Personalization สร้างเมนูที่รู้ใจจากวัตถุดิบค้างสต็อก ธุรกิจร้านอาหาร
Case Study ธุรกิจร้านอาหารที่ทำ Personalization จากวัตถุดิบที่เหลือสต็อกว่าควรทำเมนูไหนให้ลูกค้าคนได กลายเป็นเมนูที่รู้ใจ เพิ่มกำไรและการลดของเสีย
การตลาดแบบรู้ใจ Personalized Marketing ไม่ได้มีแค่การรู้ว่าใครชอบอะไร ใครอยากได้อะไร แล้วควรทำการตลาดหรือโปรโมชั่นแบบไหนออกไป แต่ยังสามารถไปได้ไกลกว่านั้น ด้วยการ Personalization จาก Stock Data หรือ Operation Data ที่ช่วยบริหารจัดการวัตถุดิบที่มีให้เกิดประโยชน์สูงสุด
อย่าง Case Study ของธุรกิจร้านอาหารเครือใหญ่ ที่วัตถุดิบมีระยะเวลาจำกัด ต้องรีบผลิตสินค้าออกไปขายให้ทันก่อนจะบูดเสีย ดังนั้นเลยต้อง Optimization วัตถุดิบที่มีให้เกิดยอดขายสูงสุด ไม่อย่างนั้นก็ต้องทิ้งไป เลยต้องทำการตลาดแบบรู้ใจ Personalization ให้ตรงกับวัตถุดิบที่มี ออกไปหาคนที่น่าจะชอบกินเมนูแบบนี้ นี่คืออีกระดับของการตลาดแบบฉลาดใช้ดาต้า Data-Driven Marketing ครับ
ปัญหาความยากของการทำ Personalized Marketing คือการประกอบเชื่อม Customer Data ที่กระจัดกระจายเข้าด้วยกัน ด้วยความหลากหลายของระบบเทคโนโลยีต่างๆ ที่เลือกใช้ได้ไม่ได้มี Techology Stack Strategy แต่แรก ทำให้ในวันนี้ที่เรารู้ว่า Data-Driven Marketing นั้นสำคัญอย่างไร ต้องมาเลือกหาระบบใหม่ให้ง่ายต่อการนำดาต้าที่มีมาใช้งาน
นั่นเลยเป็นที่มาของการใช้ CDP Customer Data Platform ในวันนี้ ที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการเอา Data Source ต่างๆ เข้ามากองและประกอบเข้าด้วยกัน ยังไม่พูดถึงความสามารถในการทำ Analytic หา Segmentation ต่างๆ บวกกับต้องสามารถทำ Execution หรือ Campaign จบได้ในตัวด้วยแล้ว
สรุปสั้นๆ คือธุรกิจประเภทอาหาร หรือร้านอาหาร หรือธุรกิจบริการ ต้องใช้ Data จาก 3 Source หลัก
- Transaction Data จากพฤติกรรมการซื้อลูกค้าแต่ละคน ใครชอบสั่งอะไร ชอบซื้ออะไร ชอบกินอะไร ชอบกินเมื่อไหร่
- Behavior Data พฤติกรรมการใช้งานเว็บ หรือแอปของเรา ใครเคยกดอะไรบ้าง เคยเข้าผ่านช่องทางไหนบ้าง เคยอ่านอะไรบ้าง เคยจะซื้ออะไรแล้วเปลี่ยนใจไม่ซื้อ เคยคอมเมนต์ให้ฟีดแบคกับสินค้า บริการ หรืออาหารอย่างไรไว้
- Stock Data หรือ Operation Data ข้อมูลทรัพยากรวัตถุดิบสินค้าคงคลังที่เรามี ไม่ว่าจะวัตถุดิบอาหาร หรือคิวว่างของพนักงานเรา แต่เคสวันนี้คือธุรกิจอาหาร ซึ่งจะมีตัวแปรในเรื่องของวันหมดอายุเพิ่มเข้ามา ทำให้ต้องใช้ความสามารถการ Analytic ที่รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น
ทั้งหมด 3 Source หลักถูกโยนเข้า CDP Customer Data Platform เพื่อหาจุดสมดุลระหว่างการทำ Business Optimization กับการตลาดแบบ Personalization ว่าสต็อกที่เหลือสามารถทำเมนูไหนได้บ้าง และจากเมนูดังกล่าวน่าจะเอาไปทำการตลาดหรือนำเสนอลูกค้าคนไหนถึงจะมีโอกาสซื้อมากที่สุด
เพราะถ้าส่งโปรโมชั่นทำการตลาดหว่านๆ ไปเรื่อยๆ ทุก Marketing Message ที่ส่งไปคือต้นทุนทางการตลาดทั้งนั้นเลยนะครับ
สมมติว่าคุณทำธุรกิจร้านอาหารชนิดหนึ่ง ในรูปแบบให้ลูกค้าสั่งล่วงหน้า Subscription model หรืออาจจะเป็นธุรกิจร้านอาหารทั่วไป แต่มีระบบ Member เพื่อเก็บ Customer Data อยู่ตลอดเวลา
คุณอาจจะทำ Personalized Marketing ได้แค่ในระดับอ้างอิงจากพฤติกรรมการซื้อที่เคยเกิดขึ้นแล้วคุณรู้
แต่ถ้าคุณเชื่อมดาต้าที่เป็น Digital Behavior Data ได้ว่าลูกค้าคนนี้เคยกดดูสินค้าอะไร เคยเลือกอะไรแล้วบ้าง เคยให้ฟีดแบคไว้ว่าอย่างไรบ้าง นั่นทำให้คุณจะทำการตลาดแบบรู้ใจได้ดีขึ้น การ Personalization จะมีมิติมากขึ้น ไม่ได้ดูแค่ว่าเคยกินอะไร แต่ดูลึกลงไปถึงกินแล้วชอบหรือไม่ เคยชมหรือติอะไรไว้หรือเปล่า
คุณอาจนำเสนอเมนูประเภทเดียวกันแต่เปลี่ยนวัตถุดิบให้ใหม่เป็นที่ชอบมากกว่า หรืออาจทำการตลาดด้วยเมนูเดิมอีกครั้ง แต่บอกว่ามีการปรับรสชาติให้เผ็ดน้อยลงเป็นพิเศษ เมื่อดูจากดาต้าในอดีตที่คุณเคยบอกว่าชอบเมนูนี้ แต่เผ็ดเกินไปหน่อยแบบนี้เป็นต้น
แต่คุณจะทำ Personalization ได้ขั้นสุดที่จะสามารถยกระดับการบริหารจัดการต้นทุนได้อีกขั้น ถ้าคุณสามารถเชื่อมสองด้าต้าที่ว่ามาเข้ากับ Food Stock Data หรือ Operation Data เข้าได้
คุณจะสามารถแพลนได้ว่าตอนนี้คุณมีทรัพยากรอะไรเหลือว่างเท่าไหร่ จะเอาทรัพยากรดังกล่าวไปนำเสนอกับใคร จะเห็นว่านี่คือการตลาดแบบที่ควรจะเป็นในยุค Data-Driven Marketing การตลาดแบบฉลาดใช้ดาต้าซึ่งทำให้ธุรกิจเพิ่มกำไรและลดต้นทุนได้ไปพร้อมกัน
สรุปสุดท้ายแล้วธุรกิจจะมีกำไรเพิ่มขึ้น ไม่ได้มาจากการแค่สร้างยอดขายให้มากขึ้นเท่าไหร่ แต่ยังหมายถึงการลดต้นทุนที่ไมจำเป็นลงไปในเวลาเดียวกัน ด้วยยอดขายเท่าเดิมคุณสามารถหากำไรเพิ่มเติมได้ง่ายๆ
คงพอเห็นภาพว่าทำไมเราถึงต้องพยายามใช้ดาต้าให้มากขึ้นในปีนี้ ทำไมเราถึงควรต้องเริ่มวางแผนเชื่อมดาต้าจากระบบต่างๆ ในบริษัทเข้าด้วยกัน เพราะนี่คือ Strategy สำคัญ ที่ถ้าคุณทำคู่แข่งจะไม่มีทางรู้ได้ว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่ ไม่เหมือนกับการตลาดโลกเก่าที่แข่งขันกันแค่โฆษณาอย่างเดียวอีกต่อไป เห็นปุ๊บก็รู้ว่าคุณกำลังทำอะไร
และเช่นเดียวกัน คู่แข่งคุณก็อาจเริ่มทำไปแล้ว เพียงแต่คุณไม่รู้เท่านั้นเอง กว่าจะรู้อีกทีก็ตอนที่เขาสะสมทั้ง Customer Data ได้มากมายจนสามารถทำ Data Monetization กลายเป็น New S Curve ใหม่ของธุรกิจเรียบร้อยครับ
อ่าน Case Study ของการใช้ CDP และ Personalization ในการตลาดวันละตอนเพิ่มเติม https://www.everydaymarketing.co/tag/cdp/