Brand for People เมื่อคนไม่ตระหนักถึงกฏหมาย Net Neutrality Burger King จึงอาสาเล่าปัญหาผ่าน Whopper
Brand for Prople เมื่อปลายปี 2017 ประชาชนคนสหรัฐอเมริกาไม่ได้ตระหนักถึงปัญหากฏหมายใหม่ที่ชื่อว่า Net Neutrality ที่จะทำให้อินเทอร์เน็ตไม่ได้มีเสรีภาพอย่างทุกวันนี้ ทาง Burger King เลยอาสาเป็นตัวแทนในการตีแผ่ปัญหาที่ฟังดูเข้าใจยากและซับซ้อนสำหรับคนทั่วไปผ่านแคมเปญการตลาดที่เรียกว่า Whopper Neutrality กับเทรนด์การตลาดยุคใหม่ที่ผมขอตั้งชื่อให้ว่า Brand for Prople ครับ
Brand for People คืออะไร?
เดิมทีแบรนด์ต่างๆ หรือภาคธุรกิจมักพยายามหลีกห่างให้ไกลจากเรื่องการเมืองที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย แต่ในวันนี้ถ้าแบรนด์ใดนิ่งเฉยกับประเด็นในสังคมที่ผู้คนกำลังให้ความสนใจก็จะถูกผู้คนติดป้ายประนามให้ว่า Ignorance หรือมองว่าเห็นแก่ตัว เอาแต่อยู่เฉยๆ ทำไมไม่ Take action อะไรบางอย่างเพื่อเป็นการซัพพอร์ทกับผู้คนที่เป็นลูกค้าล่ะ
และการนิ่งเฉยนั้นเองก็ทำให้ผู้คนเริ่มออกมารุมทัวร์ลงยังแบรนด์หรือ Influencer ต่างๆ ที่เอาแต่นิ่งเฉยไม่แสดงออก โดยเฉพาะถ้ามีผู้คนเรียกร้องให้แบรนด์ต้องแสดงออกบางอย่างแล้วกลับเลือกอยู่นิ่งๆ ก็เท่ากับว่าคุณเลือกคนละข้างของผู้คนบนออนไลน์แล้ว
เรื่องนี้คงไม่ต้องอธิบายมากที่เราเห็นผ่านกระแสแฮชแท็กต่างๆ ที่ออกมาแบนแบรนด์ต่างๆ มากมายที่เห็นต่างหรือไม่เห็นด้วยกับความเห็นที่เกิดบนออนไลน์
ทั้งหมดนี้ก็เพราะผู้คนทั่วโลกพร้อมใจกันมองว่าภาคธุรกิจในวันนี้เต็มไปด้วยทรัพยากรและความสามารถที่จะร่วมเข้ามาแก้ปัญหาประเด็นต่างๆ ในสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าหน่วยงานทางการนั่นเองครับ
ดังนั้นบอกได้เลยว่าการสร้างแบรนด์ในวันนี้คือการต้องพร้อมจะยืนเคียงข้างประชาชน ซึ่งประชาชนที่ว่าก็คือคนที่พร้อมจะเป็นลูกค้าของภาคธุรกิจหรือแบรนด์ต่างๆ นั่นเองครับ
เพราะไม่ว่าจะประเทศไหนก็มีเสรีภาพชนิดหนึ่งที่ไม่มีใครสามารถพรากไปได้ นั่นก็คือเสรีภาพในการใช้เงินของผู้คนหรือประชาชนนั่นเอง และเสรีภาพในการใช้เงินนี่แหละเลยทำให้ผู้คนรู้สึกว่าตัวเองสามารถเลือกที่จะสนับสนุนแบรนด์ใดก็ตามที่ซัพพอร์ทพวกเค้า และแบรนด์ใดที่ไม่พร้อมซัพพอร์ทพวกเค้าก็บอกได้เลยว่าประชาชนก็จะไม่โหวตเลือกแบรนด์คุณแล้วหันไปเลือกคู่แข่งแบรนด์ข้างๆ ที่วางติดกันได้อย่างง่ายๆ เลยทีเดียว
Net Neutrality เมื่อเสรีภาพทางเน็ตกำลังจะถูกริดรอน แต่คนส่วนใหญ่ไม่รู้สึกทุกข์ร้อนเพราะไม่เข้าใจ
Net Neutrality การเรียกร้องให้อินเทอร์เน็ตมีความเป็นกลางไม่ฝักใฝ่เว็บไหนหรือฝ่ายใดเป็นพิเศษ ด้วยการให้ความเร็วเป็นพิเศษกับบางเว็บที่อาจจะเกิดจากการร่วมมือกับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต หรือค่ายโทรศัพท์ต่างๆ สมมติว่าวันนึงเครือข่ายมือถือหรืออินเทอร์เน็ตที่คุณใช้มาลดสปีดความเร็วของ Netflix เพื่อจะผลักดันแบบทางอ้อมให้คุณเลือกเข้าไปดูผ่านเว็บหรือแอปดูหนังของเครือข่ายมือถือค่ายนั้นมากกว่าครับ
นี่เป็นแค่ตัวอย่างแบบหนึ่งที่จะเกิดขึ้นได้ถ้ากฏหมายใหม่ของสหรัฐอเมริกาในตอนปี 2018 ประกาศใช้ ที่จะเปิดโอกาสให้ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตต่างๆ สามารถปรับความเร็วช้าของการเข้าใช้งานแต่ละเว็บได้ดั่งใจ สมมติว่าเราซื้อเน็ตที่ความเร็ว 1 Gbps แต่อาจจะเข้าบางเว็บด้วยความเร็วสูงสุดได้แค่ 100Mpbs ก็ได้ครับ
หรือบางทีกฏหมายความไม่เท่าเทียมทางเน็ตนี้อาจจะเปิดโอกาสให้ Internet Service Provider คิดราคาพิเศษถ้าอยากจะให้เปิดการใช้งานทุกเว็บได้เร็วแบบเท่าเทียมเหมือนเดิม แต่ก็นั่นแหละครับเรื่องราวทั้งหมดนี้ฟังดูเข้าใจไม่ง่ายสำหรับคนทั่วไป เลยทำให้คนทั่วไปไม่ได้ตระหนักถึงสิทธิและเสรีภาพบนอินเทอร์เน็ตที่กำลังจะถูกริดรอนไปเมื่อกฏหมายใหม่ที่ว่าประกาศออกมา
ทาง Burger King เลยอาสาที่จะทำให้คนตระหนักถึงปัญหานี้ผ่านเบอร์เกอร์ของเขาที่ชื่อว่า Whopper กับแคมเปญการตลาดที่ไม่ได้เน้นยอดขาย แต่เน้นตีแผ่ปัญหาให้ผู้คนเข้าใจที่ชื่อว่า Whopper Neutrality
Burger King – Whopper Neutrality เล่าเรื่องยากให้ง่ายด้วยเบอร์เกอร์ที่ได้ช้าแบบไร้สาระ
เบอร์เกอร์คิงเลยอาสาที่จะทำให้ใครๆ ก็เข้าใจเรื่องกฏหมายริดรอนเสรีภาพของความเร็วอินเทอร์เน็ตด้วยการใช้ Whopper เป็นตัวแทนให้คนเข้าใจว่าถ้าวันนี้คุณจ่ายในราคาปกติ มันก็จะได้ช้ามากๆ จนเรียกได้ว่าช้าแบบไร้สาระ ทั้งๆ ที่มันเร็วได้แล้วทำไมต้องจงใจช้าแบบนี้ด้วย!
เมื่อคุณดูคลิปวิดีโอด้านบนจบจะเข้าใจเลยว่าวิธีการที่ Burger King เลือกใช้ตีแผ่ปัญหา Net Neutrality นั้นฉลาดแกมกวนตามสไตล์ของแบรนด์เลยจริงๆ คือเลือกทำให้คนเห็นแบบชัดๆ ผ่านการจงใจให้ Whopper ที่เสร็จแล้วแบบโคตรช้า เรียกได้ว่าทำเอาลูกค้าจำนวนมากหัวร้อนกันไม่น้อยเลยทีเดียว
แคมเปญ Whopper Neutrality เองยังเลือกที่จะที่จะเอาคำว่า Mbps มาล้อให้หนักขึ้นอีกว่าเป็น Make Burger per second แล้วก็มีการเปิดราคาพิเศษ(แพงเป็นพิเศษ) สำหรับลูกค้าที่ต้องการได้ Whopper ด้วยความเร็วปกติเท่าเดิมไม่จงใจช้าครับ
แคมเปญนี้ปังมากที่สหรัฐอเมริกาในช่วงนั้น จากการใช้ร้าน Burger King แค่สาขาเดียวที่ตั้งใจถ่ายทอดให้คนทั้งประเทศได้เข้าใจ ผ่านการถ่ายทำในรูปแบบ Candid Viral Video จนได้ Earn Media ไปกว่า 60 ล้านวิวแบบ organic ภายใน 48 ชั่วโมงแรก!
แถมทาง Burger King ยังไม่จบแค่ไหน เพราะถ้าทำแค่จุดกระแสให้คนสนใจในประเด็นโดยไม่เกิด Action ก็ไร้ค่า พวกเขาเลยเลือกที่จะเข้าไปสร้างแคมเปญรณรงค์ทางการเมืองผ่าน Change.org เพื่อให้คนเข้าร่วมลงชื่อคัดค้านกฏหมายใหม่นี้ที่จะทำให้อินเทอร์เน็ตไม่เสรีอีกต่อไป
ผ่านไปไม่นานมีคนอเมริกันเข้าไปร่วมลงชื่อคัดค้านกว่า 2.3 ล้านคน จนทำให้สำนักข่าวต่างๆ ต้องหยิบเอาประเด็นนี้ไปพูดถึงจนทำให้สาธารณะชนตระหนักถึงความซีเรียสของการใช้อินเทอร์เน็ตแบบเสรีที่กำลังจะถูกริดรอนไปครับ
เมื่ออ่านถึงตรงนี้คุณอาจจะสงสัยว่า แล้วทั้งหมดนี้ Burger King จะได้อะไร? ผมบอกได้เลยว่านี่คือรูปแบบการสร้างแบรนด์แบบใหม่ที่ได้ใจคนยุคใหม่มากๆ เพราะในวันที่ถ้าลูกค้าไม่เลือกเราก็มีแบรนด์อีกเป็นสิบให้เลือกแบบง่ายๆ ดังนั้นการสร้างแบรนด์ให้อยู่ในใจคนของวันนี้ ก็คือการเลือกแสดงออกเคียงข้างประชาชนเพื่อทำให้คนอยากเลือกโหวตให้กับแบรนด์ผ่านเงินในมือผ่านการบริโภคนั่นเองครับ
Brand for People กำลังกลายเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างแบรนด์ภาคธุรกิจในวันนี้ คำถามสำคัญคือแบรนด์ของคุณจะเลือกแสดงออกอย่างไร ถ้าประชาชนเรียกร้องให้คุณร่วมแสดงออกร่วมกันกับสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันที่กำลังเป็นปัญหา การเลือกไม่แสดงออกใดๆ หรือที่เรียกว่า Ignorance ก็ทำให้ผู้คนมองว่าคุณเลือกที่จะไม่ซัพพอร์ทพวกเขา และแน่นอนว่าพวกเขาก็พร้อมจะเลิกซัพพอร์ทคุณเช่นกัน
อ่านแคมเปญการตลาดที่เกี่ยวกับ Brand for People ต่อ > https://www.everydaymarketing.co/?s=brand+democracy
Source:
https://www.theverge.com/2018/1/24/16927890/burger-king-net-neutrality-ad
https://www.marketingjournal.org/fast-food-activism-burger-kings-whopper-neutrality/