เปรียบเทียบ Short-Form vs. Long-Form Content เลือกใช้แบบไหนให้ใช้ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายดี?
Content is King ยังคงเป็นประโยคที่ใช้ได้จริงอยู่เสมอ ดังนั้น หลายๆ ธุรกิจจึงหันมาให้ความสนใจในการวางแผนกลยุทธ์ในแง่ของเนื้อหากันมากขึ้นด้วย
ถึงแม้ว่าผู้คนจะหันมาสนใจในเรื่องของ Content Marketing กันมากขึ้น แต่ก็ยังมีส่วนที่ยังคงเข้าใจผิดกันอยู่อีกหลายอย่าง นักการตลาดส่วนหนึ่งก็บอกว่าเนื้อหายิ่งยาวยิ่งดี อีกส่วนหนึ่งก็บอกว่าเดี๋ยวนี้ใครจะอ่านเนื้อหายาวๆ กัน ยิ่งสั้นยิ่งดึงดูดคนให้หยุดสายตาได้มากกว่าต่างหาก!
เมื่อเสียงแตกออกเป็นสองขั้วแบบนี้ แล้วเราควรจะเลือกเชื่อทฤษฎีไหน จะต้องเขียนให้สั้น หรือจะเขียนให้ยาวดี? … บทความนี้แบมมีคำตอบค่ะ
Short-Form Content VS. Long-Form Content
ก่อนที่เราจะไปกำหนดเรื่องความยาวของเนื้อหาว่าจะเขียนแบบสั้นหรือแบบยาว เรามาลองดูความหมาย หรือคำนิยามของการเขียนทั้ง 2 แบบนี้ดูก่อนว่าแต่ละรูปแบบนั้นมีลักษณะเฉพาะอย่างไรบ้าง
Short-Form Content การเขียนเนื้อหาแบบสั้น
Short-Form Content ส่วนใหญ่มักมีเนื้อหาที่มีความยาวน้อยกว่า 1,000 คำ ซึ่งเนื้อหา หรือรายละเอียดส่วนใหญ่จะเป็นการแบ่งเนื้อหาออกเป็นหัวข้อย่อยๆ โดยมีเนื้อหาโดยสรุปที่กระชับ อ่านง่าย ได้ใจความ แทนการเจาะลึก หรือลงรายละเอียดมากจนเกินไป
รูปแบบทั่วไปของ Short-Form Content ประกอบด้วย:
- โพสต์บล็อกสั้น
- บทความข่าว
- อินโฟกราฟิก
- แคปชันบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆ
ข้อดี
ซึ่งข้อดีของเนื้อหาประเภทนี้ ก็คือมีเนื้อหาที่ไม่หนักเกินไปสำหรับผู้อ่าน ส่วนใหญ่มักเป็นการสื่อสารในประเด็นเดียว จึงทำให้ผู้อ่านสามารถอ่านจนจบและทำความเข้าใจได้โดยใช้เวลาไม่นาน อีกทั้งยังเป็นรูปแบบคอนเทนต์ที่เหมาะกับอุปกรณ์เคลื่อนที่ต่างๆ ด้วยเหตุนี้ Short-Form Content จึงมีประสิทธิภาพมากบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย
นอกจากนี้ในฝั่งของผู้เขียนเอง การเขียน Short-Form Content นั้นก็ใช้เวลาและทรัพยากรน้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับเนื้อหาแบบยาว
ข้อเสีย
สำหรับข้อเสียของการเขียนแบบ Short-Form Content นั้น เนื่องจากเป็นการเขียนในรูปแบบสั้น จึงทำให้ไม่สามารถเขียนได้อย่างครอบคลุมในทุกประเด็น นอกจากนี้ยังยากต่อการเจาะลึก หรือลงรายละเอียดต่างๆ ของเนื้อหาด้วย
และเนื่องจากเหตุผลข้างต้น จึงทำให้คุณภาพของเนื้อหาในรูปแบบ Short-Form Content มีไม่มากเท่าหากเทียบกับ Long-Form Content หมายความว่าความสนใจของผู้อ่านและประสิทธิภาพจะลดลงเมื่อเวลาผ่านไปนั่นเอง
Long-Form Content การเขียนเนื้อหาแบบยาว
Long-Form Content มักจะมีความยาวมากกว่า 1,000 คำ โดยส่วนมากจะเป็นเนื้อหาที่ลงลึกในรายละเอียด โดยมีหัวข้อย่อยๆ ที่ครอบคลุมเกี่ยวกับเนื้อหาเหล่านั้น
รูปแบบทั่วไปของ Long-Form Content ประกอบด้วย:
- โพสต์บล็อกที่ละเอียดและยาว
- Evergreen Content
- คู่มือและแบบฝึกหัด
- E-book
สำหรับ Long-Form Content นั้นถือเป็นประเภทของเนื้อหาที่สามารถดึงดูดผู้อ่านได้อย่างแท้จริง เนื่องจากหัวข้อที่ครอบคลุมในเชิงลึก ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายให้เป็นเนื้อหาที่อ่านอย่างรวดเร็ว แต่เป็นเนื้อหาที่มุ่งให้ความรู้ หรือต้องการตอบคำถามแบบเฉพาะเจาะลงในหัวข้อนั้นๆ
ซึ่งถ้าหากเราเขียนบทความให้ครอบคลุมและสามารถตอบโจทย์ในการค้นหาของกลุ่มเป้าหมายได้ ก็จะส่งผลต่อการทำ SEO อีกทั้งยังช่วยให้บทความของเราติดอันดับต้นๆ ของหน้าการค้นหาบน Search Engine ได้
ข้อดี
โดยทั่วไปแล้ว Long-Form Content มักจะสามารถทำอันดับได้ดีกว่าในหน้าการค้นหา เนื่องจาก Search Engine จะมองว่าเป็นเนื้อหาที่มีคุณภาพ เนื่องจากครอบคลุมเนื้อหาเชิงลึกมากกว่า รวมถึงการเขียนเนื้อหาแบบยาวนั้นมักจะได้ Backlink มากกว่าเนื้อหารูปแบบสั้น ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและอันดับของหน้าเว็บไซต์ได้ดีกว่า
นอกจากนี้การเขียนในรูปแบบ Long-Form Content นั้นจะมีอัตรา Conversion สูงกว่าของเนื้อหาแบบสั้น สาเหตุหลักก็มาจากความสนใจของคนอ่านและความตั้งใจในการเข้าอ่านนั่นเองค่ะ
ข้อเสีย
ในทางกลับกัน ข้อเสียของ Long-Form Content ก็คือต้องใช้เวลาและทรัพยากรมากขึ้นในการเขียนแต่ละบทความ ไม่ว่าจะเป็นการหาข้อมูล การคัดกรอง การเรียบเรียง ไปจนกระทั่งการเขียน
นอกจากนี้บทความในลักษณะ Long-Form Content มักจะแสดงผลในอุปกรณ์เคลื่อนที่ได้ไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากความยาวของตัวเนื้อหา ทำให้อ่านยาก ดูลายตา และเพิ่มความสร้างสรรค์ลงไปได้ยากด้วยเช่นกัน
ความยาวของเนื้อหามีความสำคัญหรือไม่
คำถามนี้เรียกได้ว่าเป็นคำถามที่มักถูกถามกันมากในกลุ่มคนทำ SEO และนักการตลาดว่า ความยาวของบทความนั้นมีความสำคัญหรือไม่ในการทำ SEO
ซึ่งในความเป็นจริงแล้วก็คงต้องบอกว่าความยาวของเนื้อหามีความสำคัญ แต่ก็ไม่ใช่ว่ายิ่งยาวมากก็จะยิ่งดี เพราะถ้าเขียนยาว แต่เขียนวกไปวนมา ไม่ตอบโจทย์การค้นหาของกลุ่มเป้าหมาย แบบนี้ถึงจะยาวแต่ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร
ทางที่ดีเราควรเลือกความสั้น-ยาวของเนื้อหาให้เหมาะสมกับแพลตฟอร์ม รูปแบบการนำเสนอ วัตถุประสงค์ และหัวข้อในการสื่อสาร เป็นปัจจัยสำคัญ แล้วจึงค่อยนำเรื่องความสั้น-ยาวของเนื้อหามาเป็นปัจจัยเสริม เพื่อบทความที่เราเขียนจะได้สื่อสารได้ตรงกลุ่มเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือเราต้องสร้างเนื้อหาที่ตอบคำถามค้นหาได้ดีที่สุด และแน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องเป็นเนื้อหาในรูปแบบ Long-Form Content เสมอไป
4 ปัจจัยในการตัดสินใจว่าจะใช้ Short-Form Content หรือ Long-Form Content ดี?
ความจริงแล้ว การจะทำ Content Strategy ให้ประสบความสำเร็จนั้น เราควรต้องสร้างความสมดุลในการเขียนทั้งแบบสั้นและแบบยาว เพื่อให้เรามีคอนเทนต์ที่หลากหลาย และสามารถตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายให้ได้มากที่สุด
ลองมาดูกันว่า 4 ปัจจัยในการช่วยเลือกว่าคอนเทนต์ไหนควรเป็นแบบสั้น หรือแบบยาวนั้นจะมีอะไรบ้าง
เป้าหมายที่ตั้งไว้
ถ้าเราไม่รู้ว่าเรากำลังจะไปที่ไหน เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าจะไปที่นั่นได้อย่างไร… จริงไหมคะ?
เพราะฉะนั้นอย่างแรกที่ต้องทำก่อนที่จะเขียนบทความ ไม่ใช่การตั้งคำถามว่าบทความนี้เราควรเขียนให้สั้นหรือยาว แต่ต้องเป็นการตั้งเป้าหมายก่อนว่าบทความที่เราจะเขียนนั้นต้องการสื่อสารอะไร กลุ่มเป้าหมายที่จะเข้ามาอ่านเป็นใคร แล้วจึงค่อยมาคิดหาวิธีในการนำเสนอว่าเขียนอย่างไรให้ดึงดูดผู้อ่าน
ตัวอย่างเช่น ถ้าเป้าหมายของเราเป็นการสร้าง Awareness ให้กับ Product ใหม่ ก็อาจจะเลือกสื่อสารถึงสมาชิก หรือลูกค้าเก่าด้วยวิธีที่มีประสิทธิภาพอย่าง Email Marketing ที่ค่อนข้างสั้นแต่ตรงประเด็น ประกอบกับการโพสต์ในช่องทางโซเชียลมีเดียเพื่อให้ลูกค้าใหม่ หรือกลุ่มเป้าหมายรับรู้ เป็นต้น
ในทางกลับกัน หากเป้าหมายของเราคือการจัดอันดับใน Google เราก็จำเป็นต้องใช้เนื้อหาแบบยาว เป็นต้น
ความต้องการในการค้นหา
ก่อนจะตัดสินใจว่าจะทำเป็นเนื้อหาแบบสั้นหรือยาว เราจะต้องทำความเข้าใจจุดประสงค์ของผู้อ่านก่อนว่าเขาต้องการค้นหาอะไร เพื่อที่เราจะได้ไปหาข้อมูลแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อที่เราต้องการ ก่อนจะนำมาเขียนลงรายละเอียดเนื้อหาที่ต้องการสื่อสารเพื่อตอบคำถามผู้อ่านในขั้นตอนสุดท้าย
ซึ่งถ้าจุดประสงค์ของผู้อ่านคือการเรียนรู้หรือหาความรู้เพิ่มเติม โดยปกติแล้วคุณจะต้องสร้างเนื้อหาที่มีรูปแบบยาว แต่ถ้าพวกเขาต้องการความบันเทิงหรือติดตามข่าวสารล่าสุดของคุณ การเขียนแบบสั้นอาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า
กลุ่มเป้าหมาย
การรู้จักกลุ่มเป้าหมาย หรือผู้อ่านของตัวเองนั้นเป็นสิ่งสำคัญ เพราะเราจะได้เอาข้อมูล Insight ของคนกลุ่มนี้มากำหนด Content Strategy ในการสร้างประเภทของเนื้อหาที่เหมาะกับผู้อ่านของเรามากที่สุด เพราะเนื้อหาที่แตกต่างกันก็ย่อมตอบสนองวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันด้วย
ซึ่งในขณะเดียวกันเราจะต้องตอบคำถามให้ได้ด้วยว่าเนื้อหาประเภทไหนที่ช่วยกระตุ้นการมีส่วนร่วมของกลุ่มเป้าหมายได้ดีที่สุดบนโซเชียมีเดีย รวมไปถึงเนื้อหาประเภทใดมี Bounce Rate ต่ำและระยะเวลาเซสชันสูงสุด
ยิ่งถ้าเราสามารถใช้ข้อมูลเชิงลึกจากผู้อ่านของคุณได้มากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งมีอาวุธมากขึ้นในการตัดสินใจเกี่ยวกับขั้นตอนต่อไปในกลยุทธ์ของเรามากขึ้นเท่านั้น
ดูปริมาณการแข่งขัน
การพิจารณาและวิเคราะห์ว่าคู่แข่งของเรากำลังทำอะไรอยู่เป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของรูปแบบที่คู่แข่งเราใช้และความยาวของเนื้อหาที่พวกเขากำลังทำอยู่
ถ้าหากเรากำลังจะทำคอนเทนต์โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้อยู่ในอันดับแรกๆ ของการจัดอันดับบน SERP แล้วล่ะก็สิ่งที่เราจำเป็นต้องรู้ก็คือตอนนี้เรากำลังแข่งขันกับอะไรและกลยุทธ์ไหนที่ใช้ได้ผลกับคู่แข่งของเราบ้าง
สำหรับในฝั่งเนื้อหาบนโซเชียลเราสามารถใช้เครื่องมือติดตามโซเชียลมีเดีย ในการเปรียบเทียบว่าเนื้อหาของเรากับคู่แข่งได้ด้วยเช่นกัน
สรุป
แม้ในส่วนความสั้นยาวของเนื้อหานั้นจะเป็นสิ่งที่นักการตลาดควรใส่ใจก็จริง แต่ก็ไม่ใช่ปัจจัยที่ต้องกังวลมากจนเกินไปนัก
เพราะสิ่งที่เราควรให้น้ำหนักมากกว่าก็คือวัตถุประสงค์ในการสื่อสาร กลุ่มเป้าหมายหลักว่าเรากำลังส่งสารถือใคร และรายละเอียดในสารนั้นสามารถตอบคำถามและความต้องการของผู้อ่านได้อย่าครบถ้วนหรือไม่
จากนั้นจึงค่อยมาพิจารณาเรื่องความยาวของเนื้อหา และแพลตฟอร์มที่จะลงเป็นลำดับสุดท้าย จะทำให้บทความของเราเป็นบทความคุณภาพดี ที่มีประสิทธิภาพ
สำหรับใครที่สนใจบทความเกี่ยวกับ Content อีก สามารถคลิกเข้าไปเลือก Topics อื่นๆ ที่นี่เลยค่ะ
สำหรับใครที่อยากอ่านบทความเกี่ยวกับการตลาดเพิ่มเติม สามารถติดตามได้จาก เพจการตลาดวันละตอน รวมไปถึงเว็บไซต์ Twitter และ Blockdit ของการตลาดวันละตอนด้วยนะคะ
ที่มา: www.semrush.com