Oreo เปิดโรงเรียนสอนทำอาหาร เพิ่มยอดขายได้ 35%

Oreo เปิดโรงเรียนสอนทำอาหาร เพิ่มยอดขายได้ 35%

หนึ่งสิ่งที่ทุกแบรนด์ควรรู้คือ Strength ของตัวเองว่าเราเก่งอะไรในสายตาคนข้างนอกบ้าง หรือคนข้างนอกใช้สินค้าของเราในการทำอะไรบ้าง? เพราะหลายครั้งเราจะได้ไอเดียการใช้งานสินค้าใหม่ๆ จากลูกค้าเสียจนเป็น Insight ปังๆ มาต่อยอดทำธุรกิจได้เพิ่มขึ้น อย่าง Oreo ขนมบิดแล้วชิมครีมจุ่มนมเอง ก็รู้จักตัวเองและการใช้งานของสินค้าตัวเองอย่างดี จนเอามาต่อยอดได้ ล่าสุด Oreo เปิดโรงเรียนสอนทำอาหาร จนเพิ่มยอดได้ 35% เลยค่ะ

ทุกวันนี้เราหลายๆ คนอาจจะไม่ได้เข้าห้าง Supermarkets เพื่อไปซื้อ Oreo แบบหลอดห่อสีฟ้าๆ มาติดบ้านไว้ แต่ถึงอย่างนั้นสุดท้ายเราก็ยังได้ลิ้มรส และทานโอริโอ้อยู่ดี เพราะในชีวิตประจำวันเราก็จะได้เมนูโอริโอ้ตามท้องตลาดมากมาย ไม่ว่าจะไอติมใส่โอริโอ้ เค้กทาร์ตจากโอริโอ้ ช็อคบอลโอริโอ้ นมปั่นโอริโอ้ หรือจะเป็นบราวนี่หน้าโอริโอ้ก็ตามที และจากการใช้งานโอริโอ้เป็น Ingredients ในการประกอบ Finished Menu หลากหลาย โอริโอ้เลยเอามาต่อยอดเป็นการขายเชิงวัตถุดิบเพิ่มขึ้น ไม่ต้องมานั่งพูดประโยคบิด ชิมครีม จุ่มนม อย่างเดียวแล้วค่ะ

โรงเรียนสอนทำอาหารของโอริโอ้ชื่อว่า Oreo Academy เป็นไอเดียสร้างสรรค์จากประเทศสเปน เปิดเว็บไซต์ขึ้นมาเพื่อสอนการทำเมนูโอริโอ้บนอนนไลน์ให้คนเข้าถึง และทำตามกันได้ง่ายๆ ยิ่งเมนูไหนที่ไม่ต้องใช้เตาอบยิ่งชนะเลิศ เพราะโอริโอ้สร้างฐาน Crust อร่อยๆ ได้ดีเหลือเกิน นอกเหนือจากกลุ่มทาร์ตแล้ว ยังมีเมนูสอนทำเค้กอย่าง Cupcakes หรือ Chocolate cake แล้วก็เมนูเครื่องดื่มอย่างMilkshakes เพิ่มด้วย

แล้วขั้นตอนการทำบนออนไลน์เหล่านี้ก็ไม่ใช่ว่าจะหยิบพนักงานออฟฟิศของโอริโอ้มาถ่ายทำนะคะ แต่เป็นการใช้เชฟระดับมือโปรชื่อดังในประเทศสเปนเลย อย่างเชฟที่ชนะการแข่งขันรายการดังอย่าง MasterChef ที่ชื่อว่า Aleix Puig ก็มาเป็น Director ให้กับ Oreo Academy ด้วย เพื่อให้รู้สึกว่าโอริโอ้เนี่ยแหละเป็นวัตถุดิบชั้นยอด ที่ขนาดเชฟดัง เชฟมือโปรยังเลือกใช้งานในการรังสรรค์เมนูอร่อยๆ ด้วย

ยังไม่พอค่ะ เพราะเค้ายังมีการเลือกใช้ Influencers สายทำขนมอย่าง Anaisa López / Chef Rafa และ Alma Obregón เพื่อมาช่วยเพิ่มความหลากหลายของเมนูอาหารด้วยโอริโอ้เพิ่มขึ้นด้วย แต่ Gimmick สำคัญคือการจัดลำดับเมนูให้คนรู้ได้ว่า เมนูระดับความยากในการเข้าควรอยู่ที่ประมาณเท่าไร ง่าย กลางๆ หรือว่ายากมากๆ ซึ่งตรงนี้เค้าก็จะวัดจากเวลาในการเตรียมตัวด้วยว่านานหรือสั้นแค่ไหน ถ้านานก็เท่ากับว่ายุ่งยากนะ แต่ถ้าสั้นๆ ก็แปลว่าอุปกรณ์ไม่เยอะใครๆ ก็ทำตามได้ง่ายๆ นั่นเองค่ะ

ในการที่เราจะเข้าถึงเนื้อหา Exclusive ของเชฟและ Influencers ชื่อดังเหล่านี้ได้ก็ไม่ได้อย่างเลย แค่เข้าไป Sign up ในเว็บไซต์ออนไลน์ กรอกชื่อ อีเมลและวันเกิดเข้าไปก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะ แต่เหนือกว่าแค่การมาเรียนกับเชฟแล้ว คือการที่ผู้คนจากทางบ้านเองก็สามารถเข้ามา Join ในการ Upload คลิปการทำตามเชฟ มาอวดกันเพิ่มด้วย

ผลลัพธ์ก็คือ Website มียอดเข้าชมกว่า 1.6 ล้านครั้ง โดยมียอดขายเพิ่มขึ้นสูงถึง 35% แถม Instagram ของโอริโอ้ยังกลายเป็น Account ‘นัมเบอร์วัน’ ในเสปนที่มียอดผู้เข้าชมสูงสุดในช่วงเวลาของแคมเปญด้วยค่ะ เรียกได้ว่า คนอยากเข้ามาดูภาพสวยๆ รวมไปถึงเมนูที่สร้างจากวัตถุดิบอย่างโอริโอ้ด้วย มันก็อร่อยจริงๆ อะเนอะ เหมือนแค่มีโอริโอ้ เราก็พอจะรู้รสชาติมันทันทีว่ามันจะนัวๆ เข้มๆ ประมาณในในปากเรา

ไอเดียนี้แสดงให้เห็นเลยว่าโอริโอ้รู้จักตัวเองและการใช้งานของผู้บริโภคถึงสินค้าของตัวเองเป็นอย่างดี แถมยังเป็นการตอกย้ำให้คนใช้หรือบริโภคโอริโอ้ในโอกาสพิเศษเพิ่มขึ้นด้วย เพราะในต่างประเทศอย่างสเปนเอง กระแส Healthy Food ค่อนข้างรุนแรง ทำให้คนหลีกเลี่ยงการทานขนมอย่างคุกกี้โอริโอ้เพิ่มขึ้น ส่งผลต่อยอดขายที่ลดลงอย่างชัดเจน แต่เมื่อหันมาขายโอริโอ้ในฐานะวัตถุดิบในเมนูพิเศษๆ หรือคนได้ทำเองเป็นกิจกรรม มันก็เกิดเป็นโอกาสใหม่ๆ ที่คนพร้อมเปิดใจเพื่อทานโอริโอ้เพิ่มขึ้นอีกขั้นนึง และถึงแม้ Cake หรือ Shakes จะไม่ได้ Healthy ไปกว่า Cookies แต่ในเชิงจิตวิทยาคือ คนยังทานของหวานรูปแบบเมนูสวยงาม ในฐานะรางวัลให้กับตัวเองอยู่ดี เช่น หลังเลิกงานขออะไรหวานๆ หน่อย หรือจะเป็นช่วงโอกาสวันเกิด ปาร์ตี้ต่างๆ เหมือนเป็นการแทรกแซงสินค้าตัวเองในช่วงเวลาของคนมากขึ้นนั่นเองค่ะ

ทั้งหมดนี้ก็คือการรู้จัก Strength ของแบรนด์และสินค้าของตัวเองจาก Oreo นอกจากนั้นก็คือการเข้าใจ Insight และ Mindset ของผู้บริโภคในการมองรูปแบบของหวานที่แตกต่างกันออกไป จากแค่โอริโอ้ที่เป็นแพ้คสีฟ้าตามชั้นวางสินค้าใน Supermarkets ที่คนรู้สึกว่าไม่อยากซื้อ เพราะหวานทำลายสุขภาพ มาสู่ Position ใหม่อย่างเมนูสังสรรค์โอกาสพิเศษ หรือสินค้ารางวัลชีวิตอย่าง Cakes และเครื่องดื่ม ที่คนรู้สึกว่าขอหวานๆ หน่อยหลังทำงานมาเหนื่อยๆ แทน

หลังจากอ่านบทความนี้แล้ว อย่าลืมกลับไปตั้งคำถามให้กับสินค้าในแบรนด์ตัวเองดูนะคะ ว่าสินค้าของเรามีจุดเด่นเรื่องอะไร หรือคนข้างนอกเค้าใช้สินค้าเราไปทำอะไรที่เราไม่เคยรู้มาก่อน แล้วมันใช้ได้จริงบ้าง ก็เก็บมาขยี้ต่อ เป็นอีกหนึ่งช่องทางการเพิ่มยอดขายใหม่ๆ ได้ ลองดูนะคะ

Plearn Wisetwongchai

Marketing Strategic Planner ในเครือการตลาดวันละตอน | A Creator สาวพลัสไซส์ @Fabfatkid | A Travel Lover ที่หมดเงินเกือบ 80% ไปกับการเดินทางแบบแมสๆ | An Instagrammer @theplearn ที่ชอบเล่น Story เป็นชีวิตจิตใจ | สุดท้ายคือ Data Researcher ทั้ง Social และ Search Data etc. ค่ะ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

ใช้ Social Listening บ้างไม่ ?

#การตลาดวันละโพล ขอหนึ่งคำถาม ว่าปกติใช้ Social Listening บ้างหรือไม่ แล้วถ้าใช้ ใช้ตัวไหนอยู่