บทเรียนจากวิกฤติ​ที่​ “สตีฟ จ็อบส์” ใช้บริหาร​บริษัท​ Apple ให้ประสบ​ความสำเร็จ​

บทเรียนจากวิกฤติ​ที่​ “สตีฟ จ็อบส์” ใช้บริหาร​บริษัท​ Apple ให้ประสบ​ความสำเร็จ​

สตีฟ จ็อบส์​ เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งบุคคล​ในตำนานของวงการไอที​ เพราะนวัตกรรมต่างๆ​ ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่เกิดจากสมองและฝีมือของบิดาแห่ง Apple​ เช่นกัน

จึงทำให้ไม่แปลก​ใจเลยว่าทำไม​ สตีฟ จ็อบส์​ ​จึงถูกจัดอันดับให้เป็นผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกตลอดกาล​ 

ต้องยอมรับว่าเรื่องราวของพ่อมดแห่งวงการไอทีคนนี้มีหลายช่วง​ หลายตอนที่น่าศึกษาและน่าสนใจ​ แต่เหตุการณ์​ที่แบมชอบมากที่สุดนั้นไม่ใช่ช่วงเวลาที่ Apple​ ประสบความสำเร็จ​ยิ่งใหญ่​ แต่เป็นช่วงวิกฤติ​ที่​ Apple​ เกือบไปไม่รอดต่างหาก

ในบทความนี้​ เป็นแนวคิดที่แบมได้มีโอกาสอ่านจากหนังสือเรื่อง​ “สนุกคิด​ แล้วบิดขี้เกียจ” หนึ่งในซีรีส์​ ฟาสต์ฟู้ด​ธุรกิจ​ ของคุณ​ หนุ่ม​ เมือง​จันท์​ ที่อ่านแล้วรู้สึกประทับใจ​ ซึ่งแบมจะมาเล่าถึงบทเรียนสำคัญที่​ สตีฟ จ็อบส์​ ได้นำมาพัฒนาผลิตภัณฑ์และการตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคตของ​ Apple​ ให้ได้ฟังกันเพื่อเป็นแนวทางและไอเดียให้สำหรับคนที่อยากทำธุรกิจค่ะ

เลือกทำเฉพาะสิ่งที่เชี่ยวชาญ​

ย้อนกลับไปในวันที่​ สตีฟ จ็อบส์​ ได้มีโอกาสกลับไปนั่งในตำแหน่ง CEO ของ Apple อีกครั้ง บอกเลยว่าตอนนั้นสถานะของ Apple เรียกได้ว่าย่ำแย่มากขณะที่ว่ามีโอกาสล้มละลายได้ภายใน 6 เดือนเลยทีเดียว

สิ่งแรกที่​ สตีฟ จ็อบส์​ ทำไม่ใช่การคิดว่าจะออกโปรดักส์​ใหม่ตัวไหนที่จะช่วยดึงความสนใจของคนได้​ แต่กลับเป็นการตัดสินใจ​ปรับแผนและโฟกัสทางธุรกิจใหม่ทั้งหมด​ ให้​ Apple​ กลับมาโฟกัสในสิ่งที่บริษัท​เชี่ยวชาญ​และสามารถ​ทำได้ดีแทน

มองให้ออกว่าเราเชี่ยวชาญ​อะไรแล้วทำให้ดี

เมื่อตัดสินใจได้แล้วว่าจะปรับแผนและโฟกัสทางธุรกิจใหม่ ในการประชุมผู้บริหาร​ สตีฟ จ็อบส์​ ก็เลยวางแผนไว้ว่าจะกลับไปทำในสิ่งที่ Apple​ เชี่ยวชาญ​ที่สุดเท่านั้น​ จากนั้นก็ทำการวาดเครื่องหมาย​ + ขนาดใหญ่​ โดยช่องบน 2 ช่องเขียนคำว่า​ “มืออาชีพ” กับคำว่า “ผู้บริโภคทั่วไป” ส่วน 2 ช่องข้างล่างเขียนคำว่า “พกพา” และ “ตั้งโต๊ะ” 

และนั่นก็เป็น 4 คำ​ที่​ สตีฟ จ็อบส์​ ต้องการให้ทาง​ Apple​ โฟกัสในขณะนั้น​ คือ​ แถวบนเป็นกลุ่มเป้าหมายที่ต้องโฟกัส​ และแถวล่างเป็นประเภทสินค้าที่จะผลิต​ จึงทำให้สินค้ามากมายที่อยู่ในไลน์​ผลิตของ​ Apple​ จะเหลืออยู่​แค่​ 4 รูปแบบ​เท่านั้น​ ได้แก่

  1. สินค้าตั้งโต๊ะสำหรับมืออาชีพ
  2. สินค้าตั้งโต๊ะสำหรับบุคคล​ทั่วไป
  3. สินค้าพกพาสำหรับมืออาชีพ
  4. สินค้าพกพาสำหรับบุคคลทั่วไป

ส่วนอะไรที่อยู่นอกเหนือสินค้า 4 ประเภทนี้จะไม่ทำเด็ดขาด! 

ยึดถือทฤษฎี​คำว่า​ “ไม่” ให้หนักแน่น

การจะเป็นตัดสินใจ​หรือจะทำธุรกิจ​ได้ดีนั้น​ ไม่ใช่อยู่ที่การพูดหรือฟันธงว่าอะไร​ “ใช่” เท่านั้น​ แต่สิ่งที่ยากกว่าก็คือการตอบได้ว่าอะไรไม่ใช่​ และยึดมั่นในสิ่งนั้นอย่าง​หนักแน่นมากกว่า

แน่นอนว่าในช่วงวิกฤติ​ของ​ Apple​ สตีฟ​ จ็อบส์​ ก็ยึดถือทฤษฎี​คำว่า​ “ไม่” อย่างหนักแน่นเช่นกัน​ เพราะเขาเชื่อว่าการตัดสินใจที่สำคัญที่สุดของคนเราไม่ใช่เรื่องที่เราจะตัดสินว่าเราจะทำอะไรดีแต่เป็นการตัดสินใจว่าเราจะไม่ทำอะไรต่างหากทำให้ในช่วงนั้นทาง​ Apple​ มีสินค้าหลักอยู่แค่เพียง​ iMac iPod และ​ iPhone​ เท่านั้น

นอกจากนี้เขายังเคยให้สัมภาษณ์อีกด้วยว่าจุดแข็งของ Apple ก็คือการทำเทคโนโลยีที่ซับซ้อนให้คนธรรมดาสามารถเข้าใจได้ นั่นคือเหตุผลสำคัญที่ว่าเมื่อวิศวกรพยายามเสนอให้เพิ่มเทคโนโลยีต่างๆ เข้าไปในสินค้า 4 ประเภทนี้ ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยขนาดไหน​ สตีฟ จ็อบส์​ ​ ก็จะตอบสั้นๆ​ ง่ายๆ​ แค่​ “ไม่” คำเดียวเท่านั้น

แน่นอนว่าการปฏิเสธของเขาไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุผล​ แต่การที่​ สตีฟ จ็อบส์​ ปฏิเสธ​ความซับซ้อน​เหล่านั้น​ เพราะเขาเชื่อว่ายิ่งง่าย​ ผู้บริโภค​ยิ่งชอบ​ นั่นเอง

และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งแนวคิด​ในการทำธุรกิจ​ของพ่อมดไอทีคนนี้ที่สามารถ​นำพา​ Apple​ ให้ผ่านพ้นวิกฤติจนกระทั่งกลายมาเป็นบริษัท​ที่มีสุดยอดนวัตกรรม​ให้ทุกคนได้ใช้กันในทุกวันนี้​ แบมเองก็หวังว่านักการตลาดและเจ้าของธุร​กิจ​ที่แวะเข้ามา​อ่านบทความ​นี้​ จะสามารถ​นำชุด​ความคิดนี้ไปประยุกต์​ใช้ในการทำธุรกิจ​ได้นะคะ

ส่วนใครที่อยากเรียนรู้เกี่ยวกับกลยุทธ์การทำตลาดในรูปแบบอื่นๆ แนะนำให้ไปอ่านเพิ่มเติมได้ ที่นี่ 

ในบทความหน้าแบมจะมีอะไรมาอัปเดตอีกบ้าง สามารถติดตามได้ผ่านเพจการตลาดวันละตอน รวมถึง Twitter และ Blockdit ของการตลาดวันละตอนนะค​ะ

Bambinun*

Content Creator แห่งการตลาดวันละตอน ที่หลงรักการเล่าเรื่องผ่านตัวหนังสือ พอๆ กับการกินของอร่อย และใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเป็นทาสแมว

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

คุณคิดว่าปัญหา PM 2.5 ที่เชียงใหม่วิกฤตหรือยัง ?

#การตลาดวันละโพล ขอหนึ่งคำถามก่อนอ่านการตลาดวันละตอน แล้วเราจะเอาไปทำเป็น Infographic โชว์หน้าเพจให้รู้ด้วยกัน