สรุป Inbound Marketing Trends 2025 ทำยังไงให้ลูกค้าเดินมาหาเราเอง
ปัจจุบันในทุกอุตสาหกรรมของธุรกิจต่างก็มีการแข่งขัน แถมคู่แข่งก็มาจากทุกทิศทุกทาง ทำให้ธุรกิจต้องพยายามที่จะดึงความสนใจของผู้บริโภคและเปลี่ยนเขาเหล่านี้ให้กลายเป็นลูกค้า ซึ่งวิธีการที่เราเห็นกันบ่อยก็คงหนีไม่พ้นการโฆษณา (Advertising) แต่ในยุคนี้มันเริ่มไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป ในบทความนี้เลยจะสรุป Inbound Marketing Trends 2025 กลยุทธ์ที่จะทำให้ลูกค้าเดินมาหาธุรกิจด้วยตัวเอง จากงาน MITCON2024
What is Inbound Marketing, and why should it be used?
โดยผู้ที่มาแชร์ความรู้ใน Session นี้ก็คือคุณ ชญาตา พรหมใจรักษ์ จาก Content Shifu นั่นเองครับ โดย Inbound Marketing หรือการตลาดแบบดึงดูด เป็นการที่มุ่งเน้นการส่งมอบคุณค่าให้กับลูกค้า และการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าในระยะยาว แทนที่จะพยายามขายสินค้าอย่างตรง ๆ ซึ่งแตกต่างจากการตลาดแบบ Outbound ที่เป็นการผลักสินค้าหรือบริการไปหาลูกค้าโดยตรง
ต้องบอกว่าคนเราไม่ชอบถูกขายตรง ๆ แต่ชอบซื้อในเวลาที่พร้อม และไม่ต้องการถูกกดดันในการตัดสินใจ ยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่น การที่เราเดินเข้าไปในห้างสรรพสินค้า ถ้ามีพนักงานขายเดินเข้ามาแนะนำสินค้าโดยทันทีและติดตามอย่างใกล้ชิด เราก็มักจะรู้สึกไม่สบายใจและอาจออกจากร้านไปโดยไม่ได้ซื้ออะไร ในทางกลับกัน หากพนักงานปล่อยให้เราได้เลือกดูสินค้าเองก่อนแล้วค่อยให้คำแนะนำเมื่อเราต้องการ ความรู้สึกในการซื้อสินค้าจะดีขึ้นและเรามักจะทำการซื้อมากกว่า
ปัจจุบัน Inbound Marketing กลายเป็นแนวทางที่สำคัญมากขึ้นในยุคปัจจุบัน ซึ่งหนึ่งในปัจจัยที่ผลักดันการตลาดแบบดึงลูกค้าเข้ามา คือประสิทธิภาพของโฆษณาแบบดั้งเดิม หรือ Outbound ที่ลดลง
ในยุคที่โฆษณามีอยู่ทุกที่ไม่ว่าจะเป็นออนไลน์หรือออฟไลน์ แต่สิ่งที่ยังคงอยู่เท่าเดิมคือ “ความสนใจ” ของลูกค้า ทำให้โฆษณากลายเป็นสิ่งที่มีมากเกินไปและผู้คนเริ่มไม่สนใจมันมากเท่าเดิม และค่าใช้จ่ายในการโฆษณาก็สูงขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยเหมือนกัน
70% ของลูกค้า ชอบเรียนรู้และให้ความสนใจในตัวผลิตภัณฑ์จากคอนเทนต์ (Content) มากกว่าการโฆษณา ต้องการข้อมูลก่อนที่จะตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์
อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์นี้ก็เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการความเชื่อถือและใช้เวลาตัดสินใจในการซื้อนาน (High-Involvement or B2B) เช่น อสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงและต้องการข้อมูลก่อนการตัดสินใจนั่นเองครับ
Inbound Marketing Framework
กระบวนการของ Inbound Marketing ประกอบด้วย 3 ขั้นตอนหลัก ๆ คือ
- Attract: ดึงดูดคนแปลกหน้า (Strangers) ให้มาเป็นกลุ่มเป้าหมายที่สนใจแบรนด์ ผ่านการสร้างคอนเทนต์ที่มีคุณค่า เช่น บทความ บล็อก วิดีโอ โซเชียลมีเดีย และการทำ SEO จนคนเหล่านั้นกลายมาเป็นลูกค้าที่มุ่งหวัง (Prospect)
- Engage: สร้างความสัมพันธ์และสื่อสารกับกลุ่มลูกค้าที่มุ่งหวัง เช่น การตอบคำถาม การให้ข้อมูลผ่านอีเมล หรือใช้ระบบ Marketing Automation เพื่อช่วยให้การส่งข้อมูลอัตโนมัติมีความเหมาะสม จากลูกค้าที่มุ่งหวังกลายเป็นลูกค้า (Customer)
- Delight: มอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าหลังจากที่พวกเขาได้ทำการซื้อแล้ว ผ่านบริการหลังการขาย การติดตามผล และการสนับสนุน เช่น การใช้ Chatbot ในการช่วยเหลือลูกค้าอย่างรวดเร็ว หรือมีทีม Support ให้บริการหลังการขาย จนนำมาสู่การบอกต่อ (Promoter)
6 เทรนด์ Inbound Marketing ในปี 2025
#AI-Powered Personalization
การนำ AI เข้ามาช่วยในการสร้างคอนเทนต์และประสบการณ์เฉพาะบุคคลมากขึ้น (Personalization) โดยเฉพาะในด้านการแนะนำสินค้าหรือบริการที่ตรงกับความสนใจของลูกค้าแต่ละราย ซึ่ง Generative AI มีความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าและสร้างเนื้อหาที่เหมาะสมได้อย่างรวดเร็ว
ตัวอย่างเช่น Netflix ที่ใช้ AI ในการแนะนำคอนเทนต์ (recommendation engine) ที่ตรงกับความสนใจของผู้ใช้ โดยจะวิเคราะห์พฤติกรรมการดูของผู้ใช้แต่ละคนและสร้างหน้าโฮมที่ไม่เหมือนกัน ซึ่ง 80% ของกิจกรรมบน Netflix เกิดจากการที่ AI แนะนำคอนเทนต์ให้ผู้ใช้ ซึ่งช่วยเพิ่ม Engagement และลดอัตราการยกเลิกสมาชิก (churn rate)
Epsilon มีสถิติว่า 80% ของผู้บริโภคชอบที่จะซื้อสินค้าจากแบรนด์ที่มอบประสบการณ์เฉพาะบุคคล (Personalized Experience) เพราะผู้บริโภคจะรู้สึกว่าแบรนด์รู้จักพวกเขาและเข้าใจความต้องการ
#Visual Search Optimization
การใช้ Google Lens ค้นหาสินค้ามากกว่า 12,000 ล้านครั้งของทุก ๆ เดือนในปีที่ผ่านมา ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า Visual Search กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้น
การค้นหาด้วยภาพ (Visual Search) ที่สามารถค้นหาข้อมูลสินค้าโดยใช้รูปภาพ ซึ่งสิ่งที่นักการตลาดต้องทำคือการปรับแต่งภาพให้เหมาะสมและทำ SEO สำหรับภาพ เช่น การตั้งชื่อไฟล์ที่เกี่ยวข้อง การใช้ Alt Text และการใส่ Metadata ที่ถูกต้องเพื่อให้ระบบค้นหาสามารถเข้าใจเนื้อหาของภาพได้ดีขึ้น
#Conversational Marketing และ Chatbots
การใช้ Chatbot ที่มี AI ในการตอบคำถามและให้บริการลูกค้าแบบเรียลไทม์ ซึ่งช่วยเพิ่ม Conversion Rate และลดระยะเวลาการตอบคำถามของลูกค้า ยิ่งไปกว่านั้น Chatbot ยังสามารถถูกปรับแต่งให้มีการสนทนาที่ใกล้เคียงกับมนุษย์มากขึ้นเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้น
Hubspot เผยว่า Chatbot สามารถเพิ่มอัตราการแปลงผู้เข้าชมเว็บไซต์ (Conversion Rate) ได้ถึง 20% และลดเวลาการตอบคำถามลูกค้า (Lead Response Time) ได้ 50%
#Content Atomization
การแบ่งคอนเทนต์หลักให้เป็นคอนเทนต์ซอยย่อยหรือเรียกว่า Repurpose และเผยแพร่บนแพลตฟอร์มต่างๆ เพื่อให้เหมาะสมกับพฤติกรรมการเสพสื่อของกลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่ม เช่น การทำบทความยาวให้กลายเป็นวิดีโอสั้นสำหรับโซเชียลมีเดีย เช่น TikTok, Instagram หรือ YouTube Short
ตัวอย่างเช่น Mission to the Moon ที่นำเสนอคอนเทนต์หลายรูปแบบและหลายแพลตฟอร์ม เช่น การทำ Podcast ผ่าน Facebook, YouTube, และเว็บไซต์ อีกทั้งยังตัดคอนเทนต์เป็นวิดีโอสั้น ๆ สำหรับ TikTok และ Instagram เพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมายที่มีพฤติกรรมเสพสื่อต่างกัน ทำให้คอนเทนต์เข้าถึงผู้คนหลากหลายและเพิ่ม Engagement ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
#Voice Search Optimization
การเพิ่มประสิทธิภาพของคอนเทนต์ให้รองรับการค้นหาด้วยเสียง ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น การที่ผู้คนใช้ Google Assistant หรือ Alexa ในการค้นหาข้อมูล ซึ่งการปรับคอนเทนต์ให้เป็นภาษาพูดที่ธรรมชาติมากขึ้นจะช่วยให้ระบบค้นหาได้ดีขึ้น
ตัวอย่างเช่น Domino’s ที่พัฒนาการใช้ Voice Search ผสานการทำงานร่วมกับ Google Assistant และ Alexa เพื่อให้ลูกค้าสามารถสั่งพิซซ่าผ่านคำสั่งเสียง เช่น “Ask Google to place my Domino’s order” ซึ่งช่วยให้กระบวนการสั่งซื้อสะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
#Community-Based Marketing
การสร้างชุมชนของผู้ที่สนใจในแบรนด์หรือผลิตภัณฑ์ เช่น การจัดงานพบปะ (Meetup) หรือการสร้าง Online Community ที่ให้กลุ่มผู้ใช้สามารถเข้ามาพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและคำแนะนำ ซึ่งจะช่วยให้แบรนด์ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าและสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งมากขึ้น
สรุปทิ้งท้าย “Attract, Not Annoy. So they come to you with joy.” ในการทำ Inbound Marketing ถ้าเราสามารถสร้างและส่งมอบคุณค่าได้ถูกที่ ถูกเวลา และส่งไปยังคนที่ใช่จริง ๆ มันจะต้องนำมาซึ่งผลลัพธ์ทางธุรกิจบางอย่างด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญอย่างมาก เพราะในโลกของธุรกิจมีให้ก็ต้องมีรับ เพราะถ้าให้อย่างเดียว ธุรกิจก็คงไม่สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนนั่นเองครับ
อ่านบทความเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องได้ที่นี่