World’s largest virtual exhibition อาร์ตกันทั้งเมือง กับ Democratisation
ลองคิดดูเล่นๆ ว่าพิพิธภัณฑ์ หรือแกลอรีถูกปิดแบบถาวรแล้วเราจะไปเสพงานศิลปะกันที่ไหน ศิลปินจะให้พื้นที่ไหนในการแสดงออกทางความคิด
เรื่องนี้ฟังดูอาจจะไม่ใช่ปัญหายิ่งใหญ่ระดับชาติ แต่ก็เป็นปัญหาสำคัญในแง่ของการปลอบประโลมจิตใจของคนในเมืองได้
ถ้าเกิดแบบนี้ดับบ้านเมืองเราจริงๆ คิดว่าเราจะมีวิธีแก้ไขกันอย่างไร?
ใช้สื่อ Out of Home ให้เกิดประโยชน์อย่างสร้างสรรค์
ซึ่งเหตุการณ์นี้นั้นเคยเกิดขึ้นจริงแล้วที่เมืองเบลเกรด ประเทศเซอร์เบีย มิวเซียมถูกประท้วงให้ปิดตัวลงตั้งแต่ปี 2007 ทางทีมงานก็เลยร่วมกันคิดว่าทำยังไงให้คนได้เข้าถึงงานศิลปะที่อยู่ข้างในพิพิธภัณฑ์ได้
เลยปิ๊งไอเดียที่ว่างั้นเอางานศิลปะทั้งหมดที่มีมาแปะทับป้ายโฆษณาทั้งหมดในเมืองเลยแล้วกัน
World’s largest virtual exhibition เปลี่ยนบิลบอร์ดโฆษณาให้กลายเป็นงานอาร์ต
แคมเปญนี้เริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนป้ายบิลบอร์ดโฆษณาทั่วเมืองกว่า 1,700 จุด ให้กลายเป็นบิลบอร์ดสำหรับโชว์งานศิลปะทั่วเมืองแทน บอกเลยว่างานนี้ถูกใจคนคออาร์ตกันถ้วนหน้า
อยากปิดพิพิธภัณฑ์จริงก็ปิดไป เพราะตอนนี้มันอยู่ในรูปแบบ digital + physical แล้ว
ว่าไปแล้วก็อยากเห็นอะไรแบบนี้ในกรุงเทพฯหรือเมืองไทยบ้านเราจัง
พลังของสื่อ Out of Home ทำอะไรได้มากกว่าที่คิด
สื่อโฆษณาแบบ Out of Home ถูกใช้อย่างแพร่หลายมาหลายสิบปีแล้ว เนื่องจากสามารถสร้าง Awareness ได้เป็นอย่างดี เข้าถึงคนได้จำนวนมาก แถมยังเลือกกลุ่มเป้าหมายได้โดยใช้ต้นทุนในการเข้าถึงต่ำ แถมยังเปิดโอกาสให้ผู้คนได้เสพหรือได้เห็นข้อมูลที่เรานำเสนอได้ตราบใดที่เรายังอยู่ ณ สถานที่นั้น
นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมแม้จะมีเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามามากมาย แต่สื่อโฆษณาแบบ Out of Home ก็ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง
สำหรับนักการตลาดและเจ้าของธุรกิจจะลองเอาวิธีนี้ไปใช้ควบคู่กับการทำสื่อดิจิทัลก็ได้เช่นกันครับ
ส่วนใครที่อยากเรียนรู้เกี่ยวกับกลยุทธ์การทำตลาดในรูปแบบอื่นๆ แนะนำให้ไปอ่านเพิ่มเติมได้ ที่นี่
ในบทความหน้าผมจะมีอะไรมาอัปเดตอีกบ้าง สามารถติดตามได้ผ่านเพจการตลาดวันละตอน รวมถึง Twitter และ Blockdit ของการตลาดวันละตอนนะครับ