไปจนถึงการตลาดแบบ Membership โปรแกรมที่ลูกค้ายอมจ่ายเพื่อสิทธิพิเศษที่เหนือกว่าจริงๆ ไปจนถึงสงครามการสะสม Customer Data จาก First-Party Data เป็นหลัก แล้วรูปแบบการทำ Content Marketing ที่เปลี่ยนจากภาพนิ่งหรือสเตตัสคมๆ มาสู่ Short Video เป็นหลัก ที่ต้องอาศัยทักษะการเล่าเรื่องที่เข้าใจธรรมชาติของสื่อดิจิทัลแบบ Digital Storytelling

สุดท้ายคือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของ Facebook มาสู่ Metaverse บอกเลยว่าเทรนด์เขย่าโลกนี้เพิ่งเริ่มต้นขึ้น และเราจะได้เห็นสิ่งที่เป็นรูปธรรมจริงๆ ในปี 2022 อีกมากแน่นอนครับ

เพราะโลกการตลาดนั้นเปลี่ยนแปลงไว ผมจึงอยากให้เพื่อนๆ นักการตลาดได้อัพเดทความรู้ใหม่ๆ ไปด้วยกัน รีบรู้แล้วรีบเอาไปประยุกต์ใช้ เพราะลูกค้านั้นเปลี่ยนไวตัวคุณเองก็ต้องรีบปรับตัวให้ทัน

เอาใจช่วยให้ปี 2022 เป็นปีที่สนุกในการทำการตลาดของคุณครับ

อ่านบทความที่เกี่ยวกับ Digital Marketing Trends 2022 ในการตลาดวันละตอนต่อ > https://www.everydaymarketing.co/tag/digital-marketing-trends-2022/

Source: https://www.forbes.com/sites/henrydevries/2021/12/16/10-trends-for-digital-marketing-in-2022/?sh=30ee0b49755a

Nattapon Muangtum

เจ้าของเพจการตลาดวันละตอน / อาจารย์พิเศษวิชา Data-Driven Communication / เขียนหนังสือมาแล้ว 5 เล่ม Personalized Marketing, Data-Driven Marketing, Data Thinking, Contextual Marketing และ Social Listening / ที่ปรึกษา Data-Driven Advisor

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *