เทรนด์ Social Commerce 2023 และการวางกลยุทธ์บนโซเชียล
โอกาสในการของเทรนด์ Social Commerce 2023 และการวางกลยุทธ์บนโซเชียลเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดี และเพิ่มโอกาสในการขาย
เมื่อเราย้อนกับไปในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ก้าวหน้าของแพลตฟอร์มโซเชียลมาตลอด จากการอัปเดตแบบ text ที่เรียบง่าย ไปสู่คอนเทนต์ที่เป็นภาพ รวมถึงพวกสตอรี่ และปัจจุบันได้กลายเป็นยุคแห่งคอนเทนต์วิดีโอ เห็นได้ชัดจากจากแพลตฟอร์มน้องใหม่อย่าง TikTok ที่ออกมาสร้างปรากฎการณ์นางปาด แซงทุกแอปฯ ในเวลาสั้นๆ และในขณะเดียวกัน Social Commerce ก็เฟื่องฟูสุดๆ
ปลื้มมองว่าเป็นเรื่องน่าสนใจที่ได้เห็นว่าเทรนด์เหล่านี้ได้ขับเคลื่อนนวัตกรรมในโซเชียลมีเดียที่นอกเหนือจากการสื่อสารกับกลุ่มเพื่อนและครอบครัวแล้ว ยังเพิ่มโอกาสและการเติบโตของโซเชียลมีเดีย ทำให้ตอนนี้แบรนด์มีบทบาทมากขึ้นในสิ่งที่เราเห็นในทุกช่องทางเลยนั่นเองค่ะ
Social Commerce คือ
คือ การค้าผ่านโซเชียล ซึ่งมันจะแตกต่างจากการตลาดบนโซเชียลมีเดียตรงที่มันไม่ได้เปลี่ยนเส้นทางผู้ใช้ไปยังร้านค้าออนไลน์ แต่ให้พวกเขาสามารถชำระเงินได้โดยตรงภายในเครือข่ายที่พวกเขากำลังใช้อยู่ในขณะนั้นได้ทันที โดยที่ไม่ต้องจากแอปฯ ค่ะ
ทั้งนี้ Social Commerce มีอิทธิพลต่อส่วนแบ่งธุรกรรม E-Commerce ที่มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง และด้วยยอดขายอีคอมเมิร์ซที่คาดว่าจะเติบโต 56% ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ซึ่งสูงถึงประมาณ 8.1 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2026 ทำให้นักการตลาด เริ่มกำหนดกลยุทธ์โซเชียลคอมเมิร์ซในปีนี้ และพร้อมสำหรับการเติบโตอย่างยั่งยืนผ่าน E-Commerce
แม้ว่าเราจะดูที่ E-Commerce แบบดั้งเดิมเป็นหลัก แต่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคจะอยู่เหนือช่องทางและจะมีอิทธิพลต่อ Social Commerce อย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับนักการตลาดที่จะคว้าโอกาสนี้
ต้องบอกว่า Social Commerce เป็นเรื่องที่น่าสนใจในปัจจุบันนี้ค่ะ เพราะเกือบทุกคนมีโซเชียล และใช้มันในทุกวันๆ จึงไม่แปลกใจที่โซเชียลมีเดียจะสร้างประสบการณ์อีคอมเมิร์ซขึ้นมาได้ จนหลายธุรกิจเล็งเห็นในการที่จะใช้กลยุทธ์บนโซเชียลคอมเมิร์ซ ซึ่งในปี 2023 จะมีโอกาสในการค้าบนโซเชียลและกลยุทธ์ที่น่าสนใจอะไรบ้างมาดูกันค่ะ
1. เข้าถึงผู้บริโภคบนแพลตฟอร์มที่คนนิยม
จากข้อมูลงานวิจัยปี 2022 ของ Hubspot พบว่า 22% ของผู้บริโภค มักที่จะค้นพบผลิตภัณฑ์ใหม่ผ่านโซเชียลมีเดีย พร้อมกันนี้ผู้ใช้ก็ชอบที่จะมีส่วนร่วมในการกระทำต่างๆ ตั้งแต่การหาความคิดเห็นจากผู้คนทั่วไปและแบรนด์ หรือการส่งข้อความถึงเพื่อนโดยตรงเพื่อขอความคิดเห็น ก่อนที่จะทำการซื้อนั่นเองค่ะ
2. สร้างประสบการณ์การชอปปิงที่ดี
สำหรับ Customer Journey และกระบวนการในการตัดสินใจซื้อ ล้วนมีโอกาสที่ลูกค้าจะเปลี่ยนใจอยู่เสมอ ดังนั้นการสร้างประสบการณ์ที่ดี ที่ราบรื่น โดยการลดรอยต่อและเสนอตัวเลือกการซื้อโดยตรง เช่น คลิกเดียวจะช่วยเพิ่มความมั่นใจของผู้บริโภคและนำไปสู่การขายที่มากขึ้น มันจะทำให้ลูกค้ามีโอกาสตัดสินใจน้อยลง อย่าง TikTok ในตอนนี้แทบจะล้ำหน้าแพลตฟอร์มอื่นในการเป็น Social Commerce ไปแล้วค่ะ
3. ใช้ประโยชน์จากการเติบโตของ E-Commerce
อย่างที่เราเห็นการเพิ่มขึ้นของตลาด E-Commerce นั่นแปลว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่เริ่มคุ้นเคยกับการซื้อของผ่านออนไลน์กันแล้ว จึงทำให้นักการตลาดเริ่มแข่งขันทางออนไลน์กันมากขึ้น และวางกลยุทธ์บนโซเชียลกันอย่างหนัก นี่อาจจะเป็นทริคที่เพิ่มโอกาสในการขายให้ดีขึ้น
เน้นสินค้ายอดนิยม
แม้ว่าผู้คนจะคุ้นเคยกับการซื้อในช่องทางโซเชียล แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลหลักที่พวกเขาอยู่ที่นั่นจริงไหมคะ พวกเขามักเช็คอินบน Instagram, Facebook , TikTok หรือ Twitter เพื่อสัมผัสกับกับถ่ายภาพ/วิดีโอที่ยอดเยี่ยม ติดต่อกับเพื่อน ๆ หรือดูว่าข่าวที่กำลังเป็นกระแสเป็นอันดับแรกๆ
แต่สิ่งเหล่านี้เรียกว่าคอนเทนต์ ที่จะนำไปสู่ความต้องการ อยากได้ อยากซื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปลื้มมองว่าการมองเห็นสินค้าซ้ำๆ เห็นครั้งแรกอาจจะรู้สึกว่าชอบ เห็นครั้งต่อๆ ไปอาจจะทำให้เริ่มอยากได้แล้ว และยิ่งเห็นว่าสินค้านั้นคนกำลังฮิตกัน ก็ยิ่งเป็นที่ต้องการ นี่จึงทำให้คอนเทนต์บนโซเชียลผลักดันให้เกิดการซื้อด้วยอารมณ์ขณะไถฟีด
เพราะจากข้อมูลของ Instagram พบว่า ผู้คน 60% ค้นพบผลิตภัณฑ์ใหม่บนแพลตฟอร์มของตน และผู้ใช้บอกว่าเมื่อพวกเขาได้รู้สึกชื่นชอบจากสิ่งที่เห็น พวกเขาจะทำการเพื่อค้นหาและซื้อทันที ดังนั้นหากเราได้ดำเนินการสร้าง Facebook Shop , Instagram Shopping หรือ TikTok Shop เหล่านี้ล้วยผลักดันยอดขายได้คุ้มค่าแน่ๆ
ทดลองใช้ Chatbots และ ‘Chat Commerce’
มีงานวิจัยพบว่าผู้บริโภคจะใช้จ่ายมากขึ้นเมื่อประสบการณ์การชอปปิงของพวกเขาเป็นแบบ Personalized แต่สิ่งนี้อาจทำได้ยากในระดับหนึ่งค่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโซเชียลมีเดียที่คุณควบคุมโครงสร้างพื้นฐานของช่องได้น้อยกว่ามาก
โอกาสที่จะรับมือกับก็คือการใช้ แชทบอท แม้ว่าแชทบอทจะมีข้อจำกัดว่าความสามารถที่จะเจาะจงในการตอบ แต่ก็สามารถให้คำตอบที่ง่ายและรวดเร็วสำหรับคำถามของผู้บริโภคได้ และยังให้ประโยชน์ทางธุรกิจมากมายอีกด้วย สิ่งนี้ช่วยให้เราสามารถประหยัดเวลา เงิน สร้างความไว้วางใจ และแก้ปัญหาตอบคำถามที่ลูกค้าสงสัยได้เบื้องต้น
หนึ่งในตัวอย่างของแบรนด์ที่ใช้แชทบอทเพื่อปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าคือ LEGO ซึ่งบอทนี้มีชื่อว่า Ralph เขาพร้อมให้บริการแก่ผู้บริโภคทุกวันและมอบประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมโดยช่วยให้ผู้คนเลือกและซื้อของขวัญที่สมบูรณ์แบบตามอายุและความสนใจของผู้รับได้อย่างรวดเร็วเลยค่ะ
ร่วมมือกับ Influencers เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือและการเข้าถึง
Influencer Marketing ถือการตลาดที่นิยมกันมากสำหรับนักการตลาด ในการเพิ่มความน่าเชื่อถือและการเข้าถึง จึงทำให้การใช้อินฟลูฯ เป็นประโยชน์กับแบรนด์ในเวลาที่รวดเร็วและง่ายอีกด้วย โดยเฉพาะบนออนไลน์ Micro-Influencers เป็นที่น่าจับตาเลยค่ะ เพราะการใช้อินฟลูฯ ระดับ Micro หลายๆ คน หรือใช้คนหมู่มากพูดถึงแบรนด์ จะทำให้ผู้บริโภคหันไปทางไหนก็มีแต่คนพูดถึง จนเลี่ยงไม่ได้ที่จะลองตัดสินใจซื้อนั่นเองค่ะ
สรุป
อย่างที่เราเห็นกันอยู่แล้วว่าโซเชียลมีเดียยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของ E-Commerce ในปีนี้จะสร้างโอกาสมากขึ้นสำหรับแบรนด์ต่างๆ ในการสร้างประสบการณ์ Social Commerce สิ่งนี้จะช่วยให้แบรนด์ต่างๆ สร้างประสบการณ์การชอปปิงที่ไร้รอยต่อและเข้าถึงผู้บริโภคในช่องทางที่พวกเขาใช้ในทุกวัน
แต่เพื่อให้ประสบความสำเร็จใน Social Commerce 2023 นักการตลาดต้องมีกลยุทธ์ที่ชัดเจนและใช้ช่องทางที่เหมาะสมเพื่อเชื่อมต่อกับกลุ่มเป้าหมายของเรา จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีหากเรายังใหม่กับการค้าผ่านโซเชียล และสำหรับแบรนด์ที่ต้องการก้าวไปอีกขั้นลองเรียนรู้กับนวัตกรรมใหม่ๆ เช่น แชทบอท เพื่อช่วยประหยัดเวลา และสร้างความไว้วางใจกับผู้บริโภคได้ ก็เป็นทางเลือกใหม่ๆ ที่พัฒนาไปตามยุคที่น่าสนใจทีเดียวค่ะ
สำหรับใครที่อยากอ่านบทความเกี่ยวกับการตลาดเพิ่มเติม หรือข่าวสารการตลาด สามารถติดตามได้จาก เพจการตลาดวันละตอน รวมไปถึง เว็บไซต์ Twitter Instagram YouTube และ Blockdit ของการตลาดวันละตอนด้วยนะคะ