วิเคราะห์ Ansoff Matrix กับผลิตภัณฑ์ก่อสร้างครบวงจรตราจระเข้
ถ้าพูดถึงแบรนด์ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง หลายคนคงมีแบรนด์ที่นึกถึงอยู่ในใจ และแบรนด์ที่เราจะพูดถึงกันในบทความนี้ ผู้เขียนก็เชื่อว่าหลายคนก็คงคุ้นเคยกับแบรนด์นี้อยู่ไม่น้อย นั่นคือแบรนด์จระเข้ นั่นเองค่ะ ซึ่งเราจะมาดูกลยุทธ์การตลาดของจระเข้ ผ่านมุมมององการ วิเคราะห์ Ansoff Matrix กัน
ผลิตภัณฑ์ก่อสร้างครบวงจร ตราจระเข้
ก่อนอื่นเลยเรามาทำความรู้จักกับแบรนด์ จระเข้ กันก่อนดีกว่าค่ะ บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เป็นหนึ่งในผู้นำด้านนวัตกรรมก่อสร้างของประเทศไทย มีชื่อเสียงในฐานะผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ก่อสร้างคุณภาพสูงค่ะ
จุดเด่นของจระเข้คือ การนำเสนอโซลูชันก่อสร้างครบวงจร ครอบคลุมตั้งแต่งานรากฐานไปจนถึงหลังคา ไม่ว่าจะเป็นงานก่อสร้างใหม่ งานซ่อมแซม หรืองานตกแต่ง รวมทั้งบริษัทก็มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทุกระดับ ตั้งแต่เจ้าของบ้านไปจนถึงผู้รับเหมาโครงการขนาดใหญ่อีกด้วยค่ะ เรียกได้ว่าตอบโจทย์ผู้บริโภคแบบนี้ไม่แปลกที่ผลประกอบการครึ่งปีแรก ของจระเข้ทำรายได้ราว 2,000 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโต 5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน
โดย ดร. จิรัฏฐ์ สิริเฉลิมพงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวถึงภาพรวมธุรกิจของจระเข้ ว่า “สำหรับผลประกอบการครึ่งปีแรก จระเข้ทำรายได้ราว 2,000 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโต 5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ตอนนี้เป้าหมายปี 67 ยังมุ่งสู่ 4,000 ล้านบาท
ทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์มีการเติบโตเป็นที่น่าพอใจ โดยผลิตภัณฑ์สีจระเข้ หรือ SEE JORAKAY มีการเติบโตมากที่สุด รองลงมาเป็นกลุ่มเคมีก่อสร้าง ถัดมาเป็นนวัตกรรมปูกระเบื้อง ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้ากาวซีเมนต์-กาวยาแนว ที่จระเข้เป็นเจ้าตลาดและมีส่วนแบ่งทางการตลาดค่อนข้างเยอะอยู่แล้ว ดังนั้นการเติบโตจึงไม่ได้มีความหวือหวา
ส่วนแนวโน้มครึ่งปีหลังจะคึกคักกว่าครี่งแรกแน่นอน ด้วยแรงหนุนจากช่วงพีคของการท่องเที่ยว ทั้งโรงแรมและโรงพยาบาล รวมไปถึงโครงการต่างๆ จากภาครัฐ ซึ่งสินค้าก่อสร้าง-ซ่อมแซมบ้าน น่าจะได้รับอานิสงส์ด้วย โดยผลิตภัณฑ์ครบวงจรของจระเข้ ตอบโจทย์งานรีโนเวทและซ่อมแซมที่ครอบคลุมที่อยู่อาศัย โรงแรมรีสอร์ตหรู โรงงาน ไปจนถึงโปรเจกต์โครงสร้างพื้นฐาน จระเข้ จึงมั่นใจว่าปีนี้เราจะเติบโตอย่างแน่นอน”
นอกจากนั้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จระเข้ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนานวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สะท้อนให้เห็นจากผลิตภัณฑ์อย่าง Crocodile Road Fix Express ที่ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนได้ถึง 97% ซึ่งไม่เพียงแต่ตอบโจทย์ด้านประสิทธิภาพ แต่ยังสอดคล้องกับแนวคิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนอีกด้วยค่ะ
โดย นายวิกิจ กันฉาย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานขายในประเทศ บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวถึงความท้าทายของธุรกิจและกลยุทธ์การเติบโตในประเทศช่วงครึ่งปีหลัง ว่า “สถานการณ์เศรษฐกิจตอนนี้ถือว่าท้าทาย กำลังจ่ายลดลง คนคิดเยอะขึ้นก่อนใช้จ่าย ธุรกิจแข่งกันดุเดือดขึ้น แต่เราเห็นโอกาสในการเจาะตลาดและกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ อยู่ตลอด
ที่ผ่านมา จระเข้ ยืนหยัดอยู่ด้วยสินค้าคุณภาพและนวัตกรรมที่ตอบโจทย์แบบ Beyond Pain Point คือเราคิดตอบโจทย์ไม่พอ เราต้องเหนือกว่าและนำเสนอเทรนด์ใหม่ ๆ ที่ปรับตามทิศทางของโลกด้วย เช่น ครึ่งปีหลังนี้เราลุยเจาะตลาดเคมีก่อสร้างและผลิตภัณฑ์สีจระเข้ ณ ตอนนี้เรายังถือเป็นผู้เล่นใหม่ในกลุ่มสี
แต่เราเห็นพื้นที่ในการเติบโตเพราะเราสู้ด้วยนวัตกรรม เช่น ผลิตภัณฑ์ซ่อมพื้นถนน Crocodile Road Fix Express ที่เปิดใช้หน้างานได้ภายใน 6 ชั่วโมงและลดการปล่อยคาร์บอนได้ถึง 97% โดยได้ 2 รางวัลการันตี รางวัล Best Innovation Award 2024 จากงานสถาปนิก 67 และล่าสุดคว้ารางวัลกรีน “นวัตกรรมลดโลกร้อน” (Best Innovativeness Green Product) จากงาน SustainAsia Week 2024
ในอนาคต เราจะเดินหน้าเจาะงานโครงสร้างพื้นฐานมากขึ้น ทั้งทางด่วน รถไฟ สนามบิน และการซ่อมผิวถนนซึ่งเรามีนวัตกรรมที่โดดเด่นและตอบโจทย์มากที่สุด ทั้งยังจะสานต่อแคมเปญการตลาดที่สื่อสารเรื่องความครบวงจรของไลน์อัปนวัตกรรมก่อสร้างของแบรนด์จระเข้ ที่มีมากกว่ากาวยาแนวและกาวซีเมนต์ ซึ่งเมื่อใช้ผลิตภัณฑ์จระเข้ร่วมกัน สามารถปกป้องและดูแลทั้งบ้านและรองรับงานก่อสร้างทุกสเกล ตลอดจนลุยขยายสาขาและตัวแทนจำหน่าย ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วไทยอย่างต่อเนื่อง” อีกด้วยค่ะ
และนอกจากความแข็งแกร่งในตลาดภายในประเทศ จระเข้ยังมีวิสัยทัศน์ในการขยายธุรกิจสู่ตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม) ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพการเติบโตสูง บริษัทได้วางแผนการตั้งโรงงานในประเทศเวียดนามอีกด้วย
โดย นายพงษ์พันธุ์ ประทีปมโนวงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการค้าระหว่างประเทศ บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เล่าถึงแผนการขยายธุรกิจของจระเข้ใน CLMV ว่า “จระเข้ จัดจำหน่ายสินค้าในตลาดกัมพูชา สปป. ลาว เมียนมา และเวียดนาม มาสักพักแล้ว โดยเกือบทุกประเทศเรามีทีมงานสนับสนุน และมีสำนักงานตั้งอยู่ ทั้งในประเทศเวียดนามและพม่า
สำหรับปีนี้คาดว่าตลาด CLMV ของเราจะสร้างรายได้ราว 450-500 ล้านบาท โดยกลุ่ม CLMV เราโฟกัสไปที่ประเทศเวียดนามซึ่งเป็นตลาดใหญ่ เพราะกำลังขยายเมืองอย่างรวดเร็ว ตลอดกว่า 10 ปีที่จระเข้เข้าสู่ตลาดเวียดนาม สินค้าของเราได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีด้วยคุณภาพและนวัตกรรมที่โดดเด่น แต่ความท้าทายที่เจอคือ Local Brand ที่มีราคาย่อมเยากว่า รวมถึงพบสินค้าลอกเลียนแบบ
ตอนนี้เราจึงมีแผนตั้งโรงงานที่เวียดนามเพื่อรุกตลาดเต็มที่ พร้อมลุยแคมเปญการตลาดที่ทำให้คนจดจำแบรนด์มากขึ้น เพื่อมุ่งสู่การเป็นเบอร์หนึ่งของเวียดนามในอนาคต นอกจากนี้เรากำลังศึกษาโอกาสในการเข้าสู่ตลาดประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคอาเซียน ได้แก่ ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ซึ่งตอนนี้กำลังศึกษาแนวทางการทำธุรกิจร่วมกับพันธมิตรอยู่” ดังนั้นในบทความนี้จะพาผู้อ่านไปวิเคราะห์บริษัทจระเข้ผ่านมุมมองของ Ansoff Matrix กันค่ะ
วิเคราะห์ Ansoff Matrix กับ จระเข้
ก่อนอื่นขออธิบาย Ansoff Matrix สั้น ๆ ว่าเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่ช่วยให้ธุรกิจวางแผนการเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยพิจารณาจาก 2 อย่าง คือ ผลิตภัณฑ์และตลาด โดยแบ่งออกเป็น 4 กลยุทธ์หลัก
- การเจาะตลาด (Market Penetration) เพิ่มยอดขายผลิตภัณฑ์เดิมในตลาดเดิม เช่น เพิ่มการโฆษณาหรือจัดโปรโมชั่น
- การพัฒนาตลาด (Market Development) นำผลิตภัณฑ์เดิมไปขายในตลาดใหม่ เช่น ขยายไปยังต่างประเทศ
- การพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Product Development) สร้างผลิตภัณฑ์ใหม่สำหรับตลาดเดิม เช่น ออกสินค้ารุ่นใหม่
- การกระจายธุรกิจ (Diversification) นำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ในตลาดใหม่
ซึ่งในแต่ละกลยุทธ์มีระดับความเสี่ยงและโอกาสแตกต่างกันค่ะ การเลือกใช้กลยุทธ์ก็ขึ้นอยู่กับเป้าหมาย ทรัพยากร และสภาพแวดล้อมทางธุรกิจของธุรกิจนั้น ๆ ค่ะ
ดังนั้น Ansoff Matrix ช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจเลือกแนวทางการเติบโตที่เหมาะสมที่สุดสำหรับองค์กร ทำให้สามารถจัดสรรทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพและเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จได้ค่ะ
สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ Ansoff Matrix คืออะไร เครื่องมือช่วยคิด ก่อนขยายธุรกิจให้ปัง
จากข้างต้นที่เราได้อธิบายไป เชื่อว่าผู้อ่านหลายท่านคงเห็นคร่าว ๆ ว่าจระเข้นั้นมีการใช้กลยุทธ์ใดบ้างใน Ansoff Matrix ดังนั้นในส่วนต่อไป ผู้เขียนจึงขออธิบาย วิเคราะห์ Ansoff Matrix กับ จระเข้ ดังนี้ค่ะ
#1 Market Penetration เพิ่มยอดขายผลิตภัณฑ์เดิมในตลาดเดิม จระเข้มุ่งเน้นการเพิ่มส่วนแบ่งตลาดในประเทศไทยซึ่งเป็นตลาดหลักโดยการ
- ขยายสาขาและตัวแทนจำหน่ายให้ครอบคลุมทั่วประเทศ
- รักษาระดับราคาสินค้าแม้ต้นทุนสูงขึ้น เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน
#2 Product Development สร้างผลิตภัณฑ์ใหม่สำหรับตลาดเดิม บริษัทจระเข้ไม่หยุดนิ่งในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในตลาดเดิมโดย
- พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น Crocodile Road Fix Express
- สร้างนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ “Beyond Pain Point” เพื่อแก้ปัญหาที่ลูกค้าอาจไม่รู้ตัวว่ามี
#3 Market Development นำผลิตภัณฑ์เดิมไปขายในตลาดใหม่ จระเข้กำลังขยายตลาดไปยังพื้นที่ใหม่ด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่โดย
- มุ่งเน้นการขยายตลาดไปยังกลุ่มประเทศ CLMV โดยเฉพาะเวียดนาม
- เจาะตลาดงานโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ทางด่วน รถไฟ และสนามบิน
#4 Diversification แม้จะเป็นกลยุทธ์ที่มีความเสี่ยงสูงสุด แต่จระเข้ก็กำลังพิจารณาโอกาสในการเติบโตแบบนี้
- เข้าสู่ตลาดผลิตภัณฑ์สีและเคมีก่อสร้าง ซึ่งเป็นการขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ไปยังตลาดใหม่
- ศึกษาโอกาสในการขยายตลาดไปยังฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย
จากวิเคราะห์ Ansoff Matrix ของจระเข้แสดงให้เห็นถึงกลยุทธ์การเติบโตที่ครอบคลุมและสมดุล บริษัทไม่เพียงแต่มุ่งเน้นการเติบโตในตลาดเดิม แต่ยังกล้าที่จะก้าวออกไปสู่ตลาดและผลิตภัณฑ์ใหม่อีกด้วยค่ะ แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ทางธุรกิจที่ครอบคลุมและมีการวางแผนอย่างรอบด้านอีกด้วยค่ะ
ผู้เขียนเองก็มองว่าหากจระเข้สามารถดำเนินการตามกลยุทธ์นี้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งปรับตัวตามสถานการณ์ตลาดที่เปลี่ยนแปลง จระเข้มีโอกาสสูงที่จะบรรลุเป้าหมายการเติบโตและรักษาความเป็นผู้นำในตลาดนวัตกรรมก่อสร้างได้อย่างยั่งยืนค่ะ
นอกจากการใช้ Ansoff Matrix แล้วอีกหนึ่งสิ่งที่ผู้เขียนมองว่าเป็นจุดแข็งของจระเข้ ก็คือความยั่งยืน (Sustainability) โดยบริษัทจระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ได้ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนในหลายด้าน ซึ่งสะท้อนให้เห็นจากนโยบายและผลิตภัณฑ์ของบริษัททั้ง
การมีนวัตกรรมผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม เพราะจระเข้ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น Crocodile Road Fix Express ซึ่งช่วยลดการปล่อยคาร์บอนได้ถึง 97% จนได้รับรางวัล “นวัตกรรมลดโลกร้อน” (Best Innovativeness Green Product) จากงาน SustainAsia Week 2024 ค่ะ
และยังมีการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยบริษัทมีนโยบายด้านความยั่งยืนในทุกกระบวนการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำสู่ปลายน้ำ และมุ่งสู่การเป็นองค์กรที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) รวมทั้งจระเข้เน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูง ทนทาน ซึ่งช่วยลดการเปลี่ยนหรือซ่อมแซมบ่อยครั้ง ซึ่งการผลิตสินค้าที่มีอายุการใช้งานยาวนานช่วยลดปริมาณขยะและการใช้ทรัพยากรในระยะยาวอีกด้วยค่ะ
และสุดท้ายเราจะเห็นว่าจระเข้ได้ปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจให้สอดคล้องกับเทรนด์ความยั่งยืนของโลก จากบทสัมภาษณ์ที่ว่าที่ผ่านมา จระเข้ ยืนหยัดอยู่ด้วยสินค้าคุณภาพและนวัตกรรมที่ตอบโจทย์แบบ Beyond Pain Point คือคิดตอบโจทย์ไม่พอ แต่ต้องเหนือกว่าและนำเสนอเทรนด์ใหม่ ๆ ที่ปรับตามทิศทางของโลกด้วย ซึ่งต้องนี้เองช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์นั่นเองค่ะ
นอกจากนั้นจระเข้เองก็ได้บอกเพิ่มเติมว่ากลุ่มสีจระเข้ มีจุดเด่นคือ ปลอดภัย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยคุณภาพมาตรฐานสูงสุดระดับเวิลด์คลาส ตอบโจทย์ครอบครัวและธุรกิจที่ใส่ใจผู้คนและสิ่งแวดล้อม โดยตอนนี้ทุกอุตสาหกรรมมุ่งสู่ความยั่งยืน ซึ่งจระเข้ ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น ลูกค้าทุกกลุ่มจึงมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ของจระเข้ มีคุณภาพและคำนึงถึงความยั่งยืนในทุกกระบวนการผลิต นี่คือจุดแข็งที่ชัดเจนที่ทำให้จระเข้โตได้ในยุคนี้
ซึ่งการให้ความสำคัญกับความยั่งยืนของจระเข้ไม่เพียงแต่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในระยะยาวอีกด้วยค่ะ เพราะเป็นการตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นนั่นเองค่ะ
และทั้งหมดนี้คือ วิเคราะห์ Ansoff Matrix กับผลิตภัณฑ์ก่อสร้างครบวงจรตราจระเข้ ถ้าชอบ หรือ สนใจอยากอ่านบทความด้านการตลาดแบบนี้อีก ผู้เขียนฝากติดตามด้วยนะคะ หรือ ถ้าใครอยากให้ผู้เขียนนำมุมมองการตลาดแบบไหนมาเล่าให้ฟัง สามารถคอมเมนต์บอกกันได้เลยนะคะ
สำหรับนักอ่านที่ชอบ และ อยากอ่านบทความเกี่ยวกับการตลาดเพิ่มเติม รวมถึงข่าวสารด้านการตลาดต่าง ๆ สามารถติดตามได้จาก เพจการตลาดวันละตอน รวมไปถึงเว็บไซต์ Twitter Instagram YouTube ของการตลาดวันละตอนได้เลยนะคะ แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้าค่ะヽ(•‿•)ノ
อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่