Top Spender Campaign / Event – การตลาดแบบนี้ใคร WIN ?
วันนี้นุ่นขอมาพูดถึงกิจกรรม Top Spender Campaign ที่ไม่ได้หมายถึงลูกค้ากลุ่มมีกำลังจ่ายสูงสุดของห้าง ของสาขาเพื่อสะสมเครดิตอย่างเดียวนะคะ แต่เป็นงานที่แข่งกันลงยอดซื้อสูงสุดเพื่อเป็นผู้ชนะในกิจกรรมนั้น ๆ ให้ได้ค่ะ
ปฎิเสธไม่ได้ว่า Marketing Campaign นึงที่สามารถส่งเสริมการขายได้ดีพุ่งแบบข้ามคืนจะต้องมีกิจกรรมยอดซื้อสูงสุดอยู่ในลิสต์ แต่การที่จะจูงใจให้ลูกค้าทำยอดสูง ๆ นั้นแต่ละแบรนด์ก็มีกลยุทธ์ต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นสินค้าประเภท Luxury สุด HIGH-END
และที่เรากำลังพูดถึงกันอยู่ในบทความนี้คือ Top Spender ที่มีกิจกรรมร่วมกับ Presenter, Celebrity, Artist มาเป็น Value สำคัญในการดึดดูดแรงซัพพอร์ตจากแฟนคลับ
เป็นการแชร์มุมมองจากคนที่เป็นทั้งกลุ่มแฟนคลับที่อยู่ในแวงวงนักการตลาด ภาคต่อจาก กลยุทธ์เหาฉลาม เกาะกระแส Concert Event เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์ให้แบรนด์ที่กำลังจะทำกิจกรรม Top Spender กับผู้มีชื่อเสียงนะคะ
ซึ่งเราก็จะเห็นกันอยู่บ่อย ๆ ทั้งฝั่ง T-Entertainment, T-POP, K-Entertainment และ K-POP
มองแบบ GOOD WIN ทุกคนได้ประโยชน์
– แบรนด์ : ได้กระตุ้นยอดขาย
KPI แรกที่ถูกคาดหวังจากการลงทุนจ้างคนดังมาร่วมโปรโมตกิจกรรม คือ ‘ยอดขาย’ ซึ่งแน่นอนค่ะ กิจกรรมนี้จะสามารถกระตุ้นยอดขายได้แบบพุ่งในชั่วข้ามคืน
แม้จะไม่ใช่ยอดขายที่เกิดจาก loyalty ในแบรนด์หรือความชอบในสินค้า 100% แต่ก็สามารถสร้างโอกาสในการขายครั้งต่อ ๆ ไป อธิบายอย่างง่ายคือสินค้าดีก็มีซื้อโอกาสได้ยอดขายซ้ำนั่นเองค่ะ
เพราะฉะนั้นแบรนด์ควรเลือกผู้มีชื่อเสียงที่สอดคล้องกับแบรนด์ แฟนคลับของเขาต้องใกล้เคียงกับกลุ่มเป้าหมายเรา เผื่อให้เกิดผลดีระยะยาว ไม่ใช่แค่ยอดขายระยะสั้น ๆ นะคะ
– ดารา ศิลปิน : ได้ความนิยม เพิ่มมูลค่าแบรนด์ให้แก่ศิลปิน
มุมมองหนึ่งที่สนใจ คือ Brand Value ในตัวของดารา ศิลปิน จะเพิ่มขึ้นหากได้เสียงตอบรับที่ดี มีงานอื่น ๆ แบรนด์อื่น ๆ เข้ามาจับจองคิวเพิ่ม นั่นคือหนึ่งในอาชีพที่แฟนคลับเองก็ต้องการสนับสนุนให้เกิดผลแบบนั้น
ความรักของแฟนคลับบางทีก็หวังดีบริสุทธ์จนกุมใจเลยล่ะค่ะ ดังจนเอื้อมไม่ถึงก็ไม่เป็นไร อยากซัพพอร์ตให้มากที่สุดเท่าที่ไหว
แต่ แบรนด์ไม่ควรสร้างกิจกรรมและเงื่อนไขที่เอาเปรียบจนเกินไป เพราะขึ้นชื่อว่าผู้บริโภค มีสติคิดวิเคราะห์แยกแยะ ว่าอะไรเกินควร หากต้องการเป็นที่รักไปนาน ๆ อย่าลืมเช็ก Feedback บ่อย ๆ เอาลูกค้าเป็นสำคัญด้วยนะคะนักการตลาด
– แฟนคลับ ลูกค้า : ได้ซัพพอร์ตตามกำลังซื้อ และได้ทำกิจกรรมกับศิลปิน
อย่างที่นุ่นบอกว่า นักการตลาดอย่ามองกำลังซื้อเป็นแค่ยอดขาย กะจะกอบโกยอย่างเดียวไม่ได้ค่ะ เพราะมันเกิดจากความรักแรงซัพพอร์ตที่อยากส่งไปถึงศิลปิน ปัจจัยการทุ่มเงินต้องขึ้นอยู่กับแบรนด์ที่จัดกิจกรรมด้วยว่าแฟร์แค่ไหนนะ
Concern Point ที่แบรนด์ต้องระวัง
– ภาพลักษณ์ของแบรนด์จะเปลี่ยนไป
ถ้าแบรนด์จัดกิจกรรมให้แค่คนที่มียอดซื้อสูงสุด ถ้าไม่ใช่แบรนด์ที่ High end หรือแมสติดตลาดมากอยู่แล้วคุณอาจถูกมองว่าเอาแต่ได้อย่างเดียว
ไม่ได้มอง Brand Character Related เลยซักนิดว่าเหมาะไหม เพราะฉะนั้นอยากแนะนำให้มีกิจกรรมอื่น ๆ ควบคู่ด้วย เพื่อให้วาไรตี้หลากหลายค่ะ เอาภาพลักษณ์แบรนด์ที่เราต้องการเป็นที่ตั้งเลย
– หากไม่ใช่แบรนด์ที่อยากจ่าย ไม่อยากให้มีกิจกรรม Top Spender
แบรนด์ที่ใหม่ในตลาด หรือใหม่สำหรับกลุ่มแฟนคลับของพรีเซ็นเตอร์ ต้องพิจารณาก่อนใช้กลยุทธ์ Top Spender มากระตุ้นยอดขายหรือสร้างการรับรู้ในครั้งแรกนะคะ ทั้งนี้ แบรนด์ที่ยกตัวอย่างด้านบนยังไม่มีรายละเอียดเพิ่มเติมแต่อย่างใด นุ่นแค่เอา insight ที่เจอของกลุ่มแฟนคลับที่โดนกิจกรรมยอดซื้อสูงสุดบ่อย ๆ มาให้อ่านกันเฉย ๆ ค่ะ
มีดารา ศิลปินบางท่านตัดสินใจไม่รับ Top Spender Event
อย่างไรก็ตาม เป็นความสมัครใจของผู้มีชื่อเสียงแต่ละท่าน โดยใน T-Entertainment นุ่นก็เห็นบ้างแล้วที่ตัดสินใจแบบนี้ เพราะเหตุผลส่วนตัว รวมทั้งมี Feedback จากแฟนคลับเข้ามาว่า ‘คนที่ไม่มีเงิน ไม่มีสิทธิติ่งบ้างเลยหรอ’ ก็มีค่ะ แบรนด์ต้องศึกษาทั้งฝั่งผู้มีชื่อเสียง และแฟนคลับให้ดี รีเสิร์จยิ่งแน่นเราจะยิ่งตัดสินใจได้ถูก
ขอปิดท้ายด้วยตัวอย่างกิจกรรม Top Spender ที่เรียกเสียงฮือฮาเมื่อเร็ว ๆ นี้ มาให้อ่านปิดท้ายกันนะคะ
ตัวอย่าง Top Spender Campaign Meet & Greet ‘คิมซูฮยอน’ ยอดสูงสุด 4.7 ล้าน
นอกจากจะสมการรอคอยแล้ว นักแสดงคิมซูยอนที่มีผลงานซีรีย์ดังมากมาย แฟนไทยรอมาหลายปีทั้งเข้ากรมทั้งโควิด-19 คำว่าครั้งแรก และนาน ๆ ทีมันค้ำคอค่ะ อันดับ 1 ไม่ได้เป็นญาติเจ้าสัวนะคะ แค่เป็นนักลงทุนที่ฉลาดสุด ๆ ยอดซื้อสูงสุด 4.7 ล้านบาท คือยอดจากการซื้อ >> ทองคำ <<
งานนี้ได้เจอผู้ชายแล้วยังได้กำไรจากการซื้อขายทองอีกแน่นอน บร้ะ เห็นครั้งแรกตบเข่าเลย ทำไมปังอย่างนี้ ^ – ^
ตัวอย่าง Top Spender Campaign #YSLBEAUTYTHxBAMBAM ยอดสูงสุด 2.3 ล้าน
เกาหลีก็แค่ปากซอย แต่เกาหลีที่ได้ไปเจอแบมแบมก็ต้องสู้กันหน่อย 4 ท่านที่เป็น Top Spender ของ YSL ก็มาจากการซื้อสินค้า แล้วลดราคาพิเศษให้คนใน Fandom เพื่อให้มีคนช่วยหารเยอะ ๆ
คนในด้อมก็ได้ YSL ในราคาลด ส่วนคนลงยอดซื้อก็ได้จำนวนออเดอร์ WIN-WIN กระทั่งกับคนในด้อมด้วยกันเลยนะเนี่ย ซึ่งก็เกิดจากความสมัครใจทั้งสองฝ่ายค่ะ
ที่ยกมาไม่ใช่ว่าจะ Bias กิจกรรมยอดซื้อสูงสุดนะคะ เพราะตัวนุ่นเองไม่ได้มีกำลังซื้อขนาดนั้น และไม่ได้มีคนรู้จักเยอะจนจะมีคนช่วยซื้อขนาดนั้น แต่มองความเป็น Brand Value ให้ศิลปินที่อยู่ไกลคนละประเทศ มีโอกาสก็อยากให้ศิลปินมีงาน มีเงิน มีชื่อเสียงเท่าที่ต้องการอยู่แล้วค่ะ
อย่างไรก็อยากให้มีกิจกรรมธรรรมดาเสริมด้วย เชื่อว่าแบรนด์อื่น ๆ งานในไทยอื่น ๆ มันจะตามมาหลังจากที่ยอดปังแน่นอน นี่คือมุมมองของนุ่นค่ะ แต่ถ้าแบรนด์ไหนกะมาเอาเปรียบ ลูกค้าพร้อมทัวร์ลงสุด ๆ เหมือนกันนะคะ (ตัวอย่างรถทัวร์ #ฟู้ดทรัคโกงเหรอ)
สรุปแล้ว Top Spender Campaign / Event – การตลาดแบบนี้ใคร WIN ?
มองในแง่ยอดจากกิจกรรม แน่นอนว่าแบรนด์ WIN
มองในแง่ศิลปิน ดาราที่ได้มูลค่าแบรนด์สูงขึ้น แน่นอนว่าศิลปิน WIN
มองในแง่แฟนคลับที่ได้กิจกรรมกับคนที่ปลื้ม แน่นอนว่าแฟนคลับ WIN
ต้องขึ้นอยู่กับว่ายอดซื้อสูงสุดของแบรนด์อะไร รางวัลคืออะไร และมีบ่อยหรือควบคู่กับกิจกรรมอื่น ๆ ด้วยไหม แต่สิ่งที่แบรด์ควร concern ก็มีเช่นกันนุ่นแนะนำให้มีกิจกรรมอื่น ๆ ควบคู่ด้วยเลยจะดีกว่าค่ะ เพื่อให้วาไรตี้หลากหลาย เอาภาพลักษณ์แบรนด์ที่เราต้องการเป็นที่ตั้งเลย
แนะนำสำหรับแบรนด์
- มีระบบอัปเดตยอดซื้อแบบ Real-Time
- ระบุเงื่อนไขการซื้อให้ชัดเจน ยอดขั้นต่ำ สาขาที่ร่วมรายการ สินค้าที่ไม่ร่วมรายการ การอัปใบเสร็จหลักฐาน
- เลือกผู้มีชื่อเสียงที่สอดคล้องกับภาพลักษณ์แบรนด์ ฐานแฟนคลับมีความใกล้เคียงกับกลุ่มลูกค้า
นี่คือทั้งหมดที่อยากมาแชร์กันในบทความนี้ค่ะ บางความเห็นอาจเป็นมุมมองส่วนตัวของนุ่นคนเดียว ใครมีความเห็นอื่น ๆ อยากแชร์ มาพูดคุยกันได้ แต่อย่าดุนะใจบางค่ะ ฮุฮุ