Google Search Updates ที่จะส่งผลต่อการทำ SEO ในเว็บของคุณ

Google Search Updates ที่จะส่งผลต่อการทำ SEO ในเว็บของคุณ

เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2020 ที่ผ่านมา Google ได้ประกาศ Google Search Updates ใหม่ที่มีระบบ AI หรือ Artificial Intelligence อยู่เบื้องหลังที่ทำให้ระบบการค้นหาบนแพลตฟอร์มนั้นดีกว่าเดิม สะดวกสบายขึ้น และแม่นยำขึ้นด้วย ดูเผินๆ ในฐานะคนใช้ ก็อาจจะไม่มีอะไรพิเศษ ก็แค่รู้สึกว่าดีแล้ว จะได้หาอะไรเจอง่ายขึ้น แต่จริงๆ แล้วในฐานะนักการตลาด โดยเฉพาะนัก Content เจ้าแห่ง SEO ต้องหยุดอ่านสิ่งที่ Google อัพเดทกันสักหน่อยค่ะ เพราะมันจะกระทบกับงานของเราแน่นอนค่ะ

ต้องบอกว่าในปี 2019 ทางอากู๋เค้าก็มีการเริ่มใช้ Algorithm ที่ชื่อว่า BERT หรือ Bidirectional Encoder Representations from Transformer ที่เป็นระบบอัลกอริทึมที่เข้าใจภาษามนุษย์หรือ NLP มากกว่าแต่ก่อนแล้ว ซึ่งถ้าเราสังเกตก็จะรู้สึกว่า Google แสดงผลค้นหาให้เราตรงใจมากขึ้น เพราะมันเรียนรู้มากกว่าแค่ Keywords หรือ Sentences ที่ใส่เข้ามา แต่มันสามารถเข้าใจใน Context หรือบริบทได้ด้วย นั่นก็เพราะหลายๆ คนเริ่มต้นหาในภาษาพูดที่เป็นคนมากขึ้น ไม่ใช่ภาษาเขียนเหมือนแต่ก่อนแล้ว เพราะฉะนั้น มันก็หมายถึงว่า เว็บของเราก็จะได้ Target ที่ใช่มากขึ้น ลด Bounce rate ลงได้เพิ่มขึ้นค่ะ

ซึ่งในปีที่แล้ว เจ้าอัลกอริทึม BERT เนี่ยยังเป็นแต่น้ำจิ้มๆ ไม่ครบครัน แต่วันนี้ Google เค้าก็ภูมิใจที่จะบอกว่า BERT นั้นพร้อมใช้งานในภาษาอังกฤษแล้วค่ะ และภาษาอื่นๆ จะตามมาแน่นอน โดยสิ่งที่มีการอัพเดทนั้นก็คือ 5 อย่างนี้เลยค่ะ

1. Spelling สะกดผิดไม่เป็นไร AI BERT เข้าใจ

วันนี้ระบบของ BERT สามารถทำความเข้าใจตัวสะกดผิดได้ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนแล้ว เพราะกูเกิ้ลบอกว่า ในทุกวันคนมักจะพิมผิดเข้ามามาก แบบ 1 ใน 10 การค้นหาจะต้องมีสะกดผิด ทำให้ระบบ AI สามารถเรียนรู้และแนะนำคำถูกได้แบบแม่นยำขึ้นมากค่ะ

หลายๆ คนอาจจะบอกว่า อ้าว.. จริงๆ มันก็แก้ไขคำให้อยู่แล้วไม่ใช่หรอ คำตอบก็คือใช่ค่ะ Google ทำมาตลอดอยู่แล้ว แต่วันนี้ระบบมันแค่ทำงานได้เร็วขึ้นแบบไม่เกิด 3 milliseconds หรือเสี้ยวของเสี้ยววินาที พร้อมคำที่เสนอใหม่แบบแม่นยำตามบริบทมากขึ้นด้วย

2. Passages เข้าใจเนื้อหาแบบย่อหน้ามากขึ้น

Google บอกว่า เวลาที่คนหาอะไรที่ค่อนข้าง Specific มากๆ เนี่ย การได้คำตอบจากเว็บหลายพันเว็บใน Internet จะเป็นไปได้ค่อนข้างยาก เพราะบางทีคำตอบที่ผู้ใช้ต้องการเนี่ย อาจจะเป็นแค่ประโยคเดียวที่ฝั่งอยู่ภายใน Content ของเว็บต่างๆ ก็ได้ สิ่งที่ AI ของ Google จะทำก็คือ การเข้าใจใน Passage ของเนื้อหาในย่อหน้าที่ Match กับคำค้นหาให้มากขึ้น ไม่ใช่แค่การนำเสนอ Website ที่มี SEO Index ดีๆ ขึ้นมาให้ก่อนเหมือนเคย 

ซึ่งตรงนี้แน่นอนว่า สำหรับนักการตลาดแล้ว ก็จำเป็นที่จะต้องเข้าใจในบริบทของคำค้นหา หรือ Context ที่คนจะหา Keyword A กับ Keywords อะไรอื่นๆ อีกให้มากขึ้นด้วย เพราะต่อให้เราใช้ Keyword A เป็น Key phrase หลัก แต่ถ้า Overall Passage ไม่ตอบ Google จะไม่แสดงผลเว็บของเราขึ้นมาให้ผู้หาค่ะ

3. Subtopics การเข้าใจในแง่มุมอื่นๆ ของ Queries ที่เกี่ยวข้องกัน

เรื่องนี้ถือเป็นอะไรที่น่าสนใจมากๆ เพราะโดยปกติหากเราค้นหาเกี่ยวกับ ‘การออกกำลังกายที่บ้าน’ เราก็จะเจอแต่ Home Workouts ต่างๆ ที่นำเสนอขึ้นมาให้ แต่วันนี้ระบบ AI ของ Google ทำงานได้ฉลาดกว่านั้น เพราะมันจะกวาดผลการค้นหาแบบ Subtopics อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการออกกำลังกายที่บ้านมาให้ด้วยค่ะ ไม่ว่าจะเป็น อุปกรณ์ออกกำลังกายราคาไม่แพง ไอเดียสำหรับพื้นที่แคบ เป็นต้น เพราะฉะนั้นเนื้อหาที่จะโชว์ในผลการค้นหาก็จะกว้างขึ้นค่ะ

ซึ่งประเด็นตรงนี้เนี่ยแหละที่จะกระทบกับการทำ SEO ในอนาคตแน่นอน เพราะมันหมายถึงการที่เนื้อหาของเราอาจจะปรากฏให้กับคนที่มีความสนใจเรื่องใกล้เคียงกัน เหมือนกลุ่มลูกค้าที่มี Intention อยู่แล้ว เพียงแต่ยังไม่ได้เจาะจงแบรนด์หรือคิดถึงอุปกรณ์ออกกำลังกายในที่แคบมาก่อน เป็นต้นค่ะ

4. Hum แค่ฮัมก็หาเพลงบท Google ได้แล้ว

เพราะมีคนที่คิดเพลงไม่ออกบ่อยมาก มีแต่ทำนองที่ติดอยู่ในหัว เวลาจะหาเพลงก็เลยลำบาก แถมเนื้อเพลงก็จำไม่ได้แน่ชัด วันนี้ Google ก็เลยปล่อยระบบ Hum ที่ให้คนสามารถฮัมเพลงเพื่อค้นหาเพลงที่ต้องการได้แล้ว ไม่ต้องมานั่งหงิด นอนไม่หลับ โทรหาเพื่อนตอนตี 1 เพื่อถามว่า เพลงนี้มันคือเพลงอะไรนะ อีกต่อไปค่ะ ซึ่งเอาเข้าจริงๆ แล้วมันก็จะมีความคล้ายกับ Shazam อยู่หน่อยๆ เนอะ

ซึ่งเอาจริงๆ เรื่อง Voice Search เป็นอะไรที่ระบบ Search ของ Google ควรทำได้อย่างแม่นยำให้มากขึ้นได้แล้ว เพราะว่าเดี๋ยวนี้เวลาพิมพ์ ค้นหาอะไร คนก็จะหาแบบภาษาพูดมากกว่า คิดอะไรในหัวอยู่ก็เสิร์ชทั้งแบบนั้นเลย ไม่ต้องมานั่งเกาให้เป็นภาษาพูดก่อนหา เพราะฉะนั้น นัก Content เองก็อย่าลืมเขียนในแบบภาษาพูดให้มากขึ้น มิเช่นนั้นอาจจะเสี่ยงกับการ Search ไปเจอได้นะคะ

5. Key Moments ใน Video

จากวิดีโอที่มีความยาว แต่มีเพียงช่วง Moment เล็กๆ ที่เราอยากดู วันนี้ Google สามารถเข้าใจ Moment หลักๆ ในแต่ละวิดีโอคลิปได้แล้วนะ โดยคนที่ค้นหาเข้ามาใน Google จะเห็นเป็นเหมือน Bookmark จุดๆ แปะเอาไว้ให้ว่า สิ่งที่คุณค้นหามานั้น อยู่ในช่วงไหนของวิดีโอแบบอัตโนมัติเลยค่ะ

โดยวิดีโอนี้ อนุญาตให้คนสามารถ Tag โมเม้นต์ต่างๆ ได้วิดีโอของตัวเองได้ ถ้าใครคิดไม่ออก ให้ลองคิดถึงการทำ Bookmark คั่นจุดประเด็นสำคัญๆ ในหนังสือเล่มนึงแต่อันนี้เป็นคลิปวิดีโอแทน เช่น ในคลิปฟุตบอลย้อนหลัง ก็อาจจะเป็นการ Tag เช่น Moment ที่ Ronaldo ยิงเข้าประตูแรก หรือ Moment ที่ 2 ที่เป็นการยิงเสมอ เป็นต้นค่ะ ทำให้หลังจากนี้ เวลาที่ใครจะ Upload วิดีโอลง YouTube อาจจะต้องทำงานหนักเพิ่มขึ้นในการแบ่ง Description ให้กับแต่ละ Segment ของคลิปค่ะ

จะเห็นได้ว่า Google Search Updates เหล่านี้ส่งผลต่อระบบ SEO และ Video Search แน่นอนในวันนี้ หากใครที่อยู่สาย content ก็อย่าลืมคิดถึง Context บริบทต่างๆ ที่คนจะค้นหาให้มากขึ้นด้วย อย่าลืมลอง Testing ไปเรื่อยๆ เพราะเรื่องของ SEO นั้นแน่นอนว่ามันจะส่งผลและเห็นผลในระยะยาว ไม่ใช่เห็นผลทันที เขียนแบบภาษาคนเหมือนเวลาที่คนจะพิมพ์ค้นหาให้มากขึ้นค่ะ ลองดูนะคะ

ส่วนใครที่สนใจอ่านเกี่ยวกับ SEO เพิ่มขึ้น สามารถคลิกที่นี่ >> https://www.everydaymarketing.co/?s=seo ได้เลยค่ะ

Source: https://blog.google/products/search/search-on/

Plearn Wisetwongchai

Marketing Strategic Planner ในเครือการตลาดวันละตอน | A Creator สาวพลัสไซส์ @Fabfatkid | A Travel Lover ที่หมดเงินเกือบ 80% ไปกับการเดินทางแบบแมสๆ | An Instagrammer @theplearn ที่ชอบเล่น Story เป็นชีวิตจิตใจ | สุดท้ายคือ Data Researcher ทั้ง Social และ Search Data etc. ค่ะ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

คุณคิดว่าปัญหา PM 2.5 ที่เชียงใหม่วิกฤตหรือยัง ?

#การตลาดวันละโพล ขอหนึ่งคำถามก่อนอ่านการตลาดวันละตอน แล้วเราจะเอาไปทำเป็น Infographic โชว์หน้าเพจให้รู้ด้วยกัน