Voice Search Marketing เทรนด์ที่น่าจับตา
การค้นหาด้วยเสียงได้รับความนิยมมากขึ้น และน่าสนใจมาก เพราะในยุคแห่งความสะดวกสบายแบบนี้ ส่งผลให้ Voice Search ถูกใช้มากขึ้น ซึ่งสิ่งนี้ช่วยให้ผู้คนมีโอกาสอ่านหน้าเว็บโดยอุปกรณ์ค้นหาด้วยเสียง ไม่ว่าจะเป็น Alexa / Siri / OkGoogle ทุกครั้งที่พวกเขาต้องการข้อมูลที่เกี่ยวกับแบรนด์ของเรา
มีการวิจัยของ PwC บอกว่าผู้บริโภคยังคาดหวังว่าจะใช้ Voice Search มากขึ้นในอนาคตอันใกล้ ถึง 61% ของผู้ที่มีอายุ 25-64 ปี จากปกติที่ใช้อุปกรณ์เสียงอยู่แล้ว ก็ตั้งใจที่จะใช้มันมากขึ้นในอนาคตค่ะ นั่นทำให้สิ่งนี้เป็นเทรนด์ที่น่าจับตามากๆ เลยค่ะ
สถิติการค้นหาด้วยเสียงที่เกิดขึ้นในปี 2022
- 58% ของผู้บริโภคใช้การค้นหาด้วยเสียง เพื่อค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจในท้องถิ่นทางออนไลน์ (ที่มา: Search Engine Journal)
- 27% ของประชากร Google ออนไลน์ใช้ Voice Searchบนมือถือ (ที่มา: Google)
- 52% ของผู้ใช้ smart speaker วางอุปกรณ์ไว้ในพื้นที่ส่วนกลาง เช่น ห้องนั่งเล่น 25% ของคนเก็บอุปกรณ์ไว้ในห้องนอน ในขณะที่ 22% เก็บลำโพงไว้ในห้องครัว (ที่มา: Google) นั่นแปลว่าพวกเขามักต้องการพูดคุยและหาคำตอบจากการใช้เสียง
- 75% ของผลการค้นหาด้วยเสียงอยู่ใน 3 อันดับแรก สำหรับการใช้ถามคำถามเฉพาะบนการค้นหาเดสก์ท็อป (ที่มา: codedesign)
- 60% ของผู้คนอ้างว่าอุปกรณ์อัจฉริยะมีความสำคัญต่อชีวิตของพวกเขา และพวกเขานึกภาพไม่ออกว่าถ้าไม่มีมันจะเป็นอย่างไร (ที่มา: codedesign)
- 25% ของการค้นหาเดสก์ท็อป Windows 10 มาจาก Voice (ที่มา: codedesign)
- 56% ของการค้นหาด้วยเสียง ถูกใช้เพื่อค้นหาบางอย่างบนอินเทอร์เน็ต (ที่มา: codedesign)
ความสำคัญของการค้นหาด้วยเสียง
อันที่จริง จากข้อมูลที่บอกว่า 58% ของผู้บริโภคใช้การค้นหาด้วยเสียง เพื่อค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจในท้องถิ่นทางออนไลน์ ปลื้มว่านั่นเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างมากเลยนะ และด้วยเหตุนี้การเริ่มเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ของเราสำหรับการค้นหาด้วยเสียงในวันนี้จึงเป็นเรื่องสำคัญมากค่ะ
ดังนั้นเราจะทำอย่างไรเพื่อให้เว็บไซต์ของเราเป็น voice search friendly มากขึ้น โดยการ :
1. ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ของเราเหมาะกับพวก smart phone ผู้คนจำนวนมากขึ้นใช้การค้นหาด้วยเสียงบนมือถือของพวกเขา ดังนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่เว็บไซต์ของเราจะต้องตอบสนองและใช้งานง่ายบนหน้าจอขนาดเล็กค่ะ
2. ใช้ Long-Tail Keyword หรือใช้กลุ่มคำมากกว่าสองคำขึ้นไป เพราะการค้นหาด้วยเสียงสามารถตอบคำถามเฉพาะเจาะจงได้ดีเป็นพิเศษ ดังนั้นการใช้ Long-Tail Keyword จะช่วยให้เรากำหนดเป้าหมายคำค้นหาเหล่านั้นได้
7 กลยุทธ์สำหรับการเพิ่มประสิทธิภาพการค้นหาด้วยเสียง
1. คำค้นหาด้วยเสียงมักเป็นการถาม ดังนั้น ใช้คีย์เวิร์ดคำถาม เช่น ยังไง อะไร ที่ไหน เมื่อไร ทำไม และ Long-Tail Keyword เป็นต้น
2. ใช้ Schema Markup เพื่อปรับปรุงความเกี่ยวข้องของคอนเทนต์ของเรา
3. การมี FAQ พร้อมให้คำอธิบายสั้นๆ จะเป็นคำตอบสำหรับคำถามของผู้ใช้ที่มักที่ความสงสัยเหมือนๆ กัน
4. สร้างคอนเทนต์ที่มีรายละเอียด และให้ข้อมูลโดยคำนึงถึง Customer Persona ของเรา
5. เช็คให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ของเราโหลดเร็ว เนื่องจากเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับ SEO และการค้นหาด้วยเสียง
6. เว็บไซต์ของเราจะต้องเป็นvoice search friendly กับมือถือ
7. เพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ของเราด้วยเทคนิค local SEO เพื่อจัดอันดับสำหรับคำค้นหา “ใกล้ฉัน”
ตัวอย่างแบรนด์ที่ใช้Voice Search ได้ดี
Voice Searchถูกนำมาใช้ได้อย่างน่าสนใจมาก โดย Patron Tequila แบรนด์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นตัวอย่างของบริษัทที่ประสบความสำเร็จอย่างมากจากการใช้การค้นหาด้วยเสียงโดยเป็นแบบ Smart Speaker Advertising ของ Amazon Alexa สามารถพูดเพื่อขอสูตรค็อกเทลจากแบรนด์ได้เพียงพูดกับอุปกรณ์
จากนั้น Smart Speaker ก็จะบอกสูตรให้ตามที่เราต้องการ สิ่งนี้ไม่เพียงช่วยเพิ่มการรับรู้ถึงแบรนด์ และการมองเห็นเท่านั้นนะคะ แต่ยังช่วยให้ผู้ใช้ซื้อผลิตภัณฑ์ได้โดยตรงจากส่วนผสมของสูตร
แม้ว่าแบรนด์ของเราจะไม่พร้อมสำหรับ Smart Speaker Advertising แต่คอนเทนต์ของเราต้องได้รับการปรับให้เหมาะสมสำหรับการค้นหาด้วยเสียงค่ะ ผู้ค้นหาด้วยเสียงใช้การค้นหาต่างกันนะคะ พวกเขาใช้การสืบค้นข้อมูลที่ยาวขึ้น และใช้เหมือนเป็นการสนทนาคุยกัน
ดังนั้นการปรับคอนเทนต์ของเรานั่นก็เพื่อให้บริการคำถามเหล่านี้ รวมถึงการตอบคำถามโดยตรงสามารถช่วยทำให้การค้นหาด้วยเสียงมองเห็นได้ชัดเจนขึ้น สิ่งนี้มีโบนัสเพิ่มเติมในการทำให้คอนเทนต์ของเรามีแนวโน้มที่จะถูกหยิบขึ้นมาเป็นตัวอย่างข้อมูลแนะนำในระดับ Position zero หรือตำแหน่งบนสุดของ Google ได้เลยนะ
สำหรับใครที่อยากอ่านบทความเกี่ยวกับการตลาดเพิ่มเติม สามารถติดตามได้จาก เพจการตลาดวันละตอน รวมไปถึงเว็บไซต์ Twitter Instagram YouTube และ Blockdit ของการตลาดวันละตอนด้วยนะคะ
