10 Luxury Brand Trends 2025 รวมเทรนด์การตลาดแบรนด์หรู Part 2

10 Luxury Brand Trends 2025 รวมเทรนด์การตลาดแบรนด์หรู Part 2

จากบทความก่อนหน้าที่ปูครึ่งแรกของ 10 Luxury Brand Trends 2025 คงพอจะเห็นภาพว่าเทรนด์การตลาดแบรนด์หรูนั้นมีทิศทางแบบไหน และรวมถึงเทรนด์การตลาดที่จับกลุ่มคนรวยมากๆ ที่มีน้อยบนโลกแต่กลับมีทรัพย์สินล้นเหลือในปัจจุบันนี้

ใครที่อยากเข้าใจแบรนด์หรู อยากเข้าถึงกลุ่มลูกค้าคนรวยที่มีเงินมาก เชื่อว่าบทความวันนี้จะเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนๆ นักการตลาดในการตลาดวันละตอนไม่น้อยครับ

6. Clandestine Retail เทรนด์ร้านลับเฉพาะลูกค้ากระเป๋าหนักเท่านั้นที่รู้

หนึ่งในสิ่งที่ Luxury Brand ทำกันอยู่เสมอคือการขึ้นราคาเพื่อจำกัดจำนวนลูกค้าให้ไม่มากจนสินค้าของแบรนด์ดูธรรมดาเกินไป เพราะการที่คุณจะเป็น Luxury Brand ได้หมายความว่าคุณต้องทำให้คนส่วนมากอยากได้ แต่น้อยคนนักที่จะสามารถเป็นเจ้าของได้ นี่คือกลยุทธ์การตลาดหลักของ Luxury Brand ที่มีมาช้านาน

แต่จะทำอย่างไรเมื่อมีคนฐานะเพิ่มขึ้นจำนวนไม่น้อยทุกวันนี้ (แม้คนส่วนมากกว่านั้นจะจนลงอย่างมากแบบสวนทางกัน) ทำให้เราเริ่มเห็นคนใช้ Luxury Brand กันเกร่อมากขึ้นเรื่อยๆ

นั่นเลยเป็นโจทย์ของแบรนด์หรูทั้งหลายว่าจะทำอย่างไร ที่จะทำให้แบรนด์หรูยังคงเสน่ห์ความพิเศษต่อไปได้ ก็เลยเป็นที่มาของเทรนด์นี้ Clandestine Retail

แปลเป็นไทยแบบภาษาบ้านๆ มันคือการที่แบรนด์หรูเปิดร้านลับเฉพาะกลุ่มลูกค้า Top Spender จริงๆ เท่านั้น ไม่ใช่หน้าร้านทั่วไปที่ใครๆ ก็มายืนต่อคิวเพื่อเข้าไปดู เข้าไปลอง และซื้อสินค้าได้

เพราะวันนี้เราคงเห็นแล้วว่าบรรดา Luxury Brand ทั้งหลายมีคนยืนต่อคิวหน้าร้านกันยาวเหยียด แม้ดูเผินๆ อาจเป็นการทำให้แบรนด์นั้นดูน่าสนใจอยู่เหมือนเดิม แต่ในอีกมุมหนึ่งของลูกค้าชั้นดี Top Spender เหล่านั้นเบื่อที่จะต้องต่อแถวรอคิวทั้งที่ตัวเองเป็นลูกค้าชั้นดีใช้เงินด้วยปีละหลายล้าน ไปจนถึงหลายสิบล้าน

“If you know, you know” โซนนี้เฉพาะ VVIP ด้วยกันเท่านั้น

เพราะโซนพื้นที่ลับให้บริการเฉพาะลูกค้ากลุ่ม VVIP เหล่านี้ไม่ได้มีรูปภาพเปิดเผยผ่านสื่อให้คนนอกได้เห็น เลยเป็นพื้นที่แสนจะลึกลับแบบว่าน้อยคนนักมากๆ จะรู้ว่าที่นี่คือที่ไหน

ดังนั้นใครที่เห็นภาพนั้นแล้วรู้ว่ามันคือโซนลับเฉพาะลูกค้า VVIP ของแบรนด์หรูก็ย่อมหมายความว่าคุณก็คือเพื่อนกันกับเรา ที่ความหมายคือระดับเดียวกัน

มันคือคลับเฉพาะของกลุ่ม Top Spender แบรนด์นั้นที่จะรู้ว่าในนั้นมีหน้าตาเป็นอย่างไร ตัวอย่าง Chanel มีการเปิด Les Salons Privé ในเมืองกวางโจวและเซินเจิ้นที่ประเทศจีน

Chanel Salons Privé คลับลับเฉพาะ Top Spender

ซึ่งให้บริการเฉพาะลูกค้ากลุ่ม VVIP เท่านั้น โดยมีการตกแต่งเสมือนอยู่ในปารีสต้นตำรับแบรนด์แม่ ซึ่งข้างในนั้นมีทั้งขนมและอาหารแสนพิเศษให้บริการ เสมือนกับ Lounge ของพวกบัตรเครดิตกลุ่ม Wealth เพียงแต่คุณจะเข้าไปได้ต้องใช้เงินกับแบรนด์นั้นตั้งแต่หลักล้านบาทต่อปีขึ้นไป

พนักงานเองก็ถูกเทรนมาอีกระดับ เพื่อให้บริการคุณอย่างพิเศษสุด ให้สมกับที่คุณอุตส่าห์ใช้เงินกับแบรนด์มากมายตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา และคนที่จะเข้ามายังพื้นที่ลับของ Chanel นี้ได้ก็จะต้องได้รับการเชิญเท่านั้น ดังนั้นแค่ซื้อเยอะๆ ยังไม่พอ ยังต้องมาลุ้นอีกว่าแบรนด์จะเชิญคุณให้เข้ามาใช้บริการได้เมื่อไหร่

https://www.facebook.com/mimmy917/posts/chanel-salon-priv%C3%A9-peninsulahongkong-the-peninsula-hong-kong/1098657810312211/

นี่คือกลยุทธ์การแยกลูกค้าที่พร้อมซื้อแบรนด์เราสักปีละชิ้น กับลูกค้าที่เข้ามาซื้อสินค้าจากแบรนด์เราเดือนละชิ้น เพราะถ้าลูกค้าทั่วไปก็แค่ต่อคิวเข้าไปจับจ่ายใช้สอยได้ตามปกติ แต่ถ้าเป็นลูกค้าสุดพิเศษ VVIP ก็สามารถเดินเข้าโซนลับของร้าน หรือร้านลับของแบรนด์ที่คนนอกได้แต่มองด้วยความอิจฉาแล้วก็เข้าไปเลือกช้อปกระเป๋าหรือเสื้อผ้าที่อยากได้กับพนักงานโดยไม่ต้องต่อคิว

Gucci ร้านไม่ลับแต่คนข้างนอกไม่รู้

Chanel อาจเน้นความเรียบหรูความลึกลับ ตามสไตล์แบรนด์คาแรคเตอร์ผู้ก่อตั้งที่ไม่ชอบคุยโวเสียงดัง แต่กับ Gucci อาจเป็นอีกฝั่ง เพราะแบรนด์นี้ค่อนข้างจัดจ้านกว่าทั้งในแง่ของสไตล์ ไปจนถึงการออกแบบร้านที่ส่งต่อมายังร้านลับที่ไม่ค่อยลับเพราะป่าวประกาศโจ้งๆ แต่คนข้างนอกไม่มีทางรู้ข้างใน

Gucci เปิดพื้นที่โซนลับสำหรับลูกค้า VVIP ที่ได้รับเชิญเท่านั้นจึงจะเข้ามาใช้บริการได้ พื้นที่โซนนี้มีขนาดใหญ่ถึง 430 ตารางเมตรโดยประมาณ อยู่ที่เมือง Los Angeles อยู่ตรงหัวมุม Melrose Avenue บนร้านไม่ลับนี้มีป้ายบิลบอร์ดขนาดใหญ่อยู่ด้านบน ทุกคนรู้ว่าตรงนี้คืนพื้นที่เฉพาะลูกค้า VVIP เพียงแต่ทุกคนข้างนอกไม่สามารถมองเข้าไปเห็นกิจกรรมข้างในได้แต่อย่างไร แต่คนข้างในสามารถมองออกไปข้างนอกเห็นทุกอย่างได้สบายๆ

ช่างมีความไพรเวทท่ามกลางพับลิคสมกับที่เป็นแบรนด์ Gucci จริงๆ และลูกค้าที่จะได้รับเชิญให้เข้ามาใช้บริการร้านไม่ลับแต่คนนอกไม่รู้แห่งนี้ต้องมียอดใช้เงินตั้งแต่ 1,500,000 ถึงระดับหลักร้อยล้านบาท

แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่ลูกค้าส่วนใหญ่ของแบรนด์ Gucci แน่นอน ต้องเป็นลูกค้าที่ Loyalty หรือ Brand Lover มากๆ ทำให้คนข้างในร้านไม่ลับนี้จะมีเรื่องคุยกันยาวเกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ของชาว Gucci ตั้งแต่ใช้รุ่นไหน ได้มาจากที่ใด ไปจนถึงหน้าหนาวครั้งถัดไปวางแผนจะไปเที่ยวเมืองไหน แล้วเมืองนั้นมีร้าน Gucci อยู่ตรงไหนบ้าง

สรุปเทรนด์แบรนด์หรู Clandestine Retail เมื่อ Luxury Brand โตสวนทางเศรษฐกิจที่ซบเซาเสมอ

ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่ซบเซาย่ำแย่จากหลากหลายปัญหาที่รุมเร้า ตั้งแต่ปัญหาสงครามระหว่างประเทศ การเมืองการปกครอง เงินเฟ้อ และอื่นๆ อีกมากมาย แม้คนส่วนใหญ่กว่า 99% บนโลกจะต้องประหยัดและรัดเข็มขัดค่าใช้จ่ายกันมากขึ้น แต่ก็อย่าลืมว่ายังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่น้อยกว่า 1% แต่ยังคงมีกำลังซื้อไม่ลดลงจากเดิมสักนิด ดีไม่ดีพวกเขายังมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมาจากการเห็นโอกาสใหม่ๆ ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจโลกแบบนี้

นั่นทำให้แบรนด์หรูขยับปรับกลยุทธ์ใหม่ ไม่เน้นสร้างการเติบโตด้วยการขายเพิ่มขึ้น หรือลดราคาสินค้าลงเพื่อให้ผู้คนเข้าถึงง่ายขึ้นแต่อย่างไร แต่พวกเขาเน้นการสร้างภาพลักษณ์ความหรูหราใหม่ขึ้นไปอีกระดับ เน้นการสร้างสังคมกลุ่มคนที่เลิฟแบรนด์มากๆ คนที่จ่ายให้กับแบรนด์มากพอจึงจะได้สิทธิ์พิเศษที่สมกับคำว่าพิเศษจริงๆ

7. Branded Residences จากแบรนด์หรูสู่บ้าน เทรนด์แบรนด์หรูหันมาทำอสังหากันมากขึ้น

จากแบรนด์หรูสู่บ้าน เมื่อ Luxury Brand หันมาทำธุรกิจอสังหากันมากขึ้น ลองคิดภาพดูนะครับว่า Porsche จะออกแบบบ้านสักหลังบ้านหลังนั้นจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร หรือถ้ารถยนต์หรูอย่าง Aston Martin จะมาทำวิลล่าริมทะเลหละ มันจะน่าตื่นเต้นขนาดไหน

นี่คือเทรนด์ใหม่ของ Luxury Brand ทั้งหลายที่เริ่มขยายตลาดไปสู่การธุรกิจอสังหาหรือการสร้างบ้าน ทำที่อยู่อาศัยให้ลูกค้าที่รักแบรนด์มากได้ซื้อเพิ่มเอาไว้จอดรถให้ตรงกับแบรนด์เป็นต้น

ลองมาดูตัวอย่างกันดีกว่าครับว่ามี Luxury Brand อะไรบ้างที่ลงมาเล่นในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ตั้งแต่ทำบ้านทั้งหลัง หรือห้องชุดคอนโดขายกันจริงแล้วในเวลานี้

Porsche Design Tower คอนโดสุดหรูสำหรับคนรักปอร์เช่

ตึก Porsche Design Tower เป็นคอนโดที่ให้เจ้าของสามารถเอารถขึ้นไปจอดบนห้องตัวเองได้ เรียกได้ว่าแค่มีรถยังไม่พอต้องมีคอนโดเอาไว้จอดรถที่ตัวเองรักด้วย ส่วนราคาก็น่ารักๆ ห้องละแค่ 800 ล้านบาทหน่อยๆ เอง

ตึก Porsche Design Tower แห่งนี้อยู่ที่เมืองไมอามี ถ้าใครสนใจก็ลองแวะไปดู และไม่ใช่แค่ขับปอร์เช่เท่านั้นจึงจะจอดได้ เพราะผู้อยู่อาศัยตึกนี้มีซูเปอร์คาร์มากมายเอาเข้ามาจอดบนคอนโดกัน

และภายใต้แบรนด์ Posrche ก็ยังมีอีกหนึ่งโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่น่าสนใจอีกแห่งที่ประเทศอังกฤษ กับการร่วมมือระหว่าง Thames Living ที่ร่วมมือกับ Porsche Consulting ในการพัฒนาโปรเจคที่อยู่อาศัยและพื้นที่ใช้สอยต่างๆ ตั้งแต่สวนสาธารณะ โรงแรม ร้านค้า ร้านอาหาร บริเวณริมแม่น้ำเทมส์อังโด่งดังกลางกรุงลอนดอนครับ

Bentley Residences บ้านของชาวเบนท์ลีย์

มาดูตึกคอนโดของชาวเบนท์ลีย์กันบ้าง โครงการนี้มีชื่อว่า Bentley Residences ที่ตั้งใจให้เป็นคอนโดริมทะเลที่สูงที่สุดในสหรัฐอเมริกา อยู่ริมหาดไมอามี(อีกแล้ว) ด้วยความสูงกว่า 230 เมตร และจะนำนวัตกรรมความหรูหราทุกอย่างของ Bentley เข้ามาไว้ในบ้านคุณ เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์แบบเบนท์ลีย์ตลอด 24 ชั่วโมง

คอนโดแห่งนี้มีทั้งหมด 63 ชั้น แต่มีจำนวนห้องแค่ 216 ยูนิตเท่านั้น ในขณะเดียวกันก็จัดเต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลางมากมาย มีกระทั่งห้องตีกอล์ฟในร่ม

Aston Martin Residences คอนโดหรูที่ยังสร้างไม่เสร็จแต่ Sold Out แล้ว

Aston Martin หนึ่งในแบรนด์ Luxury Car จากประเทศอังกฤษ หนึ่งในยานพาหนะคู่ใจสายลับเจมส์ บอนด์ 007 มายาวนาน(ยกเว้นภาคที่ BMW เบียดเข้ามาเป็นสปอนเซอร์) โครงการนี้ไม่ได้สร้างริมหาดแบบโครงการก่อนหน้า แต่จะสร้างขึ้นใจกลางเมืองไมอามี

มีทั้งหมด 391 ยูนิตที่เปิดให้จอง เพียงแต่ใครสนใจตอนนี้อาจจะช้าไปเพราะพวกเขาขายหมดนานแล้ว รวมถึงห้อง Penthouse สุดหรูหราที่มีราคาสูงถึง 59 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นเงินไทยก็แค่สองพันล้านหน่อยๆ เป็นห้องที่เหนือกว่า Duplex เพราะมีสามชั้นในห้องเดียวจึงเรียกว่า Triplex

จากบ้านในฝันของแบรนด์รถยนต์ Super Car ลองมาดูบ้านในฝันที่พร้อมขายจริงแล้วจาก Luxury Fashion Brand กันดีกว่า

Karl Lagerfeld เมื่อแบรนด์แฟชั่นหรูจับมือบริษัทอสังหาเพื่อสร้าง Luxury Villa ในดูใบ

Karl Lagerfeld ใครเป็นสายแฟชั่นสักนิดตามข่าว Luxury Brand สักหน่อยคงต้องเคยได้ยินชื่อไม่มากก็น้อย เมื่อวันนี้พวกเขาจับมือกับ Taraf บริษัทอสังหาริมทรัพย์ใน UAE ว่าจะร่วมกันสร้างโครงการบ้านวิลล่าหรูในเมืองดูใบ แล้วก็มีแผนจะขยายโครงการอสังหานี้ไปในประเทศสเปน และมาเลเซีย ในอนาคตอันใกล้นี้

ปฏิเสธไม่ได้ว่าวิกฤตราคาบ้านทั่วโลกกลางเมืองสำคัญต่างๆ เพิ่มขึ้นสูงมากจนคนทั่วไปไม่สามารถเป็นเจ้าของบ้านในเมืองได้อีกต่อไป ทำให้แบรนด์หรูต่างๆ มองสิ่งนี้เป็นโอกาสที่จะพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยให้มีราคาดีดสูงขึ้นไปอีก

ด้วยการร่วมมือกันระหว่าง Luxury Brand ผู้เชี่ยวชาญในการเพิ่มมูลค่าด้วยการออกแบบประสบการณ์และรายละเอียดต่างๆ กับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เดิมที่มีความเชี่ยวชาญในการออกแบบและสร้างที่อยู่อาศัยจริงๆ

จากรายงานของ Knight Frank บอกว่าตลาด Luxury Living จะเติบโตเฉลี่ย 12% ทุกปีจนถึงปี 2026 และจากการขยายตัวของแบรนด์หรูมาสู่ธุรกิจอื่นๆ ก็ยิ่งเป็นการส่งเสริมให้แบรนด์เหล่านั้นเพิ่มความหรูหราในมูลค่าแบรนด์สูงขึ้นไปได้อีกมาก

นี่คือการเปลี่ยนผ่านจาก Product ไปสู่ Lifestyle จริงๆ เพราะมันคุณได้ใช้ชีวิตอยู่ในแบรนด์นั้นตลอด 24 ชั่วโมง ย่อมหมายความว่าคุณคือ Brand Ambassador ที่หายใจเข้าและออกเป็นแบรนด์นั้นอย่างปฏิเสธไม่ได้

8. Restratified Experience กลยุทธ์การตลาดจับกลุ่มลูกค้าสุดหรู Top Tier 1% Strategy

ในเทรนด์ของการตลาดหรูหรา Luxury Brand Marketing 2025 ย่อมจะธรรมดาไม่ได้ และในเทรนด์ที่ 8 นี้ก็จะเป็นการพูดถึงเทรนด์ธุรกิจร้านค้าที่ทำมาเพื่อจับลูกค้ากลุ่ม 1% หรือ 0.1% บนในสังคมเท่านั้น ลองมาดูกันดีกว่าว่าร้านสำหรับกลุ่ม Top 1% นั้นมีหน้าตาอย่างไร ให้บริการแบบไหน และคิดราคาเท่าไหร่กัน

Var Matin สำนักข่าวท้องถิ่นฝรั่งเศสรายงานว่า มีร้านอาหารสุดหรูสำหรับกลุ่มลูกค้า Top 1% ที่เมือง St Tropaz ทางตอนใต้ของฝรั่งเศสที่เพิ่งเปิดให้บริการแค่ตอนปลาย 2023 เท่านั้น แต่กลับดังเป็นพลุแตกเพราะนอกจากพวกเขาจะเสริฟอาหารแสนอร่อยและให้บริการแบบสุดใส่ใจ ร้านนี้ตั้งค่าบริการสำหรับอาหารแต่ละมื้อไว้เริ่มต้นที่ 5,400 ดอลลาร์ หรือคิดเป็นเงินไทยก็เกือบสองแสนบาทครับ

Photo: https://www.thestaffcanteen.com/2-Michelin-Star-Chefs/2-michelin-star-chefs-alex-dilling-hotel-cafe-royal

Alex Dilling เป็นร้านอาหารในโรงแรม Cafe Royal ในกรุงลอนดอนที่ได้รับดาวมิชลินถึงสองดวง พวกเขาก็ทำการกำหนดค่าอาหารต่อลูกค้าหนึ่งคนที่จะเข้ามาใช้บริการว่าต้องสั่งไม่น้อยกว่า 410 ดอลลาร์ คิดเป็นเงินไทยก็ราวๆ หมื่นสี่พันบาท ผ่านเซ็ตเมนูเริ่มต้นของทางร้าน

หรือถ้าใครไปกินกันสองคนบิลค่าอาหารก็จะสูงถึง 1,000 ปอนด์ หรือคิดเป็นเงินไทยก็ราวๆ 45,000 บาท นี่คืออีกวิธีใหม่ในการคัดสกรีนลูกค้ากลุ่ม Top 1% โดยใช้ราคาค่าใช้บริการขั้นต่ำเป็นตัวกำหนด ไม่ได้กีดกันคนชนชั้นกลางตรงๆ ขอแค่จ่ายไหวต่อมื้อในราคาเท่านี้ก็สามารถเดินเข้ามากินได้

Masque Mumbai เป็นร้านอาหารแบบ Pop-up store ที่มาจาก Eleven Madison Avenue ที่ขึ้นชื่อเรื่องความหรูหราขั้นสุดมาอย่างยาวนาน สามารถขายที่นั่งล่วงหน้านาน 9 เดือนหมดเกลี้ยงตั้งแต่วันแรกๆ

ในอินเดียเองเทรนด์นี้ก็กำลังบูมมาก จนทำให้มีร้านอาหารจากเชฟดังๆ เกิดขึ้นมากมาย และแต่ละร้านก็คิดค่าบริการเริ่มต้นสูงตั้งแต่ 600 ดอลลาร์ หรือคิดเป็นเงินไทยก็สองหมื่นนิดๆ คิดเป็นรายได้เฉลี่ยต่อครอบครัวชาวอินเดียหนึ่งเดือน!!

พอเห็นภาพเทรนด์ร้านสุดหรูเพื่อเอาใจกลุ่มลูกค้า Top 1% ด้วยการแข่งกันสร้างประสบการณ์ขั้นสุด แล้วก็คิดราคาให้แพงสุดๆ เพื่อทำให้มันน่าสนใจมากขึ้นแล้วใช่ไหมครับ

ทีนี้ลองมาดูที่กลุ่มธุรกิจให้บริการหรือ Hospitality กันดีกว่า พวกเขากำลังปรับกลยุทธ์ตามอย่าง Fashion Brand ที่เป็น Luxury Segment ด้วยการเน้นจับลูกค้ากลุ่ม 1% เป็นหลัก

เพราะลูกค้ากลุ่มนี้คือกลุ่มที่ไม่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจแต่อย่างไร ดีไม่ดีพวกเขากลับจะรวยขึ้นจากการเห็นโอกาสใหม่ก่อนคนอื่นด้วยซ้ำ คนกลุ่มนี้ไม่ได้รู้สึกว่าเงินเป็นปัญหากับการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันสักเท่าไหร่ ปัญหาอย่างเดียวที่มีคือจะใช้เงินอย่างไรเพื่อสะสมความมั่งคั่ง หรือเก็บประสบการณ์แปลกใหม่ที่น้อยคนนักจะมีได้แทน

Photo: https://www.scmp.com/magazines/style/fashion/fashion-news/article/3241614/louis-vuittons-millionaire-speedy-priciest-bag-ever-made-pharrell-williams-new-us1-million-design

มีรายงานบอกว่าสินค้ากลุ่ม Luxury Brand กลับเพิ่มราคาขึ้นไม่น้อยกว่า 25% ตั้งแต่ปี 2019 ขนาด Louis Vuitton เองก็ยังเปิดตัวกระเป๋ารุ่นพิเศษ Millionaire Speedy ที่มีราคาหลักล้านกว่าบาท แถมที่สำคัญคือจะมีแค่เงินอย่างเดียวก็ซื้อไม่ได้ ต้องเป็นลูกค้าชั้นดีกลุ่ม Top Loyalty Customer ที่ใช้เงินกับ Louis Vuitton ต่อปีหลายล้านจึงจะได้รับสิทธิ์ในการใช้เงินต่อ

กลุ่มคนมีเงินก็ยิ่งมีเงินให้ใช้มากขึ้นทุกวัน ส่วนกลุ่มคนกลางๆ นั้นค่อยๆ กลายเป็นคนจนโดยไม่รู้ตัวลงไปทุกที

Weiying Guo รองผู้อำนวยการของ Cushman & Wakefield บริษัทด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของจีนเคยบอกว่าใครที่มีรายได้น้อยกว่า 3 ล้านหยวยต่อปี หรือ 15 ล้านบาทไทย จะไม่ถูกมองว่าเป็นกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์อีกต่อไป นี่มันยิ่งกว่าคำว่า Luxury แต่มันคือคำว่า Hyper-Luxury เสียแล้ว

จากการตลาด Pareto Marketing 20/80 สู่ Top Tier 1% Strategy 1/40

จากเดิมหลักการตลาดที่เน้นการโฟกัสลูกค้ากลุ่มคนสำคัญ 20% แรกที่อาจสร้างยอดขายให้แบรนด์มากถึง 80% จะขยับไปสู่การโฟกัสกลยุทธ์หลักและทรัพยากรทั้งหมดไปยังลูกค้ากลุ่ม Top Tier 1% Strategy หรือลูกค้าแค่ 1% ที่อาจทำยอดขายให้แบรนด์ได้มากถึง 40-50% แทน

การที่คุณจะทำสิ่งนี้ได้คุณต้องมีสองปัจจัยหลัก

  1. Customer Data หรือระบบสมาชิก Loyalty Program ที่ดีพอที่จะรู้ได้ว่าลูกค้าคนไหนคือใคร และเคยซื้ออะไรจากที่ไหนไปแล้วบ้าง
  2. Marketing Data Analyst นักวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าเพื่อนำไปต่อยอดเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่เน้นกลุ่ม Top Tier 1% Strategy ต่อไป

เราจะเริ่มเห็นแบรนด์ต่างๆ ขยับมาแย่งกลุ่มลูกค้า Top Tier 1% กันมากขึ้นเรื่อยๆ แบรนด์หรูก็จะขยับขึ้นไปอีกขั้นด้วยการยกระดับจาก Luxury Brand ไปสู่ Hyper Luxury Brand ในอนาคตอันใกล้นี้

สรุปเทรนด์ Luxury Brand Marketing 2025 Restratified Experience

คุณต้องสามารถแบ่งกลุ่มลูกค้า Top Tier 1% ออกมาได้อย่างชัดเจนและแม่นยำ จากนั้นก็เริ่มวางแผนกลยุทธ์การตลาดแสนรู้ใจ Hyper-Personalization มากขึ้น แล้วก็ต้องคิดต่อยอดสร้าง Value Enhancement ขึ้นมาให้แบรนด์คุณมีเรื่องใหม่ๆ ที่ทำให้ลูกค้าตื่นเต้นเร้าใจได้เสมอ

สุดท้ายคือคุณต้องพร้อมปรับตัวรูปแบบการทำงานและการทำธุรกิจให้เข้ากับกลยุทธ์ใหม่นี้โดยไว ถ้าคุณทำได้คุณก็จะได้ไปต่อในโลกของ Luxury Brand

9. Palatial Stays เทรนด์โรงแรมสุดหรูดุจอยู่ในวังเพื่อลูกค้ากลุ่ม Top Tier 1%

อีกหนึ่งเทรนด์ Luxury Brand Marketing 2025 ที่สำคัญก็คือการจับกลุ่มลูกค้า Top Tier 1% ในกลุ่มธุรกิจโรงแรมที่พักแบบชัดๆ เพียงแต่ความน่าสนใจคือนิยามความหรูที่เปลี่ยนไปอีกขั้น เพราะมันคือการจำลองชีวิตเสมือนอยู่ในวังด้วยราคาระดับเชื้อพระวงศ์ย่อมๆ

Bulgari จากเปิดร้านขายเครื่องเพชรมาสู่การเปิดโรงแรมสุดหรูหราที่กรุงโรมตอนปลายปี 2023 ราคาห้องพักของพวกเขาเริ่มต้นที่คือนละ 1,500 ดอลลาร์ หรือคิดเป็นเงินไทยก็ตกคืนละห้าหมื่นบาทหน่อยๆ

แต่นั่นเป็นห้องแบบเริ่มต้นที่ราคาถูกสุด(ถูกแล้วหรอ)ของโรงแรมแห่งนี้เท่านั้น เพราะพวกเขายังมีห้องพักที่เรียกว่าหรูสุดของความหรูที่เป็นห้องพักแบบ Suite 1 ห้องนอน ราคาคืนละ 41,000 ดอลลาร์ ตีเป็นเงินไทยก็ 1.4-1.5 ล้าน

ภาษาชาวบ้านคือนอน 1 คืนเหมือนทุบรถแคมรี่ทิ้งหนึ่งคันก็ว่าได้

จากอิตาลีไปดูที่ประเทศอังกฤษกันหน่อยดีกว่า ว่าห้องพักสุดหรูหราอลังการของพวกเขานั้นราคาเท่าไหร่ และอยู่ในโรงแรมไหนกัน

Peninsula London ที่เพิ่งเปิดใหม่ก็มีห้องพักเริ่มต้นที่เดือนละ 56,000 บาท ส่วนห้องสวีทก็เริ่มต้นที่ 140,000 บาท และทีเด็ดของโรงแรมแห่งนี้คือมีสุดยอดห้องพักสุดหรูหราสำหรับ Top Tier 1% ที่ชื่อว่า Peninsula Suite

เป็นห้องพักที่ว่ากันว่าใหญ่ที่สุดในกรุงลอนดอน เพราะมีพื้นที่ใช้สอยในห้องเกือบ 140 ตรม ในห้องพักนี้มีห้องทานอาหารส่วนตัวในกรณีที่ไม่อยากไปปะปนกับใคร แล้วก็ยังมียิมหรือห้องออกกำลังกายส่วนตัวในห้องพัก มีระเบียง แล้วก็มีห้องฉายหนัง เรียกได้ว่ามันคือโรงแรมในโรงแรมอีกทีจะดีกว่า

ในประเทศออสเตรียใกล้ๆ กันก็มีโรงแรมชื่อ Almanac Palais Vienna ที่เปิดตัวในเดือนเมษายน 2023 พวกเขาทำการเปลี่ยนพระราชวังเก่าให้กลายเป็นโรงแรมสุดหรูหรา ดังนั้นถ้าจะชูจุดขายว่านอนเช่นกษัตริย์ก็ไม่ผิดนัก ส่วนในญี่ปุ่นก็มีการเปลี่ยนปราสาทโบราณสองแห่งอย่าง Ozu และ Hirado ให้สามารถเข้าพักได้เช่นกัน

สรุปเทรนด์ Luxury Brand Marketing 2025 เมื่อโรงแรมหันมาแข่งกันสร้างความหรูหราเพื่อจับกลุ่มลูกค้า Top Tier 1% มากขึ้น

ดูเหมือนกลุ่มลูกค้า Top Tier 1% ที่มีกำลังซื้อสูงและไม่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกเหมือนคน 99% ทั่วไป จะต้องการสินค้าและบริการที่มีความพิเศษและหรูหรายิ่งขึ้นกว่าเก่า ทำให้มูลค่าตลาดกลุ่มนี้เพิ่มสูงมากขึ้นทุกปี

และธุรกิจโรงแรม การท่องเที่ยว ที่พัก ก็หันมาจับลูกค้าคนกลุ่มนี้มากขึ้น พวกเขาแข่งกันสร้างและตกแต่งโรงแรมให้เต็มไปด้วยความหรูหราเหนือคณานับ พวกเขาแข่งกันสร้างประสบการณ์ระดับราชวงศ์ในแบบที่คนทั่วไปไม่อาจมีได้ แค่คุณสามารถเข้าถึงได้ถ้าใช้เงินกับโรงแรมเหล่านี้

10. Athluxe เทรนด์การดูแลสุขภาพแบบคนรวย Health is New Wealth

Health is new Wealth คือหนึ่งในเทรนด์ที่กำลังมาแรงขึ้นทุกวัน เมื่อกลุ่ม Top Tier 1% จำนวนมากหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพกันอย่างจริงจังมากขึ้น เพราะมันจะมีประโยชน์อะไรถ้าเราแก่ตัวไปแล้วต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ หรือใช้ไม้เท้าตลอดเวลา เทรนด์ลูกค้ากลุ่ม Ultra Luxury ที่รวยมากๆ ในวันนี้จึงหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพกันมากขึ้น

แต่คำถามสำคัญคือพวกเขาดูแลสุขภาพอย่างไร ออกกำลังกายแบบไหน เรามาทำความรู้จัก Luxury Trends 2025 สุดท้ายกันดีกว่าครับ

Athluxe มาจากคำว่า Athlete + Luxury แปลเป็นไทยแบบบ้านๆ คือคนเล่นกีฬาแบบหรูหรา จะมาทำอะไรแบบบ้านๆ คนทั่วไปคงไม่ใช่ ก็ในเมื่อพวกเขาเป็นกลุ่มคนที่รวยมากๆ ระดับท็อป 1% ของโลกใบนี้ พวกเขาจึงมีตัวเลือกมากมายบวกกับแบรนด์ต่างๆ ก็อยากเอาใจพวกเขาให้ได้มากที่สุด เพื่อที่เงินในกระเป๋าหรือบัตรเครดิตจะถูกรูดซื้อสินค้าบริการของแบรนด์เหล่านี้

ดังนั้นเทรนด์การออกกำลังกายทุกวันนี้จึงไม่ใช่แค่เล่นเพื่อให้เสียเหงื่อ เล่นเพื่อให้สุขภาพดีขึ้น แต่มันยังสะท้อนถึงไลฟ์สไตล์ชีวิตที่หรูหราแบบคนทั่วไปยากจะเลียนแบบได้

จากข้อมูลของ VML Intelligence เผยว่ากลุ่มคนที่ร่ำรวยจริงๆ บอกว่าชีวิตที่ดีคือชีวิตที่มีสุขภาพดีและอายุยืนยาว ทำให้การมีสุขภาพร่างกายที่ดีตอนอายุที่ยังเยอะสะท้อนถึงฐานะไลฟ์สไตล์ที่แตกต่าง

และนั่นก็ทำให้เกิดธุรกิจฟิตเนสระดับ Luxury มากมายโดยที่คนทั่วไปอาจไม่รู้ ฟิตเนสที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์ล้ำๆ มากมาย ทันสมัยเพราะใช้เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดตลอด แถมยังต้องเป็นแบรนด์ที่ผ่านการคิดและดีไซน์มาเป็นอย่างดี เพื่อทำให้เมื่อเวลาเล่นแล้วถ่ายรูปออกมาก็ดูดี ออกกำลังกายเสร็จก็ได้สุขภาพที่ดีควบคู่ไป

บรรดาโรงแรมชั้นนำจึงพยายามสร้างฟิตเนสคลับที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์เครื่องออกำลังกายแพงๆ มากมาย เช่น ถ้าที่ไหนเลือกใช้ Technogym บอกเลยว่านั่นคือที่สุดของนวัตกรรมการออกกำลังกายระดับโลกที่แท้จริง

ตัวอย่างเช่นที่ Remedy Place ที่เมือง Los Angeles และ New York ในประเทศสหรัฐอเมริกา สถานที่แห่งนี้ตั้งใจออกแบบมาเพื่อดูแลทั้ง Health and Welllness ของกลุ่มลูกค้าผู้ร่ำรวยที่สามารถจ่ายค่าบริการเดือนละ 2,500 ดอลลาร์ได้ คิดเป็นเงินไทยก็ราวๆ 90,000 บาท

ซึ่งใน Remedy Place แห่งนี้ไม่ได้มีแค่เครื่องออกกำลังกาย แต่ยังมีผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพแบบรอบด้านพร้อมให้การดูแลคุณอย่างเต็มที่

แถมพวกเขายังเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีการบำบัดระดับโลกอย่าง Tech Remedies ตั้งแต่ห้องออกซิเจนความดันสูง ชุดบีบอัดน้ำเหลือง และห้องสลับอุณหภูมิแบบส่วนตัวที่สามารถเลือกแช่ในอ่างน้ำแข็งได้ หรือจะซาวนาด้วยลำแสงอินฟาเรดก็ยังได้

โดยสถานที่แห่งนี้ได้รับการออกแบบอย่างปราณีตที่ได้รับแรงบันดาลใจจากรูปทรงเลขาคณิตที่มีลักษณะเฉพาะที่ใช้กับ Remedy Place แห่งนี้เท่านั้น

โรงแรม Siro One Za’abeel จาก Kerzner International เปิดตัวเมื่อต้นปี 2024 ที่ประเทศดูไบ เป็นโรงแรมที่ไม่ได้เน้นการตกแต่งหรูหราเหมือนวังแบบเทรนด์ก่อนหน้า แต่เขาเน้นเรื่องการออกกำลังกายและดูแลสุขภาพแบบครบวงจรจริงๆ

แล้วก็ใช้การออกแบบที่หรูหรา การดูแลระดับโรงแรม 6 ดาวดีๆ และก็มีผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการที่จะคอยดูแลอาหารให้คุณทุกมื้อที่ทั้งอร่อยและดีต่อสุขภาพคุณแบบสุดๆ

ค่าห้องพักต่อคืนเริ่มต้นที่เกือบๆ สองหมื่นบาท ที่สำคัญยังมีโซน Recovery Lab หรือจะเรียกว่าห้องฟื้นฟูทั้งสภาพร่างกายและจิตใจไปพร้อมกัน สามารถช่วยลดอาการเจ็ตแลกได้เป็นอย่างดี ช่วยให้การนอนหลับคืนแรกหลังจากผ่านไฟท์บินยาวเป็นไปอย่างราบรื่นครับ

ส่วนตัวแอบบอกเลยว่าอาการเจ็ตแลกมันทรมารมาก ตอนผมบินไปปารีสมีอาการมึนๆ งงๆ เบลอๆ หลงเวลาอยู่ 4 วัน ตอนกลับมาไทยก็เป็นอีก 4 วัน ไม่สนุกเลยกว่าจะปรับตัวได้แต่ละครั้ง

ในดูใบก็ยังมีสถานทีอีกแห่งที่เน้นให้การดูแลเรื่องสุขภาพสำหรับกลุ่มลูกค้าผู้ร่ำรวยมากๆ ตามเทรนด์นี้ สถานที่นั้นมีชื่อว่า Seven Wellness Club มีการผสมผสานระหว่างการออกกำลังกายแบบชัดหนัก กับอาหารเพื่อสุขภาพจากเชฟชื่อดัง Silvene Rowe ผู้เชี่ยวชาญด้าน Biohacking ที่เน้นการเพิ่มอายุให้ยืนยาวและสุขภาพให้อ่อนวัยลงจากอายุจริง

สรุป Athluxe เทรนด์การออกกำลังกายและดูแลสุขภาพแบบคนรวย

มีการคาดการณ์ว่าเทรนด์ Health and Wellness ทั่วโลกจะมีมูลค่าสูงกว่า 7 ล้านล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นเงินไทยก็ราวๆ 245 ล้านบาทภายในปี 2025 โดยส่วนใหญ่แล้วจะมาจากกลุ่มลูกค้าผู้ร่ำรวย Top Tier 1% หรือ Luxury เป็นส่วนใหญ่

เมื่อพวกเขาไม่ได้มีปัญหาเรื่องเงิน ปัญหาเดียวที่พวกเขามีคือใครเข้าใจและมีบริการให้พวกเขาได้ใช้เงินที่มีบ้าง สิ่งที่พวกเขาต้องการไม่ใช่แค่สุขภาพที่ดี แต่ต้องเป็นไลฟ์สไตล์ที่ดีด้วย แล้วก็ต้องดูแลพวกเขาอย่างใส่ใจจริงๆ

ถ้าทำได้จะแพงเท่าไหร่ก็ไม่ใช่ปัญหา พวกเขาต้องการความหรูหรา สะดวกสบาย และต้องเป็นอะไรที่ยังคงความไม่วุ่นวายหรือไพรเวทด้วย

6. Clandestine Retail เทรนด์ร้านลับเฉพาะลูกค้ากระเป๋าหนักเท่านั้นที่รู้
7. Branded Residences จากแบรนด์หรูสู่บ้าน เทรนด์แบรนด์หรูหันมาทำอสังหากันมากขึ้น
8. Restratified Experience กลยุทธ์การตลาดจับกลุ่มลูกค้าสุดหรู Top Tier 1% Strategy
9. Palatial Stays เทรนด์โรงแรมสุดหรูดุจอยู่ในวังเพื่อลูกค้ากลุ่ม Top Tier 1%
10. Athluxe เทรนด์การดูแลสุขภาพแบบคนรวย Health is New Wealth

ครึ่งหลังของ Luxury Trends 2025 ในบทนี้จะค่อนข้างเน้นไปยังกลุ่ม Top Tier 1% ที่เป็น Ultra Luxury อย่างเห็นได้ชัด เมื่อกลยุทธ์การตลาดแบบ Pareto Marketing 20/80 อาจไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป เพราะกลยุทธ์ที่เน้น 1/50 หรือกลุ่มลูกค้าแค่ 1% ที่อาจทำรายได้ให้แบรนด์มากถึง 50% จะกลายเป็นกลยุทธ์หลักของกลุ่ม Luxury Brand นับจากนี้ครับ

ย้อนกลับไปอ่าน 10 Luxury Marketing Trends 2025 ตอนที่ 1

Source: https://www.vml.com/insight/the-future-100-2024

Nattapon Muangtum

เจ้าของเพจการตลาดวันละตอน / อาจารย์พิเศษวิชา Data-Driven Communication / เขียนหนังสือมาแล้ว 5 เล่ม Personalized Marketing, Data-Driven Marketing, Data Thinking, Contextual Marketing และ Social Listening / ที่ปรึกษา Data-Driven Advisor

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *