Music Marketing Strategy กลยุทธ์การตลาดใช้เสียงดนตรีกระตุ้นอารมณ์อยากซื้อ Consumer
Music Marketing กลยุทธ์การตลาดกระตุ้น Consumer Emotional ให้อยากซื้อมากขึ้น
เสียงดนตรี หรือเสียงเพลงในโลกนี้ มันมีเอกลักษณ์เฉพาะในแต่ละเพลง ทำให้หลายแบรนด์เลือกใช้เสียงเป็นส่วนหนึ่งในการ สร้างแบรนด์ เพราะเสียงเพลงสามารถสร้างการจดจำได้เป็นอย่างดี และปลื้มก็เห็นด้วยค่ะ เราสามารถร้องเพลงได้เป็นร้อยๆ เพลง โดยที่เนื้อเพลงไม่ซ้ำกัน มันจึงเหมาะมากที่จะเอามาใช้เป็น กลยุทธ์ทางการตลาด
ต้องบอกว่าซาวด์สเคปและดนตรีสามารถกระตุ้นการตอบสนองทางอารมณ์ได้ ซึ่งการใช้กลยุทธ์ เสียงดนตรี ที่ดี ในการสนับสนุนเอกลักษณ์ของแบรนด์ จะช่วยสร้างความสัมพันธ์ทางอารมณ์ที่แน่นแฟ้นกับแบรนด์ของเรา เวลาที่ลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมายได้ฟัง ได้ยิน ก็จะนึกถึงแบรนด์เราอยู่เสมอ และมีหลายแบรนด์ที่สามารถใช้กลยุทธ์นี้ประสบความสำเร็จ โดยมีเคล็ดลับ 3 ข้อในการใช้ดนตรีเพื่อสร้างแบรนด์ และ กลยุทธ์ทางการตลาด
เคล็ดลับที่ 1: เลือกเพลงที่สร้างแรงกระตุ้นในการซื้อ
การศึกษาชิ้นหนึ่งจากมหาวิทยาลัยฟีนิกซ์ ได้สำรวจจังหวะดนตรีและผลกระทบที่มีต่อการตอบสนองของผู้ซื้อ นักวิจัยมุ่งเน้นไปที่พื้นที่ชอปปิงค้าปลีกที่มีความหนาแน่นสูง นักวิจัยพบว่า ดนตรี + บรรยากาศทั่วไปของสถานที่ มีส่วนทำให้ลูกค้ามีความสุข
ตัวอย่างเช่น ในห้างสรรพสินค้าที่แออัดมาก ผู้คนอาจรู้สึกไม่สบายใจหรือเครียด ดนตรีที่สงบนิ่งสามารถสร้างสมดุลของพลังงานนั้นและทำให้พวกเขาซื้อของได้นานขึ้นโดยแนวดนตรีที่สอดคล้องมากที่สุดในที่นี้คือคลาสสิก ซอฟต์ป็อป แจ๊สสมูท เวิลด์มิวสิก หรือดนตรีโฟล์กบางประเภท
ในพื้นที่ที่มีผู้คนไม่พลุกพล่าน เราอาจต้องการรักษาระดับความรู้สึก เพื่อส่งเสริมความตื่นเต้น ความรู้สึกดีๆ และแรงกระตุ้นซื้อ แทนที่จะสร้างบรรยากาศที่สงบ ซึ่งอาจทำให้แขกของเรารู้สึกง่วงหรือเหนื่อย ลูกค้าที่เหนื่อยล้าอาจจะมุ่งหน้าไปที่ประตูเพื่องีบหลับแทนที่จะหาของซื้อเพิ่มหลังจากชอปปิงมาทั้งวันและนอกจากนี้ก็มีผลการศึกษาที่พบว่าเมื่อลูกค้าผ่อนคลายด้วยเสียงเพลงเบา ๆ พวกเขามักจะซื้ออาหารเพื่อสุขภาพแบบนี้ด้วยค่ะ
เคล็ดลับที่ 2: เป็นตัวของตัวเองด้วยการเลือกเพลงที่เป็นคุณ
การพิจารณาเอกลักษณ์ของแบรนด์เป็นสิ่งสำคัญค่ะ เอกลักษณ์ของแบรนด์ของเราประกอบด้วยองค์ประกอบต่างๆ ทั้งหมดก็เพื่อดึงดูดผู้ชมเป้าหมาย บริษัทส่วนใหญ่มีภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่ชัดเจน เช่น โลโก้ สี การออกแบบ รวมถึงตัวตนของเสียงหากแบรนด์ต้องการใช้ในการสื่อสารร่วมด้วย
หากเพลงที่เราใช้สามารถทำให้ติดหูผู้คนได้ จะดีมากๆ เลยค่ะ เช่นการใส่เนื้อเพลงที่มีชื่อแบรนด์ไป อย่างโฆษณาของ Shopee ที่ปลื้มมั่นใจว่าติดหูคนฟังมากๆ หรือการทำดนตรีเฉพาะ เช่น เสียงเวลาเปิดคอมฯ เสียงประตูเซเว่น แบบนี้เป็นต้น เพราะนั่นคือคนจะเริ่มจำได้แล้วเสียงนี้มาจากใคร พอได้ยินเพลงนี้อีกกี่ครั้ง หรือแม้เวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ คนก็จะยังจำได้ค่ะ
เคล็ดลับ 3: เป็นแบรนด์เดียว
เมื่อเราเข้าใจเอกลักษณ์ของแบรนด์แล้ว การใช้เพลงที่ไม่ซ้ำใครแทนเพลงสต็อกหรือเพลงที่ใช้มากเกินไป จะเป็นประโยชน์กว่า เพราะเราสามารถสร้างประสบการณ์ใหม่ที่มีเพียงแบรนด์ของเราเท่านั้นที่มอบให้ได้
เหตุผลใหญ่ประการหนึ่งคือการอ้างสิทธิ์ ทุกคนชอบที่จะเป็นคนแรกหรือคนเดียวในบางสิ่งบางอย่าง ความแปลกใหม่และการอวดอ้างสิทธิ์ทำให้ภาพจำของลูกค้าจะเป็นของแบรนด์เราแบรนด์เดียว บริษัทต่างๆ ที่ใช้แนวคิดนี้กับดนตรีในแบรนด์ของตัวเอง เพื่อแก้ปัญหาการลืมเลือนของผู้บริโภค ซึ่งวิธีนี้จะทำให้ผู้คนเชื่อมต่อกับแบรนด์ของเราได้โดยอัตโนมัติค่ะ
นอกจากนี้ก็มีวิธีที่กำลังเป็นที่นิยมในการเป็นเจ้าของเพลงแบบแบรนด์เดียวเด่นๆ คือการเป็นสปอนเซอร์ให้เพลง โดยแอบเนียนเอาแบรนด์ตัวเองเข้าไปอยู่ในนั้น ที่ผู้บริโภคชมฟังแล้วไม่รู้สึกอึดอัด หรือรู็สึกว่าโฆษณามากเกินไป อย่างเพลงเล่นกันไหม ที่ร้องโดยก้อยนัตตี้ดรีม ที่มี FreeFireTH เป็นผู้สนับสนุน และถ้าฟังดีๆ จะมีท่อนชวนเล่น FreeFire ในเนื้อเพลงด้วย ต้องบอกว่าจริงๆ มีแบรนด์อีกเยอะเลยค่ะที่ใช้วิธีนี้ ไม่ว่าจะ เพลงไม่รักได้ไง 🧡โดนใจเต็มๆ..โบว์ขนาดนี้ ของ โบว์ เมลดา Feat. URBOYTJ หรือ เพลงแฟน ของ LIPTA เป็นต้นค่ะ
สรุป Music Marketing Strategy 3 กลยุทธ์การตลาดใช้เสียงกระตุ้นให้คนอยากซื้อมากขึ้น
สุดท้ายนี้การสร้างสรรค์ดนตรีด้วยตัวเอง ก็เป็นอีกกลยุทธ์ที่หลายแบรนด์เลือกใช้ อย่างเสียงดนตรีจากไอศกรีมเนสท์เล่ ที่ไม่ว่าจะได้ยิน เมื่อไหร่ ก็จำได้จริงไหมคะ เพียงแต่การใช้เสียงก็ต้องสื่อสารออกมาชัดเจนและเสมอสม่ำเพื่อให้เกิดการจดจำก่อนนั่นเองค่ะ
สำหรับใครที่อยากอ่านบทความเกี่ยวกับการตลาดเพิ่มเติม สามารถติดตามได้จาก เพจการตลาดวันละตอน รวมไปถึงเว็บไซต์ Twitter และ Blockdit ของการตลาดวันละตอนด้วยนะคะ
Source : https://www.digitalmarketer.com/blog/choosing-music-for-your-brand/
