กลุ่มลูกค้าที่เป็นระดับ Exclusive หรือ Luxury นั้นเป็นที่รู้กันดีว่าถูกต้องมองตาเป็นมันจากบรรดานักการตลาดและแบรนด์ต่างๆ เลยทำให้แบรนด์ต่างๆ ต้องพยายามสรรหา Privilege และ Promotion ชั้นดีเพื่อจะดึงดูดลูกค้ากลุ่มนี้ให้ใช้เงินกับตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ และก็นั่นแหละครับถ้าจะมีการทำ Loyalty Program เพื่อดึงดูดลูกค้ากลุ่ม
Category: Retail
Amazon ก้าวไปอีกขั้น โดยปล่อยแคมเปญจ่ายเงินให้กับผู้บริโภคแลกกับ data การซื้อของ นอก Amazon และผ่านการทำแบบสอบถาม (survey) กับแคมเปญ Amazon Shopper Panel
ในยุคที่แบรนด์กลายเป็นส่วนหนึ่งของการเมืองอย่างเลี่ยงไม่ได้ นั่นคือสิ่งที่เรียกว่า Brand Democracy ที่ผู้คนในสังคมทุกวันนี้รู้สึกว่าภาคธุรกิจไม่อาจเอาแต่ขายของโดยไม่ใยดีกับสิ่งที่กำลังเป็นประเด็นในสังคมได้อีกต่อไป เพราะถ้าแบรนด์ใดเมินเฉยก็จะถูกคนติดป้ายว่าเป็น Ignorant หรือพวกไม่ใยดีกับสังคมโดยเฉพาะในประเด็นที่พวกเขาสนใจ จนทำให้เกิดทัวร์ลงได้ง่ายๆ พาลทำให้แบรนด์ที่พยายามสร้างมานานนับสิบปีด้วยงบการตลาดนับไม่ถ้วนหายวับไปกับตา วันนี้เลยจะพามาดูอีกหนึ่งเคสแคมเปญการตลาดที่ของแบรนด์ Patagonia ที่ไม่ต้องรอให้ใครมาบอกว่าพวกเขาต้องวางตัวอย่างไรกับประเด็นในสังคม แต่แบรนด์นี้เลือกที่จะเป็นผู้นำในการนำพาผู้คนที่มีจุดยืนร่วมกันในเรื่องนี้ มาร่วมกันแสดงพลังให้สังคมรับรู้ถึงปัญหาเมื่อครั้งหนึ่งประธานาธิบดีอย่าง
Brand for Prople เมื่อปลายปี 2017 ประชาชนคนสหรัฐอเมริกาไม่ได้ตระหนักถึงปัญหากฏหมายใหม่ที่ชื่อว่า Net Neutrality ที่จะทำให้อินเทอร์เน็ตไม่ได้มีเสรีภาพอย่างทุกวันนี้ ทาง Burger King เลยอาสาเป็นตัวแทนในการตีแผ่ปัญหาที่ฟังดูเข้าใจยากและซับซ้อนสำหรับคนทั่วไปผ่านแคมเปญการตลาดที่เรียกว่า Whopper Neutrality
การทำ Marketing หรือ Branding ส่วนใหญ่เรามักจะมองไปที่การทำแคมเปญการตลาดปังๆ การทำแคมเปญโฆษณาว้าวๆ หรือแม้แต่การสร้างไวรัล PR มากมายให้คนพูดถึงแล้วอยากเดินเข้ามาหาเรา แต่รู้มั้ยครับว่าสิ่งหนึ่งที่สำคัญมากของการตลาดไม่ใช่แค่ทั้งหมดที่กล่าวมา หรือที่ผมเรียกว่า External Marketing แต่อีกพาร์ทหนึ่งของการตลาดที่สำคัญมากคือการทำ Internal
ธุรกิจ Retail จะประสบความสำเร็จมากกว่าเดิมถ้ารู้จักใช้ Data รอบตัวให้เกิดประโยชน์ และหนึ่งใน Data รอบตัวที่มีเข้ามาทุกวันนั่นก็คือใบหน้าของลูกค้านั่นเองครับ วันนี้จะมาเล่าเคสการเอาเทคโนโลยี Facial-recognition หรือระบบจดจำใบหน้าลูกค้ามาใช้ในธุรกิจ Retail หรือห้างสรรพสินค้า ว่า Data
Data Science for marketing หรือการทำ Data Analytics นั้นกำลังกลายเป็นหัวใจสำคัญของโลกธุรกิจยุคใหม่ที่ไม่ใข่แค่การตลาดอีกต่อไป เพราะการเล่นกับ Data นั้นช่วยให้เราสามารถตอบคำถามยากๆ หรือแม้กระทั่งทำให้พบคำตอบใหม่ให้กับคำถามเดิม ทำให้เห็นถึง Insight ใหม่ที่ถ้าไม่ใช้
จากหนังสือการตลาดแบบรู้ใจ Personalized Marketing ที่ขายดิบขายดีจนตอนนี้พิมพ์ครั้งที่ 3 แล้ว(ขอขายของหน่อย)ก็เลยอยากเขียนการตลาดแนวนี้เพิ่มขึ้นอีกสักหน่อย เผื่อว่าจะเป็นเนื้อหาเพิ่มเติมในฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5 ว่าแม้แต่ธุรกิจเก่าแก่และเป็นออฟไลน์อย่างร้านสะดวกซื้อหรือ Convenience store นั้นก็ยังสามารถทำให้เป็น Personalization ด้วยการเปิดโอกาสให้ลูกค้าในละแวกนั้นเลือกสินค้าที่จะเข้ามาวางขายที่ชั้นในร้านได้เองแบบตามใจอีกด้วยครับ ที่ประเทศฟินแลนด์มีแบรนด์ร้านสะดวกซื้อที่ชื่อว่า
ต้องบอกว่าที่ผ่านมา เพจเรามีการพูดถึงเรื่องของ Data กันมาตลอด โดยเฉพาะการทำการตลาดแบบ Data-Driven ไม่ว่าจะข้อมูลการขาย หรือเชิง External Data ต่างๆ จนเห็น Insight ของลูกค้า แต่วันนี้อีกหนึ่ง Data ที่เพลินอยากมาสรุปและแชร์ให้ฟังคือ GeoData ค่ะ โดยหลักๆ GeoData นั้นสามารถช่วยในการทำธุรกิจได้หลากหลาย แต่ก็ตามชื่อของมันเลยว่าเป็นการอิงข้อมูลเชิงพื้นที่เป็นหลักนั่นเองค่ะ GeoData เหมาะกับใครหรือธุรกิจไหน? มาเท้าความกันก่อนเลยว่า GeoData นั้นเหมาะกับใครกันแน่ หลักๆ GeoData เหมาะกับธุรกิจที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ On-ground retail ต่างๆ ค่ะ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มสาขา
แคมเปญการตลาดด้าน Data-Driven ที่จะเล่าให้ฟังในวันนี้ คือการปรับแต่งโฆษณาด้วยระบบ Programmatic ตามความสามารถในการ Delivery ของ McDonald’s ที่ประเทศสิงค์โปรที่ลดเสียงต่อว่าจากอาหารส่งช้าของพื้นที่ๆ มีออเดอร์เข้ามาพร้อมกันมากมาย และเอางบที่ลดไปเพิ่มให้กับพื้นที่ๆ ยังมีพนักงานส่งนั่งว่างอยู่มากมายให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างเต็มประสิทธิภาพไม่ Overload ครับ