7 องค์ประกอบที่ช่วยให้การขอโทษดูจริงใจ และเป็นมืออาชีพ
เมื่อไม่นานมานี้แบมได้เข้าไปดูซีรีส์สารคดีทาง Netflix ที่ชื่อว่า Explained แล้วรู้สึกชอบมาก ด้วยหัวข้อที่น่าสนใจ และวิธีการเล่าที่ทำให้เราเข้าใจง่าย ในเวลาตอนละไม่เกิน 20 นาทีเท่านั้น
วันนี้แบมเลยถือโอกาสมาป้ายยาด้วยการหยิบเอาบางตอนมาเล่าให้ฟังด้วยการตีความแบบการตลาดวันละตอน รับรองว่าทุกคนสามารถนำไปปรับใช้ได้จริงอย่างแน่นอน
“Explained” สัมผัสโลกมุมใหม่ด้วยอำนาจแห่งความรู้
Explained เป็นสารคดีสั้นบน Netflix ที่นำเอาความรู้ทั้งใกล้ตัว และไกลตัว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับรอยสัก โหราศาสตร์ การเป็นอมตะของคน เหตุผลที่ลดน้ำหนักไม่สำเร็จสักที ความคิดของสัตว์ กีฬากับแฟชั่น หรือแม้กระทั่งการถึงจุดสุดยอดของผู้หญิง มาย่อยให้เข้าใจง่าย ดึงประเด็นที่น่าสนใจมาเล่าให้ฟังผ่านการสัมภาษณ์ และ Case Study บนพื้นฐานแนวคิดที่ว่ายิ่งคุณมีทรัพยากรในหัวเท่าไหร่ คุณยิ่งมีอำนาจมากขึ้นเท่านั้น และที่สำคัญคือใช้เวลาไม่นานเกินไปในแต่ละเรื่อง จนทำให้เราสามารถดูจบได้โดยไม่เบื่อไปเสียก่อน
ซึ่งตอนนี้รายการ Explained ก็มีมาถึง 3 ซีซันแล้ว และจะมีตอนใหม่มาให้ติดตามเรื่อยๆ ในทุกวันศุกร์ค่ะ
“คำขอโทษ” พูดบ่อยเกินไปทำให้ผลลัพธ์ด้อยลง
ตอนที่แบมกำลังจะเล่าให้ฟังนี้มีชื่อตอนว่า Apologies หรือ ขอโทษ นั่นเอง ในตอนนี้ตัวสารคดีพูดถึงคำขอโทษที่เรามักได้ยินบ่อยขึ้นตามสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นจากดารานักร้อง เซเลปคนดัง หรือแม้แต่จากฝั่งรัฐบาลที่มักจะพูดขอโทษอยู่เสมอ เมื่อมีเรื่องราวบางประเด็นที่ลุกลามใหญ่โตจนทำให้เสียชื่อเสียง คนส่วนมากเกินความไม่พอใจ หรือแสดงความคิดเห็นไปในทางลบ แต่น่าแปลกที่คำขอโทษนี้ยิ่งถูกพูดออกไปมากและง่ายเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้ผลลัพธ์ของการขอโทษมีประสิทธิภาพลดลง
มีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าการเจือจางบรรทัดฐาน คือยิ่งมีคนขอโทษมากเท่าไหร่ เรายิ่งคาดหวังมีการขอโทษมากขึ้นเท่านั้น แต่เราจะไม่ค่อยอยากให้อภัย เพราะเมื่อผู้คนเริ่มมีความซับซ้อนมากขึ้น และเห็นการขอโทษในรูปแบบนี้มากขึ้น คนก็จะมีความคาดหวังกับคำขอโทษมากขึ้นไปอีก ซึ่งสิ่งที่ผู้คนต้องการจริงๆ มากกว่าคำพูด คือการแสดงให้ถึงถึงสัญญาณบางอย่างว่ามันเป็นการขอโทษที่จริงใจ
ขอโทษอย่างจริงใจ ใช้รับมือได้กับทุกวิกฤติ
การขอโทษอย่างจริงใจ หรือ Apologize Strategy นี้เป็นอีกวิธีการหนึ่งที่นักการตลาดสามารถนำมาปรับใช้ได้เมื่อเกิดวิกฤติทางธุรกิจ โดยเฉพาะ Social Media Crisis ที่เราอาจจะได้เห็นกันบ่อยๆ เนื่องจากข่าวสารเดี๋ยวนี้กระจายไปเร็วมาก แถมคนยังสามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระ ทำให้บางครั้งวิกฤติถึงขยายการรับรู้ออกไปในวงกว้าง
ซึ่งสิ่งที่นักการตลาดจะสามารถทำเพื่อช่วยยับยั้งวิกฤตบนโลกโซเชียลมีเดียก็คือ หยุดการเคลื่อนไหว และการโต้ตอบทั้งหมดก่อน หลังจากปรึกษาหารือกับทีมเรียบร้อยแล้ว จึงค่อยเข้าสู่ขั้นตอนการใช้ Apologize Strategy ออกแถลงการณ์เพื่อขอโทษรวมถึงวิธีการแก้ไขปัญหาเบื้องต้น เพื่อแสดงถึงความจริงใจและใส่ใจกับปัญหาที่เกิดขึ้น ที่สำคัญขั้นตอนนี้นักการตลาดต้องตัดสินใจและลงมือทำอย่างรวดเร็ว อย่าปล่อยทิ้งไว้จนข้ามวัน เพราะจยิ่งทำให้เราดูเหมือนไม่ใส่ใจกับปัญหาที่เกิดขึ้นจนอาจทำให้สถานการณ์ที่แย่อยู่แล้วแย่ลงกว่าเดิมได้
7 องค์ประกอบในการแสดงความจริงใจผ่านการขอโทษ
การขอโทษเป็นสิ่งที่ทรงพลัง เพราะสามารถเปลี่ยนอารมณ์ของคนที่กำลังโกรธหรือไม่พอใจให้รู้สึกดีได้ในคำๆ เดียว แต่ก็มีหลายครั้งที่การขอโทษอย่างไม่จริงใจทำให้ผู้ฟังรู้สึกผิดหวัง จนสร้างความไม่พอใจมากขึ้นเป็นเท่าตัว
ซึ่งในรายการ Explained ตอน Apologies นี้ก็ได้แนะนำ 7 องค์ประกอบของคำขอโทษที่ดีไว้ดังนี้
1.การแสดงความสำนึกผิด
การขอโทษโดยที่ผู้ทำผิดรู้สึกสำนึกผิดจริงๆ นั้นทำให้คนฟังรู้สึกเห็นใจ เข้าใจ และสามารถให้อภัยได้ง่ายขึ้น โดยเราไม่จำเป็นต้องประดิษฐ์คำพูดให้ดูสวยงามเกินจริง แต่พูดด้วยความสำนึกผิดอน่างจริงใจก็พอ เช่น ทางเราต้องขอโทษลูกค้าทุกคนจริงๆ หรือ ทางแบรนด์เสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นต้น
2.รับรู้ถึงความเสียหาย และความทรมานของผู้ถูกกระทำ
การรับรู้และเข้าใจถึงความเสียหายและความเจ็บปวดที่มีสาเหตุมาจากการกระทำของเรา มันทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าเขาเป็นฝ่ายที่ถูกต้อง และมีคนเข้าใจ
3.คุณจะต้องแสดงความรับผิดชอบด้วย
มันเป็นเรื่องสำคัญและมีผลต่อจิตใจของคนที่ถูกกระทำที่จะต้องได้ยินคำว่าขอโทษ และต้องเป็นคำขอโทษที่แสดงออกถึงความจริงใจด้วย
4.อธิบายเหตุผลว่าทำไมคุณถึงทำอย่างนั้น
ในบางครั้งก็อาจเกิดเหตุการณ์ที่เข้าใจผิดกัน จนทำให้เรื่องราวลุกลามใหญ่โต แม้จะทำผิดพลาดไปแล้วแต่การที่คุณอธิบายเหตุผลว่าเพราะอะไรคุณถึงทำแบบนั้นก็สามารถช่วยให้อีกฝ่าย เข้าใจถึงเหตุและผลของการกระทำมากขึ้น และอาจทำให้ความไม่พอใจที่กำลังคุกรุ่นเบาบางลง
5.เสนอแนวทางแก้ไข
การเสนอแนวทางแก้ไขอย่างกระตือรือร้นก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยทำให้สถานการณ์ที่ตึงเครียดเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น เพราะจะทำให้ผู้ถูกกระทำรู้สึกว่าตนเองได้รับการเยียวยา เช่น ขอโทษที่ทำให้ลูกค้าผิดหวัง เป็นความผิดของทางแบรนด์เอง และเราจะแก้ไขความผิดพลาดนี้อย่างดีที่สุดโดยการ… เป็นต้น
6.ทำให้มั่นใจว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง
เมื่อเกิดการทำผิดพลาดขึ้นแล้วเราต้องทำให้อีกฝ่ายมั่นใจให้ได้ว่า เราจะมีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่ดีซ้ำเดิมอีก
7.การขอให้อีกฝ่ายให้อภัย
ข้อนี้ถือเป็นสิ่งที่ยากที่สุด เพราะถึงแม้เราจะขอโทษและรู้สึกสำนึกผิดอย่างจริงใจแล้วก็ไม่ได้หมายความว่าอีกฝ่ายจะยกโทษหรือให้อภัย แต่ถึงอย่างไรคุณก็ยังควรจะต้องขอร้องและแสดงความจริงใจให้อีกฝ่ายเห็นว่าคุณสำนึกผิดมากพอที่จะให้อภัยได้
“ขอโทษ” คำงายๆ ที่พูดยาก
นอกจากนี้ในสารคดียังบอกอีกว่า โดยทั่วไปแล้วเวลาคนเราขอโทษมักจะบอกว่าได้ใส่องค์ประกอบเหล่านี้เข้าไปประมาณ 4-5 ข้อ แต่ในความเป็นจริงมันมักจะมีเพียงแค่ 2 ข้อ คือ ข้อ 1 และ ข้อ 3 เท่านั้น เพราะมันเปรียบเสมือนว่าคุณกำลังอยู่ตรงกลางระหว่างการอยากซ่อมแซมความสัมพันธ์เพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกดีขึ้นแต่ก็ยังอยากปกป้องภาพลักษณ์ของตนเองให้ยังคงเป็นคนดีอยู่ ไม่ใช่แค่ดูดีในสายตาคนอื่นแต่ยังเป็นสำหรับตัวคุณเองด้วย เพราะอย่างนี้การขอโทษด้วยความจริงใจโดยใช้ทั้ง 7 องค์ประกอบจึงเป็นเรื่องยากมากทีเดียว โดยเฉพาะการขอโทษต่อหน้าสาธารณะชนที่จำเป็นต้องใช้ทักษะในการพูดและแสดงออกที่มากกว่า เพราะเป็นเรื่องยากที่จะทำให้คนจำนวนมากรู้สึกพอใจนั่นเอง
สรุป
Apologize Strategy หรือการขอโทษถือเป็นหนึ่งในหลักของการ Crisis Management หรือการบริหารสถานการณ์ที่อยู่ในภาวะวิกฤต แต่การของโทษนั้นจะต้องเป็นคำขอโทษที่แสดงออกถึงความจริงใจ โดยเข้าใจว่าตนเองทำผิดอะไรและสำนึกในความผิดนั้นจริงๆ รวมถึงต้องพยายามแก้ไขและหาทางออกที่ดีที่สุดเพื่อแสดงความรับผิดชอบด้วย
การขอโทษโดยใช้องค์ประกอบข้างต้นนี้จะทำให้ลูกค้ารับรู้ถึงความจริงใจของแบรนด์จนนำไปสู่ความเข้าใจ หรือเห็นใจ ซึ่งจะช่วยให้ความไม่พอใจเบาบางลง และช่วยยับยั้งการเกิดภาวะวิกฤตได้ในที่สุด
สำหรับองค์ประกอบในการขอโทษทั้ง 7 ข้อนี้ แบมมองว่าเราสามารถนำมาปรับใช้ได้กับทุกคน ในทุกสถานการณ์ที่เราทำผิด หรือทำให้เกิดความไม่พอใจไม่ว่าจะเป็นคนธรรมดาทั่วไป คนดัง นักการตลาด แบรนด์ หรือแม้แต่รัฐบาล เพราะการขอโทษยิ่งดูจริงใจมากเท่าไหร่ ก็สามารถทำให้คนยอมรับและให้อภัยได้ง่ายขึ้นเท่านั้น
ซึ่งนอกจากการขอโทษแล้วก็ยังมีวิธีอื่นๆ ที่สามารถใช้รับมือเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นกับแบรด์ สำหรับใครที่สนใจสามารถตามมาอ่านต่อได้ในบทความเมื่อเจอวิกฤต จัดการอย่างไรไม่ให้แบรนด์พัง
ในบทความหน้าแบมจะมีอะไรมาอัปเดตอีกบ้าง สามารถติดตามได้ผ่านเพจการตลาดวันละตอน รวมถึง Twitter และ Blockdit ของการตลาดวันละตอนนะคะ