Copywriting Tips – เขียนยังไงให้ Impact

Copywriting Tips – เขียนยังไงให้ Impact
Copywriting Tips

เป็นอีกหนึ่งบทความที่เพลินอ่านแล้วต้องรีบหยิบมาเขียนสรุปให้ชาวการตลาดวันละตอนได้อ่านกัน นั่นก็คือเรื่องของการเขียนก้อปปี้หรือ Copywriting Tips ที่ Yoast เค้าไปไล่พูดคุยและสอบถามจากนักเขียน Copywriters เก่งๆ มา บอกเลยว่าใครที่เป็นสายเขียนก้อปปี้ ไปตลอดเจนคนที่ต้องเขียนบทความ เขียน Caption เขียน Tagline ต่างๆ ห้ามพลาดค่ะ

เคยไหมคะที่อ่านประโยคโพสต์ไม่กี่คำแล้วเรารู้สึกว่า อยากอ่านต่อ หรือสนใจเพิ่มขึ้นจากโพสต์หรือประโยคแค่สั้นๆ แต่มัน Impact กระแทกใจมาก พูดมาแบบนี้หลายคนอาจจะมีแบรนด์ที่อยู่ในใจว่า คิดถึงแบรนด์นั้น แบรนด์นี้เลยที่ชอบเขียน Copy เก๋ๆ สั้นๆ แล้วมันโดนมาก ซึ่งเพลินเชื่อว่าหนึ่งในแบรนด์ที่หลายคนคิดถึงจะเป็นแบรนด์เทคอย่าง Apple ที่คิดคำประโยคขายของต่างๆ ที่ดี โดนใจมาก วันนี้ไม่ได้มาเรียนรู้จาก Apple แต่มาเรียนรู้จาก Copy เก่งๆ เพื่อไปทำงานของเราให้มัน Impact แบบ Apple กันค่ะ

1. ถามตัวเองก่อนว่า ‘Copy ที่เราจะเขียนนั้นมันช่วยแก้ปัญหาอะไร?’

นักเขียน Copy @katetoon ได้แชร์เทคนิคของการเขียนของเค้าไว้ว่า ให้เข้าใจมนุษย์ก่อนไปทำการ Research keywords บน Google เสมอ ซึ่งการที่เราจะเข้าใจมนุษย์ได้ ก็อาจจะเริ่มต้นจากตัวเรา ลองถามตัวเองซักนิดว่าสรุปแล้ว ประโยค Copy ที่เรากำลังจะเขียนนั้น มันจะช่วยแก้ปัญหาอะไรให้คนกันแน่? เพราะวันนี้คนเราที่อยากได้นู้นนี่ ก็เพื่อซื้อมันมาแก้ปัญหาอะไรบางอย่างให้กับตัวเอง จะเป็นเรื่องของ Emotional benefit หรือ Functional benefit ก็ได้

หลังจากนั้นเราค่อยลุยต่อในเรื่องของ Keyword Search ที่จะเรียบเรียงให้ประโยคก้อปปี้ของเรา Result ดีขึ้น ไม่เพียงแต่ Impact กระแทกใจ กินใจคนอ่านอย่างเดียวเท่านั้น นอกจากนี้ Kate ยังแชร์เพิ่มเติมอีกด้วยว่า หลังจากที่รู้แล้วว่าปัญหาคืออะไร เขียนประโยคแก้ไขปัญหานั้นออกมาแบบสั้น กระชับ ใช้ภาษาแอคทีฟหน่อย ไม่ต้องทางการ หรือต้องแปลในแปลอีกที คุยกับสมองคนเร็วๆ ไปเลยค่ะ

2. คิดถึงว่าสิ่งที่เรากำลังขายจะเปลี่ยนชีวิตคนได้อย่างไร

คำแนะนำอันนี้มาจาก Copywriter @itsjulekim ค่ะ ซึ่งเค้าก็บอกเลยว่า ให้เราพยายามมองภาพว่าหลังจากที่คนซื้อสินค้าของเราไปแล้ว อนาคตของคนนั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง แล้วพยายามดึงเอา Emotions ของคนหลังจากได้ใช้มันออกมาให้ได้มากที่สุด ซึ่งมันไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ Features ของสินค้าอย่างเดียวนะคะ จุดหลังคือสินค้าเราจะเปลี่ยนชีวิตของคนๆ นั้นได้อย่างไร อย่างที่ Apple ไม่เคยโฆษณาบอกว่า iPod มีความจุเท่าไร แต่บอกว่า “1,000 songs in your pocket” นั่นเองค่ะ

โดยนักก้อปปี้รวมไปถึงลูกค้าที่ Approve งานด้วยก็มักจะชอบติดว่า อยากขายของ อยากเน้นระบุ Features ของสินค้าเยอะๆ จนทำให้ประโยคขายของนั้นมันขาด Emotional impact ที่พูดกับใจคนไป มีแต่ภาษาเทคนิค ศัพท์ยากๆ อย่าเอาแต่คิดว่าคนค้นหาบ้าน รถ กองทุนเพิ่มขึ้นหรือน้อยลงเท่าไร แต่ให้ใส่ใจว่า “ทำไม” พวกเค้าถึงกำลังมองหาบ้าน รถ กองทุน เพื่อจับตรงจุดนั้นมาเป็นโอกาสในการ Turn พวกเค้าผ่านก้อปปี้ที่เราเขียนด้วยค่ะ

3. เขียนให้กระชับได้ใจความ

เรื่องที่ยากๆ ไม่จำเป็นต้องเขียนให้ยาวเสมอไป หลายครั้งเราอาจจะเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องใช้ศัพท์เฉพาะ หรือคำที่มันยากๆ แต่สิ่งที่เราทำได้คือกระชับประโยคให้มันสั้นลง ให้คนอ่านเก็ทได้เร็วมากขึ้น ยิ่งในวันนี้ทุกคนอ่านอะไรบน Screen หน้าจอเล็กๆ ด้วยแล้ว การเขียนสั้นกระชับจะทำให้คนอ่านเข้าใจสิ่งที่เราต้องการจะสื่อได้ทันทีไม่ต้องเลื่อนลงอ่านไปเรื่อยๆ นั่นเองค่ะ ข้อนี้จาก CEO Marieke van de Rakt ค่ะ

4. ใช้คำที่ลูกค้าอ่านแล้วเห็นเป็นภาพในหัวได้

จำไว้เสมอว่า หากลูกค้าอ่านประโยคขายแล้วไม่เข้าใจ คิดภาพตามไม่ออก พวกเค้าจะไม่ซื้อสินค้าของเรา ดังนั้น @shrutisonasharma ก็เลยอยากแนะนำให้นักเขียนก้อปปี้ทุกคน พยายามใช้คำที่สามารถทำให้คนอ่านหรือลูกค้าอ่านแล้วเห็นเป็นภาพ จินตนาการในหัวได้เลยว่าเราจะสื่ออะไร อย่าเอาแต่พูดกว้างๆ อ้อมๆ พยายามทำภาพในหัวคนอ่านให้ชัด แล้วเดี่ยวมันจะดึงดูดให้คนซื้อสินค้าและบริการของเราต่อเอง ง่ายๆ ก็คือ ทำให้ตัวหนังสือมีชีวิตขึ้นมา ดูจับต้องได้นั่นเอง ให้ลูกค้าเห็นภาพตัวเองใช้มันอยู่ที่บ้าน อยู่ที่ออฟฟิศนั่นเองค่ะ

5. ทำ Mind Map ให้กับเรื่องที่กำลังจะเขียน

Edwin Toonen บอกว่าหลายครั้งเวลาเราขายของ มันก็จะมีข้อดี ทั้งแง่ฟีเจอร์ แง่ emotional อะไรต่างๆ มากมายที่เราอยากหยิบมายำ แล้วเขียนมันออกมาให้อยู่ในประโยคเดียว ดังนั้นมันจึงเป็นไอเดียที่ดีมากที่เราจะใส่ใจในการทำ Mind Maps ของตัวเองขึ้นมาก่อนว่าประเด็น topic หรือไอ้พวกข้อดี จุดขายทั้งหลายนั้น มันเชื่อมโยงกันอย่างไร แล้วมันมี structure และ connection ต่อกันแบบไหน หลังจากนั้นเราถึงจะได้ไอเดีย ภาพที่จะเล่าที่ชัดเจน ไม่มานั่งหยิบอันนี้ใส่ทีแล้วลืมอีกประเด็นสำคัญที่อยากพูดด้วยเหมือนกันค่ะ

6. อย่าลังเล อย่ากลัวที่จะออกไอเดีย

เรื่องของไอเดียเป็นอะไรที่ Subjective หรือเป็นความชอบส่วนบุคคลมากๆ ดังนั้นหลายครั้งเราคิดไอเดียจนเขียนมันออกมาแต่กลับไปกล้าพอที่จะขายมัน เพียงเพราะความเขิน ความอายว่าไอเดียนั้นของเรามันธรรมดา ไม่สู้คนอื่น หรือกลัวว่าไอเดียของเรามันดูโง่เกินไปสำหรับทีมหรือเปล่า เป็นต้น โดย Michael Wangard ก็บอกไว้ว่า ไม่ต้องกลัวไอเดียที่ง่ายๆ หลายครั้งเป็นไอเดียที่ดีที่สุด ไม่ต้องยาก ไม่ต้องบิดม้วนหลายตลบก็ได้ แค่เขียนเหมือนเวลาที่เราจะพูดให้เพื่อนหรือพี่น้องเราฟัง แค่นั้นก็พอค่ะ

7. อย่าเขียนเฉพาะเวลาที่มีอะไรต้องพูด

หลายคนพยายามหลีกเลี่ยงการเขียน แล้วเก็บมันไว้เขียนเฉพาะเวลาที่มีอะไรอยากจะพูด อยากจะสื่อสารเท่านั้น ซึ่ง Ann Handley ก็บอกเลยว่ามันไม่เวิร์คอีกต่อไปแล้ว เพราะสิ่งที่เราควรทำคือ เขียนให้เป็นนิสัย เขียนอย่างต่อเนื่อง มีวินัยกับงานเขียนของเรา ถึงแม้ว่า topic ที่เราจะเขียนอาจเป็นเรื่องเก่า เรื่องง่าย เรื่องซ้ำๆ ก็ให้เขียนมันไปเรื่อยๆ แต่อาจจะลองเขียนมันในมุมใหม่ๆ เพิ่มขึ้นแทน นอกจากจะเป็นการตอกย้ำสินค้าให้กับลูกค้าใหม่แล้ว เราในฐานะคนเขียนก็ได้ฝึกปรือ ลับมีด ลับสกิลงานเขียนตัวเองด้วยค่ะ

8. เริ่มประโยคด้วยอะไรที่คนอ่านจะคุ้นเคย

อีกสิ่งนึงที่จะทำให้งาน Copy กินใจหรือ Impact มากขึ้นได้คือการเริ่มงานเขียนของเราด้วยประโยคหรือ Statement ที่คนอ่านคุ้นเคย เพราะมันจะทำให้พวกเค้าเข้าใจหรือทำการเชื่อมโยงได้ในทันทีว่าเรากำลังสื่อสารหรือหมายถึงอะไร กลับกันค่ะ หากคนอ่านประโยคเริ่มแล้วเค้าไม่เก็ทหรือเชื่อมโยงได้อย่างรวดเร็ว ก็มีสิทธิ์ที่คนอ่านก็จะเลื่อนผ่านหรือกด Skip โพสต์ของเราไปได้ในทันทีอย่างรวดเร็วด้วย ดังนั้น Nils van de Knaap เลยอยากแนะนำว่าประโยคเริ่มสำคัญที่สุด Hook คนให้ได้มากที่สุด ให้เค้าอยากอ่านประโยคถัดๆ ไปต่อเรื่อยๆ ค่ะ

เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับ Copywriting Tips ทั้งหมด 8 ข้อ อย่าลืมเอาไปปรับใช้กับงานในชีวิตประจำวันกันด้วยนะ ตั้งแต่การคิดถึงคน คิดถึงมนุษย์ให้มากๆ หลังจากนั้นค่อยมองหา Google Search Keywords ต่างๆ แล้วถ้าหากไอเดียมันเยอะเกินไปก็ค่อยๆ เขียนร่างมันออกมาเป็น Mind Maps ไปก่อน จากนั้นค่อยเอาทั้งหมดมาขมวดให้ได้ภาพใหญ่ คิดถึงปัญหา คิดถึงภาพที่จะเกิดขึ้นในหัว ว่ามันจะเปลี่ยนชีวิตคนใช้สินค้านั้นๆ ไปได้อย่างไรบ้างค่ะ ลองดูนะคะ

Plearn Wisetwongchai

Marketing Strategic Planner ในเครือการตลาดวันละตอน | A Creator สาวพลัสไซส์ @Fabfatkid | A Travel Lover ที่หมดเงินเกือบ 80% ไปกับการเดินทางแบบแมสๆ | An Instagrammer @theplearn ที่ชอบเล่น Story เป็นชีวิตจิตใจ | สุดท้ายคือ Data Researcher ทั้ง Social และ Search Data etc. ค่ะ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *