The Digital Renaissance & Rising Generation นิยามใหม่ของงานศิลป์ในยุคดิจิทัล

Email LinkedIn Tweet Facebook ShareShares754

เมื่อ Classic Art หรือศิลปะแบบดั้งเดิมผสมผสานรวมตัวเข้ากับเครื่องมือดิจิทัลรอบตัวในวันนี้ ทำให้เกิดนิยามใหม่ของคำว่าศิลปะ ความงาม และงานศิลป์ ในแบบที่เราต้องมาทำความเข้าใจกันใหม่ว่าอาร์ตในวันนี้คืออะไรได้บ้างครับ

งานศิลปะสุดอินดี้ที่ใครหลายคนแค่ได้ยินว่า “งานศิลปะ” ก็อาจจะส่ายหัวแล้วบอกว่าเป็นเรื่องไกลตัวเพราะตัวเองไม่รู้สึกอิน แต่งานศิลปะในวันนี้ถูกปรับให้เข้ากับคนยุคใหม่ ที่แม้ไม่ใช่สายอาร์ตก็สามารถเสพได้ง่าย และยังสนุกแบบมีส่วนร่วมได้ด้วย AR หรือ Augmented Reality ครับ

เช่นที่กรุงลอนดอนประเทศอังกฤษ องค์กรที่โด่งดังเรื่องศิลปะและวัฒนธรรมของบ้านเขาอย่าง Tate Britain ก็หันมาสนใจเรื่องการใช้เทคโนโลยีคู่ขนานไปกับศิลปะและวัฒนธรรมมากขึ้น เพื่อให้คนเข้าชมงานอาร์ตได้รับประสบการณ์ที่สนุกสนานกลับบ้านไป

The Digital Renaissance & Rising Generation นิยามใหม่ของศิลปะในยุคดิจิทัล

ทำให้ล่าสุดเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา London Art Museum ได้เปิดตัวงานศิลป์ที่ผสมผสานกับเทคโนโลยี AR ออกมาเป็นชุดงานศิลปะที่ชื่อว่า The Virtual Wing ครับ

ซึ่งงานศิลป์ชุดนี้จะถูกคัดสรรเอาชิ้นงานที่มีเรื่องราวน่าสนใจขึ้นมา 8 ชิ้น เพื่อให้ผู้เข้าชมงานสามารถหยิบมือถือของตัวเองขึ้นมา แล้วเปิดกล้องส่องเข้าไปที่ผลงานทั้ง 8 ชิ้นนี้ เพื่อได้เห็น ได้ฟังเรื่องราวที่มาของงานชิ้นนั้น ในแบบที่งานศิลปะแบบเดิมทำไม่ได้

โดยผลงานครั้งนี้ของ London Art Museum เป็นการร่วมมือกับ Facebook Creative Shop และ The Mill บริษัทด้านออกแบบดีไซน์และโฆษณาชื่อดังที่นั่น

และไม่ใช่ที่ที่กรุงลอนดอนประเทษอังกฤษเท่านั้นที่ใช้ AR ผสมผสานกับงานศิลปะ แต่ที่อเมริกาก็ไม่น้อยหน้ากัน เพราะบริษัทนวัตกรรมอย่าง Apple นั้นได้จับมือกับองค์กรงานศิลป์อย่าง New York City’s New Museum เพื่อสร้างงานศิลปะแบบยุคใหม่ โดยพวกเขาได้ไปเฟ้นหา Creators หรือนักสร้างสรรค์ผลงานจาก 7 สาขาที่แตกต่างหลากหลาย

โดย Creator เหล่านี้ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ความเชี่ยวชาญเรื่องเทคโนโลยี AR แต่อย่างไร แต่สามารถคิดและสร้างสรรผลงานอาร์ตใหม่ๆที่อยู่ภายในตีมของงานว่า Apple’s [AR]T Walk เป็นทิศทรรศการงานศิลปะที่ใครๆก็สามารถเดินชมได้ตามท้องถนน และผลงั้นทั้งหมดก็ได้ถูกเผยแพร่ออกไปเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2019 ที่ผ่านมาในตีมของงานที่เล่นกับ Cityscape หรือเมืองที่มีตึก City Jungle ต่างๆอย่าง นิวยอร์ก ซานฟรานซิสโก ฮ่องกง ปารีส และโตเกียว

จุดประสงค์หลักของงานนี้สำหรับ Apple และ New Museum ก็คือ ความตั้งใจที่จะขยายขอบเขตของงานศิลปะให้ออกมาในรูปแบบใหม่ๆมากขึ้น ให้มีความเป็น Digital ด้วยเทคโนโลยี AR เพราะเขาชื่อว่า AR เป็นเสมือนหนึ่งเครื่องมือตัวกลางที่ช่วยทำให้งานศิลป์เดิมๆน่าสนใจเพิ่มมากขึ้น เข้าถึงง่ายมากขึ้น ช่วยขยายการเล่าเรื่องที่งานศิลปะเดิมไม่อาจทำได้มาก่อนด้วยผืนผ้าใบธรรมดา

แถมยังทำลายกรอบของความคิดที่ว่างานศิลปะต้องเข้าไปชมไปเสพที่แกลอรี่หรือสตูดิโอของศิลปินเท่านั้น ทำให้การรับชมงานศิลปะไม่น่าเบื่อเข้าถึงยาก ในแบบที่หลายๆคนคิดและรู้สึกอีกต่อไปครับ

แล้วนอกเหนือจากงานศิลป์แบบคลาสสิคแล้ว วันนี้งานศิลป์แนว Street Art แบบเฉพาะกลุ่มหรือที่บ้านเราชอบเรียกกันว่า เด็กแนว เองก็หันมาใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มความ Motion ที่ไม่ธรรมดาให้กับภาพ แถมยังไม่ใช่ภาพธรรมดา เพราะมันคือภาพในรูปแบบ Gif

ฟังดูเผินๆเหมือนไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเร้าใจ แต่อยากให้ลองดูคลิปของ Street Art ที่ผสมผสานกับ AR นี้เสียก่อน แล้วคุณจะว้าวเหมือนที่ผมว้าวทันทีครับ

ในคลิปด้านบนนี้จะเป็นขั้นตอนการทำงานของนักวาด Street Art ที่ชื่อ Insa ทำเอาทึ่งจนลืมไม่ลง เพราะว่าเขาจะต้องวาดบนผนังหรือพื้นถนนจุดเดิมซ้ำหลายๆครั้ง หรือเรียกได้ว่าทำให้งานมันซ้อนกันหลายๆ Layer จนกว่ามันจะครบ Loop แล้วเมื่อเอาทุกภาพมาเรียงซ้อนกันทีละเฟรม ก็จะกลายเป็นไฟล์ Gif สุดเจ๋งในแบบที่น่าจะนิยามให้ว่าเป็น Digital Crafted ที่สุดอีกหนึ่งผลงานเลยก็ได้ครับ

โดยงานอาร์ตแนวใหม่นี้ที่ผสมผสานระหว่าง Street Art กับ Motion Picture นี้ถูกนิยามใหม่ว่าเป็นแนว GIF-iti คือการทำภาพ Graffiti เดิมๆให้เคลื่อนไหวได้ด้วย AR ด้วยการร่วมมือกับ Shutterstock เมื่อเปิดแอปในมือถือขึ้นมาส่องไปที่ภาพ Graffiti บนผนังของศิลปินคนนี้แล้ว คุณก็จะเห็นภาพที่มันเคลื่อนไหวในแบบที่เป็นไปได้เพราะเทคโนโลยีดิจิทัลครับ

ต่อมาที่กรุงโรมประเทศอิตาลี เมืองที่ทุกคนต่างยอมรับกันดีว่าที่นี่เป็นเมืองแห่งศิลปะของโลกครับ ล่าสุดแบรนด์ดังสุดหรูอย่าง Dolce & Gabbana ก็มีการหยิบงานศิลปะสไตล์โรมสุดคลาสสิคอย่าง Baroque มาเป็นแนวทางในการตกแต่งร้านสาขาใหม่ให้โดดเด่นหรูหราในแบบที่ไม่ธรรมดา แต่เพราะความเป็น Baroque ที่คนยุคใหม่อาจไม่เข้าใจและต่อให้เข้าใจก็ไม่สนใจ เพราะพอพูดถึงงานศิลปะแนวนี้เหล่าวัยรุ่นก็จะพาลคิดไปถึงศิลปินรุ่นเก่าๆตั้งแต่สมัยโบราณก็ว่าได้

ทาง Dolce & Gabbana เลยหยิบเอาศิลปะสไตล์ Baroque มาประยุกต์ใหม่ให้เข้ากับยุคสมัยจนออกมาในรูปแบบของ Contemporary Art มากขึ้น โดยสื่สารผ่านทางวัสดุหรือเทคนิคที่ใช้จัดร้าน เช่น การใช้ทองเหลือง ผ้าเหลืองเงาสีเวลเวตท์ มาร์เบิลแบบ 15 สไตล์ โมเสกระยิบระยับ ริชวอลนัท และโคมไฟระย้ายที่ทำจากแก้วมูราโน่ เรียกได้ว่าเป็นการเอาของเก่ามาเล่าใหม่ในรูปแบบที่อร่อยถูกใจคนยุคใหม่สมัยนี้ครับ

สุดท้ายแล้ววันนี้กลุ่มเป้าหมายที่หลายแบรนด์อยากได้ก็คงหนีไม่พ้นกลุ่ม Rising Generation หรือกลุ่มเด็กยุคใหม่ที่กำลังจะมา (Gen Z ก็เป็นหนึ่งในกลุ่มสำคัญในกลุ่มนี้) ฉะนั้นถ้าแบรนด์ของคุณอยากจะจับคนกลุ่มนี้ให้ได้ อย่าลืมหยิบสินค้าหรือบริการของคุณเข้ากับเทคโนโลยีดิจิทัลใหม่ๆที่อยู่ในมือเค้าให้มากที่สุด เพราะอย่างที่รู้กันว่าพวกเขาเหล่านี้โตขึ้นมากับแอพพลิเคชั่นมากมาย ที่มีทั้ง Filters ตลกๆอย่าง Face Swaps หรือ Emojis

ไม่เหมือนคนในยุคก่อนหน้า ไม่ว่าจะ Gen Y หรือ Gen Z หรือที่เรียกว่าเป็นยุคเปลี่ยนผ่านระหว่าง Analog สู่ Digital ครับ ดังนั้นลองหาอะไรที่จะทำให้พวกเขาลืมไม่ลงดู อย่างที่เราเห็นในตัวอย่างด้านบนมากมาย สร้างประสบการณ์สนุกสดใหม่จากการใช้ AR บวกกับศิลปะสไตล์ต่างๆที่เคยนิ่งๆ เรียบๆ แบนๆ ไร้ชีวิต เข้าถึงยาก ทำให้มีชีวิตขึ้นมา ทำให้มันน่าออกไปถ่ายแล้วแชร์ออกไปตามดิจิทัลไลฟสไตล์ของพวกเขา

เพื่อให้พวกเขาที่เป็น Rising Generation อยากที่จะเดินเข้ามาหาเราด้วยตัวเอง และทำให้การสร้างสรรค์งานศิลป์ยังคงเป็นอาชีพที่กลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง เหมือนยุค Renaissance แรกเมื่อหลายร้อยปีก่อน เพราะเรากำลังอยู่ในยุคดิจิทัล ดังนั้นถึงเวลาของ The digital renaissance ครับ

ทำความรู้จัก Rising Generation หรือ Gen Z ต่อ > https://www.everydaymarketing.co/trend-insight/gen-z-insight-jwt-intelligence/