ท่ามกลางความร้อนระอุของกระแสการเมืองไทยในช่วงนี้ มีคำหนึ่งที่นักการตลาดอย่างเราเริ่มคุ้นตามากขึ้นกับคำว่า Ignorance หรือ Ignorant ตามหน้าฟีดโซเชียลหรือแหล่งข่าวต่างๆ เมื่อแบรนด์หรือ Influencer คนดังทำตัวเฉยเหมือนไม่รู้ร้อนรู้หนาว ผู้คนบนโซเชียลจำนวนมากก็จะพากันบอกว่าแบรนด์คุณเป็นพวก Brand Ignorance หรือไม่ ทำไมไม่โพสอะไรสักอย่างที่เป็นการซัพพอร์ทกัน วันนี้เลยจะถือโอกาสหยิบเรื่อง
Tag: Brand Democracy
ในยุคที่แบรนด์กลายเป็นส่วนหนึ่งของการเมืองอย่างเลี่ยงไม่ได้ นั่นคือสิ่งที่เรียกว่า Brand Democracy ที่ผู้คนในสังคมทุกวันนี้รู้สึกว่าภาคธุรกิจไม่อาจเอาแต่ขายของโดยไม่ใยดีกับสิ่งที่กำลังเป็นประเด็นในสังคมได้อีกต่อไป เพราะถ้าแบรนด์ใดเมินเฉยก็จะถูกคนติดป้ายว่าเป็น Ignorant หรือพวกไม่ใยดีกับสังคมโดยเฉพาะในประเด็นที่พวกเขาสนใจ จนทำให้เกิดทัวร์ลงได้ง่ายๆ พาลทำให้แบรนด์ที่พยายามสร้างมานานนับสิบปีด้วยงบการตลาดนับไม่ถ้วนหายวับไปกับตา วันนี้เลยจะพามาดูอีกหนึ่งเคสแคมเปญการตลาดที่ของแบรนด์ Patagonia ที่ไม่ต้องรอให้ใครมาบอกว่าพวกเขาต้องวางตัวอย่างไรกับประเด็นในสังคม แต่แบรนด์นี้เลือกที่จะเป็นผู้นำในการนำพาผู้คนที่มีจุดยืนร่วมกันในเรื่องนี้ มาร่วมกันแสดงพลังให้สังคมรับรู้ถึงปัญหาเมื่อครั้งหนึ่งประธานาธิบดีอย่าง
Brand for Prople เมื่อปลายปี 2017 ประชาชนคนสหรัฐอเมริกาไม่ได้ตระหนักถึงปัญหากฏหมายใหม่ที่ชื่อว่า Net Neutrality ที่จะทำให้อินเทอร์เน็ตไม่ได้มีเสรีภาพอย่างทุกวันนี้ ทาง Burger King เลยอาสาเป็นตัวแทนในการตีแผ่ปัญหาที่ฟังดูเข้าใจยากและซับซ้อนสำหรับคนทั่วไปผ่านแคมเปญการตลาดที่เรียกว่า Whopper Neutrality
บทความก่อนหน้านี้ เพลินเคยได้เขียนถึง Brand & Politics ไป ซึ่งจริงๆ แล้วเรื่องที่ใกล้ๆ กับการเมืองอีกหนึ่งเรื่องที่คนอยากให้แบรนด์เข้ามาร่วมด้วยก็คือปัญหาต่างๆ ในสังคม ไม่ว่าจะเป็นสีผิว เชื้อชาติ หรืออะไรอื่นๆ ซึ่งวันนี้เคสที่เพลินยกขึ้นมาให้ก็คือ เคสของ Burger King ที่หยิบประเด็นการ Bully ในสังคมเด็กๆ โรงเรียนขึ้นมา
เมื่อกลางเดือนมีนาคม 2020 ที่ผ่านมา UBER EATS แพลตฟอร์มสั่งอาหารออนไลน์หรือ Food Delivery ชื่อดังประกาศยกเว้นค่าธรรมเนียมให้กับบรรดาร้านอาหารรายเล็กกว่าแสนร้านทั่วประเทศ และยังเสนอมอบอาหารให้บุคลากรทางการแพทย์ที่เป็นแนวหน้าในการสู้รบกับเชื้อไวรัส COVID-19 ได้ทำงานอย่างเต็มที่ครับ ทางผู้บริหารของ Uber Eats
จากข้อมูลสรุป insight ทุก generation ตั้งแต่ Baby Boomer ยัน Alpha ประจำปี 2020 ที่มีคนแชร์มากกว่า 22,000 ครั้ง (คลิ๊กอ่านได้ที่นี่)
สรุปหนังสือ Business as Unusual เล่มนี้ถ้าให้สรุปสั้นๆก็คือแนวทางการสร้างแบรนด์ ในยุค 5.0 ในวันที่สินค้าหรือบริการแทบไม่เหลืออะไรให้ต่าง จนต้องใช้ความดีของการทำธุรกิจจากแต่ละแบรนด์มาเป็นเกณฑ์ใหม่ในการสร้างความต่างขึ้นมา ดังนั้นถ้าธุรกิจคุณใหญ่โตไปจนถึงขึ้นสุด แบบว่าไม่รู้ว่าจะ Growth ไปทางไหนต่อ หนังสือเล่มนี้ก็จะเป็นแสงสว่างให้คุณเห็นทางออกว่าจะโตไปต่อได้อย่างไร ขอเกริ่นก่อนเข้าสรุป
A BETTERMENT MARKETING การตลาดยุคใหม่ ธุรกิจต้องไปต่อ…เพื่อโลกที่ดีกว่าเดิม เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา (7 ต.ค. 2562) เหตุการณ์ที่สำคัญยิ่งในวงการการตลาดเกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อ Philip Kotler “Godfather of
แค่ CSR ไม่พออีกต่อไปสำหรับการให้คนรักแบรนด์ในวันนี้ เพราะแบรนด์ใหญ่ๆในวันนี้นั้นมีทั้งพลังและอำนาจมากพอที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้นได้ เหมือนที่น้ำดื่มสิงห์ทำด้วยการมอบพื้นที่ฉลากขวดน้ำสิงห์ ให้กลายเป็นป้ายประกาศตามหาเด็กหาย ที่ร่วมกับมูลนิธิกระจกเงา แคมเปญนี้ไม่ต้องพูดมาก แค่ดูภาพก็เข้าใจได้ถึงความยิ่งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นกับสังคมจากนี้ไป ด้วยพื้นที่เล็กๆข้างขวดน้ำที่ไม่เคยมีใครสนใจอ่านจนกระทั่งวันนี้เอง การตลาดวันละตอนขอชื่นชมทีมงานทุกฝ่ายของแคมเปญนี้ ที่ช่วยกันผลักดันให้เกิดขึ้นจริง เพราะผมรู้ว่าการจะเปลี่ยนแปลงอะไรบนแพคเกจขวดน้ำนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ใช่แค่ฝ่ายการตลาดเท่านั้นที่จะทำได้ แต่ต้องเกิดจากการร่วมมือของทุกฝ่ายจริงๆครับ
Diesel มาแปลก ทำโพสฉลองให้กับยอดคนติดตามหรือ unfollow ที่มากถึง 14,000 คน หลังจากออกคอลเลคชั่นใหม่ Diesel Pride ในช่วงเทศกาล Pride Week ที่ยุโรป จนเกิดการต่อต้านจากเหล่าผู้ติดตามเดิมที่เป็นแฟนของแบรนด์