สรุป Curate the captivate content คิดคอนเทนต์ยังไงให้นั่งอยู่ในใจคนดู
ในงาน HACKaTHAILAND นอกจากการบรรยายของพี่หนุ่ย การตลาดวันละตอนแล้ว เบสยังได้มีโอกาสฟังการบรรยายของ พี่เก่ง สิทธิพงศ์ จาก Creativetalk ผู้มากประสบการณ์ในการสร้างสรรค์คอนเทนต์อย่างโชกโชน โดยหัวข้อในการบรรยายของพี่เก่งมีชื่อว่า Curate the captivate content คิดยังไงให้นั่งอยู่ในใจคนดู
เป็นการแนะแนวการเริ่มต้นการทำคอนเทนต์ที่เบสคิดว่า สามารถเป็นทั้งพื้นฐานที่ดี แถมยังสามารถนำไปต่อยอดจากสิ่งที่พี่หนุ่ยแนะนำในคอนเทนต์สรุปก่อนหน้านี้ ได้อย่างน่าสนใจมากเลยครับ
เนื้อหาหลักของ Session พี่เก่งจะเล่าโดยใช้ 4 เรื่องที่ทุกคนควรรู้ในการทำคอนเทนต์ เพื่อให้ทุกคนสามารถทำความเข้าใจสำหรับการนำไปวางกลยุทธ์และการสร้างสรรค์คอนเทนต์ในรูปแบบของตัวเองได้ง่ายมากขึ้นครับ
Curate the captivate content คิดคอนเทนต์ยังไงให้นั่งอยู่ในใจคนดู จาก HACKaTHAILAND : 4 เรื่องที่ควรรู้ในการทำคอนเทนต์
1.รู้จัก Platform
แต่ละ Media Platform ต่างก็มีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็น รูปแบบของสื่อในการสื่อสาร, อัลกอริทึมในการ Feed คอนเทนต์, พฤติกรรมการการใช้ Platform ของ User, การให้คุณค่าเรื่องต่าง ๆ ของ Community ใน Platform และอื่น ๆ อีกมากมาย สิ่งเหล่านี้ค่อนข้างมีผลอย่างมากต่อการสร้างคอนเทนต์ของเราครับ
เพราะการที่เราเข้าใจ Platform ตั้งแต่ต้นว่าเป็นยังไง จะช่วยให้เราสามารถเข้าใจและวางแผนการสร้างคอนเทนต์ออกมาได้ว่า จะทำมันออกมาในรูปแบบไหน ในแนวทางใด ถึงจะสามารถสร้างผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดกลับมาให้กับเราได้
ดังนั้นก่อนที่เราจะเริ่มทำคอนเทนต์ เราจะต้องเข้าใจลักษณะที่แตกต่างกันออกไปของแต่ละ Platform แล้วเลือก Platform ที่ตอบโจทย์สิ่งที่เรากำลังจะทำมากที่สุด นั่นคือ การที่ Platform นั้น มีกลุ่มเป้าหมายที่มีความสนใจและพฤติกรรมการเสพสื่อ ที่ตรงกันกับสิ่งที่เราต้องการจะสื่อสาร
จากนั้นก็เพียงแค่สร้างคอนเทนต์ที่เข้ากับ Platform และตอบโจทย์กับพฤติกรรของพวกเขาให้มากที่สุด
ยกตัวอย่างเช่น
Facebook ที่มีสื่อที่ค่อนข้างหลากหลาย ทั้งแบบภาพ วิดีโอ ตัวหนังสือ และมุ่งเน้นในเรื่องของการแชร์เรื่องราวต่าง ๆ ที่ (ดูเหมือน) เป็นการให้ User ได้รับข้อมูลอย่างกว้าง ๆ ตาม Community และความสนใจของแต่ละคน ซึ่งหากเป็นยุคแรกเริ่มของโลก Digital ก็คงจะบอกได้ว่านี่คือ Platform ที่เป็นที่นิยมที่สุดของทุกเพศทุกวัยก็ว่าได้
เพียงแต่ ณ ปัจจุบัน มีข้อมูลออกมาแล้วว่า User ที่ Active จริง ๆ ใน Platform นี้ ส่วนใหญ่จะค่อนข้างเป็นพื้นที่ของคนช่วงอายุ 35 ปีขึ้นไปเป็นหลักแล้วครับ แม้ว่าข้อมูลทางสถิติแล้วจะมี Account ของคนอายุน้อยอยู่เป็นจำนวนมากก็ตาม
เพราะในความเป็นจริงแล้วคนอายุน้อยมีการใช้เวลากับ Platform นี้ค่อนข้างน้อยมาก
ดังนั้นหากเรากำลังต้องการที่จะสื่อสารด้วยคอนเทนต์ที่มีประเด็นที่พูดคุยกับคนวัย 35 ปีขึ้นไป การใช้ Facebook ก็ยังคงเป็น Platform ที่น่าสนใจอยู่ครับ ซึ่งเราก็สามารถร่ายรำการสร้างคอนเทนต์ได้อย่างหลากหลาย
ซึ่งเบสมองว่า เราอาจจะเน้นไปที่ Context เป็นประเด็นหลักมาก่อนแล้วขยายเป็นสื่อหลากหลายรูปแบบก็ได้ครับ
หรือจะเป็น TikTok น้องใหม่มาแรงแซงทุกทางโค้ง ที่เน้น Short-Video ที่เนื้อหากระชับเสพง่าย มีอัลกอริทึมในการ Feed คอนเทนต์มาให้อย่างน่าสนใจจนน่าตกใจเมื่อมันรู้จักเราดีพอ ไถ 10 ทีได้รู้ได้เสพ 10 อย่าง ภายในเวลาไม่กี่นาที เป็นความสะดวกสบายที่ Variety มาก ๆ สำหรับยุคสมัยนี้
การทำงานของ Tiktok จะต่างจาก Facebook อย่างสิ้นเชิง เพราะคอนเทนต์จะเป็นการที่ Platform ส่งมาให้เองเลย โดยที่ไม่ต้องไป Connect กับ Community ใน Platform ก่อน ซึ่ง User ก็สามารถเสพคอนเทนต์นั้นได้เรื่อย ๆ แบบ Unlimited Entertainment
ซึ่งคอนเทนต์ที่ค่อนข้างได้รับความนิยมอย่างมากใน TikTok คือ คอนเทนต์แนวตลก สนุกสนาน ที่ให้ความบันเทิงแก่ User และด้วยความใหม่และมีความหลากหลายนี้เองก็ไปถูกจริตกับเด็กรุ่นใหม่ ตั้งแต่ ปลาย Gen Y, Gen Z โดยเฉพาะใน Gen Alpha อย่างมาก
หมายความว่า หากเราต้องการทำคอนเทนต์ที่สื่อสารกับเด็กรุ่นใหม่ การเลือกใช้ TikTok ก็เป็นคำตอบที่ดีที่สุดในเวลานี้ ซึ่งความท้าทายที่เราจะต้องเจอคือการสร้างคอนเทนต์ที่นอกจากจะสามารถสื่อสารสิ่งที่เราต้องการสื่อได้แล้ว จะทำอย่างไรให้ User รู้สึกได้รับความบันเทิงไปด้วย และยินดีที่จะดูคอนเทนต์ของเราต่อไปด้วย
2.รู้จักตัวเอง
เบสเข้าใจว่าในความหมายของพี่เก่ง เราอาจจะต้องรู้จักทั้ง 4 อย่างที่บทความนี้กำลังจะเราไปพร้อม ๆ กันนั่นแหละ เราถึงจะสามารถทำคอนเทนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพได้
แต่ถ้าหากมันจะช่วยให้ทุกคนสามารถวาง Process ในการทำคอนเทนต์ของตัวเองได้อย่างง่ายดายและดีต่อตัวเราเองมากที่สุด เบสมองว่า ‘การรู้จักตัวเอง’ เป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างคอนเทนต์ที่สำคัญที่สุดเลยครับ เผลอ ๆ อาจจะต้อง Crack เรื่องนี้ให้แตกก่อนเรื่องอื่นเลยด้วย
ในข้อนี้พี่เก่งได้แชร์เกร็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ได้จากการพูดคุยกับพี่แบงค์ จาก Content Shifu อีกทีแบบแชร์ในแชร์ (ฮา) ครับว่า หัวใจการทำคอนเทนต์ให้ประสบความสำเร็จ แบ่งออกเป็น 3 เรื่องด้วยกัน ได้แก่
ความสม่ำเสมอ, คอนเทนต์ที่มีคุณภาพ และความถี่
ความสม่ำเสมอ นอกจากจะช่วยให้เรามีคอนเทนต์ปล่อยออกมาให้ Platform ผลักดันเราไปยัง User แล้ว ยังช่วยทำให้ User รู้ว่าจะได้เสพคอนเทนต์ของเราอีกทีเมื่อไรด้วย ซึ่งการที่เรามี คอนเทนต์ที่มีคุณภาพ ก็จะช่วยดึงดูดให้คนเหล่านั้นถูกใจ และมีโอกาสจะแชร์ให้คนอื่น ๆ ได้รู้จักเรามากขึ้นด้วย
นอกจากนั้นแล้วหากเราต้องการที่จะขยาย Performance ของเราให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น การเพิ่มความถี่ของการปล่อยคอนเทนต์ให้มากขึ้น ก็จะเข้ามาช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพในการสื่อสารของเราได้อย่างดี
ทั้ง 3 เรื่อง มีความสัมพันธ์กันอย่างแยกออกจากกันไม่ได้ และช่วยกันส่งเสริมทั้งในเชิงเทคนิคของ Platform และการเสพสื่อของ User ได้อย่างดี ที่จะต้องถูกรักษาและทำให้เป็นอย่างนั้นอยู่เสมอ
จุดสังเกตที่น่าสนใจคือ ปัจจุบันคนส่วนใหญ่เวลาที่จะเริ่มต้นทำคอนเทนต์ มักจะเริ่มจากการมองหาคอนเทนต์ที่ได้รับความนิยมมาก ๆ แล้วก็พาตัวเองไปทำคอนเทนต์ในรูปแบบเหล่านั้น เพื่อคาดหวังว่าจะได้รับความนิยมเช่นเดียวกันไปด้วย
ซึ่งจริง ๆ แล้วการเริ่มต้นก็ไม่มีถูกหรือผิดอะไรครับ เพียงแต่ว่า นั่นอาจกลายเป็นจุดที่ทำให้เราไม่สามารถทำคอนเทนต์ได้อย่างยั่งยืนก็ได้ครับ ดูได้จาก Content Creator หลายคนที่เพิ่งเริ่มต้นได้มานาน ต่างก็ล้มหายตายจากกันไป บ้างก็กลับมาได้ บ้างก็หายชนิดที่ว่าแฟนคลับรอเก้อกันเลยทีเดียว
และเหตุผลที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะว่า อะไรที่เราไม่ได้ชอบ อะไรที่เราไม่ได้อิน มาตั้งแต่ต้นท้ายที่สุดแล้วก็จะมาถึงจุดที่เราทำต่อไม่ไหวแล้วอยู่ดีครับ พอเราไม่ได้ชอบ เราก็จะไม่รู้ พอไม่รู้ก็จะเริ่มรู้สึกว่ามันยาก พอมันยาก ก็แทบจะหมดพลังที่จะเริ่มต้นสร้างคอนเทนต์นั้น ๆ ต่อไป
นี่คือ จุดย้อนแย้งที่เกิดขึ้นที่หลายคนมักจะพลาดไปเลยครับ
ดังนั้นหากเราต้องการทำให้มันยังยื่นจริง ๆ และจะช่วยส่งเสริมการทำคอนเทนต์ของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด มีคุณค่าต่อตัวเราและคนเสพคอนเทนต์ของเรา
การรู้จักตัวเอง ว่า เราสนใจอะไร เราถนัดเรื่องไหน เราทำอะไรได้ดี เราชอบอะไร หรือไม่ชอบอะไร แล้ววางเนื้อหาที่เราอยากจะสื่อสารให้ตรงกับสิ่งที่เราสนใจตั้งแต่ต้น จะช่วยส่งเสริมให้การทำคอนเทนต์ของเราได้อย่างดี
นอกจากจะมีคุณภาพแล้ว ยังสามารถทำอย่างสม่ำเสมอได้ และมีโอกาสที่เราจะสามารถกระตุ้น Performance ให้เกิดความถี่ได้ง่ายมากขึ้นด้วย หาจุดสิ่งนั้นให้เจอแล้วเราจะนำไปปรับกับ Platform ไหน คนดูแบบใด เทคนิคแบบไหนก็จะไม่ยากเย็นจนเกินมือเราเลย
3.รู้จักคนดู
แม้ว่าเราจะรู้จักตัวเองแล้ว รู้ว่าจะทำคอนเทนต์แบบไหน ใน Platform แบบใดแล้ว เท่านั้นก็อาจจะยังไม่พอที่จะทำให้คอนเทนต์ของเรามี Performance ที่ดี เพราะในบางที่ คอนเทนต์ที่เรามองนั้น อาจจะยังเป็นประเด็นกว้าง ๆ ที่ยังไม่มีความชัดเจนและเฉพาะตัวมากพอที่จะดึงดูดให้ User หันมาสนใจเราได้มากขนาดนั้น
พี่เก่งได้ยกตัวอย่างว่า สมมุติว่าเรากำลังทำคอนเทนต์เชิงท่องเที่ยว การพูดถึงการท่องเที่ยว เป็นอะไรที่ค่อนข้างกว้างมากและมีหลายรูปแบบมาก ๆ เลยใช่มั้ยล่ะครับ
จะดีกว่ามั้ยถ้าเกิดว่าเราทำให้ การท่องเที่ยวนั้น มีความชัดเจนมากขึ้น มีความหมายที่แคบลงที่สามารถสะท้อนให้เห็นได้ชัดเจนว่า นี่คือการท่องเที่ยวแบบไหน
เพราะว่า User สมัยนี้ทุกคนต่างมีพฤติกรรมที่มีความเฉพาะเจาะจงและตามหาสื่อที่ตรงจริตและความพอใจของตนเอง มากยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก แล้วพวกเขามีอำนาจในการเลือกเสพอย่างอิสระอยู่ในมือ
หมายความว่า ยิ่งเราสามารถทำให้คอนเทนต์ของเรา Niche (แคบลง) มากเท่าไร จะช่วยส่งเสริมให้เรามีจุดเด่น มีความแตกต่าง และยิ่งมีความชัดเจนในคอนเทนต์ของเรามากขึ้น กลุ่มผู้ชมที่ตรงกับจริตของเราจะหลั่งไหลเข้ามาเอง
ส่วนตัวเบสมองว่า ตรงนี้จะเป็นครึ่งทางระหว่างการทำสื่งที่เราชอบจริง ๆ กับ ความต้องการของ User เหมือน Demand Supply แหละครับ เราต้องหาจุดสมดุลของมันให้ดี
4.รู้จักเทคนิค
ส่วนเสริมที่จะช่วยให้เราสามารถทำคอนเทนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม นอกจากการที่เราจะทำได้อย่างตอบโจทย์ตัวเราเองและผู้บริโภคแล้ว การมีเทคนิคพิเศษจะเข้ามาช่วยให้คอนเทนต์คุณภาพของเรามีความน่าสนใจมากขึ้นและได้รับการตอบรับที่ดียิ่งขึ้นกว่าเดิมอีกมากเลยครับ
เบสคิดว่า เรื่องนี้จะค่อนข้างเชื่อมโยงกับข้อ 3. คือ เราจะต้องรู้และจับจุดให้ได้ว่า พฤติกรรมของ User นั้น ความต้องการพื้นฐานของพวกเขาต่อเรา หรือ สินค้าของเราคืออะไร สิ่งใดเป็น WoW Factor ที่ทำให้พวกเขาหันมาสนใจเราได้จากนั้นแล้วเราจะต้องหาเทคนิค หรือ กลยุทธ์ที่จะมาตอบสนองต่อสิ่งนั้น
เท่าที่เบสจับใจความได้พี่เก่งได้แชร์ 2 เทคนิคให้ทุกคนลองนำไปใช้ในการสร้างคอนเทนต์ของตัวเองดูครับ
เรื่องแรกเป็นเรื่องที่เรียบง่ายที่เบสคิดว่าหลายคนอาจจะรู้อยู่แล้วอย่าง Storytelling ที่เบสอาจจะขออนุญาตดัดแปลงและเสริมเพิ่มเติมจากที่พี่เก่งบรรยายเพื่อให้ทุกคนได้เห็นภาพมากขึ้นนะครับ
เบสคิดว่าหลายคนอาจจะยังเข้าใจผิดอยู่กับเรื่องนี้ แล้วคิดแค่ว่า เทคนิคนี้เป็นแค่เรื่องของการสร้างเรื่องราวขึ้นมาให้เป็นเรื่องเล่าให้ดูมีอะไรมากขึ้นเฉย ๆ แต่จริง ๆ แล้วเทคนิคนี้มีความลึกซึ้งกว่านั้นมากถ้าเราอยากใช้มันอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
ยกตัวอย่างเปรียบเทียบระหว่างร้านอาหาร 2 ร้าน
ร้าน A เป็นร้านอาหารจีน สภาพร้านเป็นห้องแถวที่มีโต๊ะสแตนเลสหลาย ๆ ตัว กับเครื่องปรุงขวดพลาสติกที่เห็นได้ตามร้านสะดวกซื้อทั่วไป คนขายเป็นคุณลุงชาวจีน ที่หอบเสื่อผืนหมอนใบมากับเตี่ยที่เป็นรุ่นแรกของร้านอาหารนี้ ด้วยสูตรอาหารที่เป็นสูตรพิเศษประจำตระกูล ทำให้ร้านอาหารจีนร้านนี้มีรสชาติที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร
ร้านอาหาร B เป็นร้านอาหารจีนเหมือนกัน แต่เป็นห้องแถวที่มีโต๊ะไม้และข้าวของเครื่องใช้ที่สะท้อนความเป็นวัฒนธรรมจีนสมัยก่อน คนขายเป็นคุณลุงชาวจีนที่รับช่วงต่อมาจากเตี่ยเหมือนกัน อาหารทุกจานที่คุณลุงตั้งใจทำ คัดสรรยันวัตถุดิบเป็นอย่างดี ตั้งแต่ข้าวสวยที่เป็นข้าวสวยต้นฤดูที่ให้ความนุ่มและความหอมเฉพาะตัวของข้าว
ทุกเช้าตอนตี 5 ของทุกวัน ใครที่เดินผ่านหน้าร้านจะเห็นคุณลุงยืนเคี่ยวน้ำซุปสูตรพิเศษประจำร้านที่มีส่วนผสมพิเศษที่จะให้กลิ่นหอมละมุนไปทั่วทั้งซอย รสชาติของซุปนี้จะสร้างความสดชื่นก่อนเริ่มต้นทานอาหารในร้าน และที่สำคัญคือให้ลูกค้าทุกคนได้ทานฟรี
ระหว่างร้านอาหาร A และ B ที่มีเรื่องเล่าทั้งคู่ ทุกคนคิดว่าร้านไหนน่าสนใจมากกว่ากันครับ ?
เบสค่อนข้างมั่นใจว่าส่วนจะตอบไปที่ B ซึ่งทุกคนก็อาจจะเกิดคำถามว่า เออว่ะ ทำไมล่ะเนี่ย เหมือนตอนที่เบสได้เรียนรู้เรื่องนี้ครั้งแรกเหมือนกันครับ
สาเหตุก็เพราะว่า Storytelling ไม่ใช่แค่เรื่องของการสร้างเรื่องราวแค่อย่างเดียวครับ แต่ยังเป็นเรื่องของการสร้างเรื่องราวให้เชื่อมโยงและตอบสนองต่อ ประสาทสัมผัสทั้ง 5ของคนเราด้วย
ได้แก่ การสัมผัส การมองเห็น การได้ยิน กลิ่น และรสสัมผัส ที่ส่งต่อให้เราเกิดความรู้สึกบางอย่างต่อเรื่องราวเหล่านั้น
การถูกทำให้รู้สึกจับต้องได้ เห็นภาพว่าเรื่องราวนั้นเป็นอย่างไร การถูกทำให้เกิดจินตนาการสัมผัสได้ถึงบรรยากาศ กลิ่นของข้าวที่หอมละมุน กลิ่นของน้ำซุปหอม ๆ รสสัมผัสที่เคยได้รับในความทรงจำ ทั้งหมดนั้นที่อยู่ภายในตัวเราถูกทำให้เชื่อมต่อกับเรื่องราวของร้านอาหาร B อย่างแนบเนียนเลย
เรื่องที่ 2 จะเป็นการพูดถึง Experience Design ที่เป็นเรื่องของการสร้างประสบการณ์ที่ลูกค้าจะได้รับเพิ่มเติมที่ตอบสนองต่อ WoW Factor,ความสนใจของลูกค้า ไปจนถึงกิจกรรมที่ลูกค้ากำลังให้ความนิยม
พี่เก่งให้ตัวอย่างที่เห็นภาพชัดมากคือ ยุคนี้เป็นยุคของการถ่ายวิดีโอครับ ไม่ว่าจะเป็นแบบสั้น หรือ แบบยาว เวลาที่คนเราอยู่ ณ ช่วงเวลาใดที่ตัวเองรู้สึกประทับใจ แล้วอย่างเก็บความทรงจำไว้ทุกคนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วถ่ายมันเอาไว้
อาจจะลง Ig Story โพสต์ใน Facebook หรือเก็บไว้สร้างคอนเทนต์ให้น่าสนใจมากขึ้นใน TikTok ของตัวเองต่อก็ดี
หากเราสังเกตจะเริ่มมีสิ่งที่ร้านอาหารหลายร้านเริ่มปรับตัวทำเพื่อตอบสนองพฤติกรรมเหล่านี้ เช่น การออกแบบหน้าตาของอาหารที่เสิร์ฟให้น่าสนใจมากขึ้น การออกแบบวิธีการเสิร์ฟที่แปลกใหม่ ไปจนถึงการแสดงพิเศษในร้านอาหาร ก็จะยิ่งช่วยส่งเสริมให้คอนเทนต์ของเราน่าสนใจยิ่งกว่าเดิมเช่นกัน
ถ้าใครนึกไม่ออก ดูที่คลิปด้านล่างของ Haidilao ร้านชาบูหมาล่าในดวงใจของใครหลายคนก็ได้ครับ การเต้นโดยเหวี่ยงเส้นที่เรียกว่า เส้นกังฟู เป็นการวาง Experience Design ที่ตอบสนองต่อการถ่ายวิดีโอเพื่อนำไปแชร์ลง Social Media ต่อของลูกค้าที่นอกจากจะได้ UGC ต่อร้านแล้ว ยังช่วยโปรโมทร้านของพวกเขาในตัวได้อีกด้วย
ยิงปืนนัดเดียวได้นก 3 ตัวเลยทีเดียวครับ ลูกค้าประทับใจ, ได้คอนเทนต์จากลูกค้า และได้รับการรู้จักในวงกว้างมากขึ้น
นอกจากนี้ในเรื่องของ Experience Design พี่เก่งได้แชร์เคล็ดลับไว้เป็นแนวทางสำหรับใครที่อยากนำไปปรับใช้กับการทำคอนเทนต์ของตัวเอง ให้ลูกค้าเกิดความรู้สึกประทับใจและอยากแชร์คอนเทนต์ของเราส่งต่อออกไปครับ
นั่นคือทฤษฏีที่ชื่อว่า STEPPS Theory ที่ว่าด้วยเรื่องทำไมคนเราถึงแชร์คอนเทนต์ ชอบหรือไม่ชอบคนเทนต์เหล่านั้นผ่านตัวย่อทั้ง 6 ตัว ได้แก่
S = Social Currency :
การสะท้อนให้เห็นถึงภาษีทางสังคม คอนเทนต์ของเราช่วยส่งเสริมให้เขาดูดีในสังคมของเขาได้
T = Triggers :
คอนเทนต์มี WoW Factor หรือ จุดที่น่าสนใจ กระตุกต่อมให้อย่างแชร์ส่งต่อหรือเซฟเก็บไว้ดู
E = Emotion :
คอนเทนต์มีอารมณ์หรือความรู้สึกร่วมบางอย่างกับคนดู ซึ่งส่วนตรงนี้ค่อนข้างมีความหลากหลายอยู่ที่ว่าเราเลือกให้ออกมาเป็น Mood ไหน สนุกก็ได้ ซึ้งก็ดี
P = Public :
คอนเทนต์มีความเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน อาจเป็นการอัพเดทเทรนด์ หรือสิ่งที่กำลังได้รับความสนใจโดยทั่วกันในสังคม
P = Practical Value :
คอนเทนต์มีประโยชน์กับคนดู และคนรอบตัวของเขา
S = Stories :
คอนเทนต์มีเรื่องราวที่น่าสนใจ น่าติดตาม
หลังจากที่ไปหาข้อมูลเพิ่มเติมเบสคิดว่าเรื่องนี้สามารถขยายความและสามารถนำไปปรับใช้ในการทำการตลาดรูปแบบอื่น ๆ ได้อีกเยอะเลย ถ้ามีโอกาสเบสจะเขียนบทความเกี่ยวกับทฤษฏีนี้ให้อีกทีนะครับ
ก่อนจะจบการบรรยายไปพี่เก่งย้ำว่า คอนเทนต์อยู่รอบตัวเรามาก ๆ ครับ เพียงแค่เราจะหยิบมันมาแล้วสร้างมันขึ้นมาอย่างไรเท่านั้นเอง นั่นคือความท้าทายของการเป็น Content Creator ครับ
หากใครสนใจฟังการบรรยายของพี่เก่งแบบเต็ม ๆ จากงาน HACKaTHAILAND ก็สามารถเข้าไปฟังกันได้ใน ลิ้งค์นี้ ช่วงเวลาที่ 2:07:41 ได้เลยนะครับ
ขอบคุณที่อ่านจนจบ แล้วเจอกันบทความหน้านะครับ 🙂
Ref.