Burger King – แคมเปญ Keep It Real หลังแบนวัตถุดิบสังเคราะห์ 120 อย่าง

Burger King – แคมเปญ Keep It Real หลังแบนวัตถุดิบสังเคราะห์ 120 อย่าง

ต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา Burger King เค้าก็ได้ปล่อยแคมเปญเจ๋งๆ ออกมาอีกแล้วค่ะ ชื่อว่า แคมเปญ Keep It Real ซึ่งความหมายและนัยยะก็ตรงตามชื่อเลยว่า ‘ให้มันจริง’ แท้แน่นอน เพราะแคมเปญนี้มันเป็นโปรเจคที่แบรนด์เค้าทำขึ้นมา หลังจากบริษัทได้มีการยกเลิกและแบนการใช้วัตถุดิบที่เป็นวัตถุดิบสังเคราะห์หรือ Artificial Ingredients ออกไปทั้งหมด 120 รายการด้วยกันค่ะ

ซึ่งหากให้เป็นแฟนคลับของ Burger King อยู่แล้ว ก็คงทราบกันดีว่าแบรนด์ของเค้านั้นค่อนข้างให้ความสำคัญกับเรื่องคุณภาพอาหารที่ขายอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อต้องลงสนามแข่งกับแบรนด์คู่แข่งตลอดการอย่าง McDonalds ด้วยแล้ว ทำให้ที่ผ่านมาเรื่องของการทำเบอร์เกอร์ด้วยการ Grill หรือย่างจึงถูก Bold มาโดยตลอด

อย่างไรก็ตามล่าสุดพอแบรนด์เค้าออกมาแบนวัตถุดิบสังเคราะห์ออกไปกว่า 120 รายการ เช่น Potassium hydrogen sulphite หรือ sodium ethyl p-hydroxybenzoate จนเกิดเป็น Blacklist ยาวๆ ขึ้นมา แน่นอนว่าแบรนด์ก็ต้องทำแคมเปญตอกย้ำเรื่องนี้ให้คนได้รู้ทั่วถึงกันจนเกิดเป็น แคมเปญ Keep It Real ค่ะ

โดยแคมเปญนี้ก็เป็นการต่อยอดมาจากไอเดียงานก่อนๆ ของ Burger King ภายใต้แคมเปญที่ชื่อว่า Moldy Whopper ที่เป็นการโชว์ให้คนทั่วโลกได้เห็นถึงเมนู Signature ของเบอร์เกอร์คิงที่สามารถย่อยสลายได้ตามกาลเวลา มีเชื้อราขึ้นเขียวๆ เต็มไปหมด ทั้งนี้ก็เพื่อต้องการจะสื่อถึงอาหารที่ไม่ใส่สารกันบูด ทำให้ลูกค้าแบบสดใหม่ทุกวัน ซึ่งแคมเปญนี้ก็แสบใช่เล่นเพราะมันยังเป็นการหันหัวปืนไปหาแบรนด์คู่แข่งแบบอ้อมๆ ด้วย

เพราะนอกจากจะสื่อนัยยะว่าเบอร์เกอร์ของคู่แข่งนั้นไม่เน่าสลายและมีวัตถุดิบสังเคราะห์เยอะเพียงใดแล้ว Burger King ก็ยังมีการใช้ Macro-Influencer Marketing ตามคู่แข่งที่ล่าสุดใช้ Celebrity Partnerships ไปหลายคนเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็น ศิลปินระดับโลกอย่าง J Baldvin / Travis Scott / Saweetie หรือจะเป็นวงนักร้อง KPOP อย่าง BTS ก็ตาม ทำให้ยอดขายของ McDonalds พุ่งขึ้นแม้ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสก็ตาม

แคมเปญ Keep It Real ของ Burger King กับ Nelly
Nelly กับ Cornell Haynes Jr. Meal

แต่ต้องบอกว่าการใช้งาน Celebrity Partnership ของ Burger King เค้าก็ไม่ได้เล่นแบบง่ายๆ เหมือนคู่แข่งนะคะ เพราะมันก็ต้องให้ตรงกับ Concept ของ Keep It Real แน่นอนอยู่แล้ว ดังนั้นแบรนด์เลยขอให้ศิลปิดที่พวกเค้าใช้ทั้งหมดช่วยใช้ชื่อจริงๆ ในแคมเปญนี้แทน อย่าง Nelly ที่เราคุ้นเคยก็เปลี่ยนมาเป็นชื่อจริงที่ว่า Cornell Haynes Jr. หรือ Anitta ก็ใช้เป็นชื่อจริงอย่าง Larissa Machado และสุดท้ายคือ Lil Huddy ก็ใช้เป็นชื่อ Chase Hudson แทนค่ะ

ซึ่งเซเลบทั้งสามคนที่แบรนด์เค้าใช้เนี่ย ก็เป็นการเอาชื่อจริงมาใช้เป็นชื่อเมนูเลยนะ ดังนั้นเมนู Meal ของทั้งสามท่านก็จะมีอาหารข้างในแตกต่างกันออกไป อย่างของ Nelly ที่เป็น Cornell Haynes Jr. Meal อาหารข้างในกล่องก็จะเป็น Whopper กับเฟรชฟรายส์ขนาดเล็กและ Sprite เล็ก ในขณะที่ Larissa Machado Meal จะเป็น Impossible Whopper ขนาดปกติ กับเฟรชฟรายส์ขนาดเล็กและ Sprite เล็ก เป็นต้น

จะเห็นได้ว่า Burger King กับเอเจนซี่ของเค้านี่แสบทุกงานกันจริงๆ เลย ทำให้เราได้เห็นสีสันของการตลาดหลายๆ รูปแบบเนอะ อย่างแคมเปญนี้ต้องบอกว่าเป็นการกัดคู่แข่งตั้งแต่คุณภาพวัตถุดิบไปจนถึงการใช้งาน Influencer ด้วย ซึ่งแคมเปญนี้ไม่ได้ต้องการผลักดันแค่ยอดขายเท่านั้น แต่เป็นโปรเจคที่คิดเพื่อกระตุ้น Loyalty ของคนที่แต่ก่อนทาน Burger King อยู่แล้วให้กลับมา หรือไม่เปลี่ยนใจไปลองอะไรใหม่ๆ อีก ซึ่งบริษัทก็เคลมว่ามีลูกค้ากว่า 80% ที่บอกว่าจะ Recommend หรือแนะนำบริการของแบรนด์ให้เพื่อนๆ ตัวเองต่อไปด้วยค่ะ

ทั้งหมดนี้ก็คือ Case study จาก แคมเปญ Keep It Real ของ Burger King ในต่างประเทศให้เรานักการตลาดได้ศึกษากัน ไว้ครั้งหน้ามีเคสอะไรเจ๋งๆ อีก เพลินจะหยิบมาสรุปแล้วเล่าให้ฟังอีกนะคะ ส่วนใครที่อยากอ่าน Case เจ๋งๆ จาก Burger King อีกสามารถคลิกตรงนี้ได้เลยค่ะ

Source: Business Wire

Plearn Wisetwongchai

Marketing Strategic Planner ในเครือการตลาดวันละตอน | A Creator สาวพลัสไซส์ @Fabfatkid | A Travel Lover ที่หมดเงินเกือบ 80% ไปกับการเดินทางแบบแมสๆ | An Instagrammer @theplearn ที่ชอบเล่น Story เป็นชีวิตจิตใจ | สุดท้ายคือ Data Researcher ทั้ง Social และ Search Data etc. ค่ะ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

ใช้ Social Listening บ้างไม่ ?

#การตลาดวันละโพล ขอหนึ่งคำถาม ว่าปกติใช้ Social Listening บ้างหรือไม่ แล้วถ้าใช้ ใช้ตัวไหนอยู่