การตลาดวันละตอน x Sellsuki: EP2. วางระบบองค์กรที่มีให้เป็นระบบที่ดีได้อย่างไร
นี่ถือเป็นอีก Series สำคัญที่การตลาดวันละตอนได้ชวน Sellsuki มาทำ Content Series ที่บอกเล่าเรื่องราวใจการทำธุรกิจแนวใหม่ในแบบครบวงจร ที่เราจะได้รู้ตั้งแต่การสร้างธุรกิจ การบริหาร และรวมไปถึงการ Scale up ต่างๆ
สำหรับวันนี้เรามาในตอนที่มีชื่อว่า “วางระบบองค์กรที่มี
ลองมาดูกันว่าทาง Sellsuki นั้นมีขึ้นตอนในการวางแผนและสร้างวัฒนธรรมองค์กรอย่างไร ให้สามารถ Scale up ได้ทั้งในแง่ของบริษัทและคนทำงาน
ถ้าอยากลองเพิ่ม Scale ทีมควรรู้เรื่องอะไรบ้าง?
ปกติแล้วสาเหตุหลักๆ ในการ Scale ทีมแต่ละครั้ง จริงๆ แล้วมันไม่ได้ซับซ้อนมากนัก ส่วนมากมันจะเกิดจากปริมาณงานที่เยอะขึ้น เราจึงจำเป็นจะต้องเริ่มขยายทีในแต่ละตำแหน่ง ดังนี้
1.กระจาย Workload
ในเมื่อปริมาณงานเรามีมากจนทำไม่ทัน การที่เราจะทำงานให้ออกมามีประสิทธิภาพสูงสุดก็คือ การกระจาย Workload ออกไป เพื่อไม่ให้ปริมาณงาน หรือภาระงานนั้นกระจุกอยู่ที่คนๆ เดียว จนทำให้จัดการงานต่างๆ ได้ยาก
2.แตก BU เพื่อให้เห็น Authority ที่ชัดเจน
การแตก Business Unit นั้นก็เหมือนกับการสร้างบ้าน เมื่อสมาชิกในบ้านเพิ่มขึ้น ก็ต้องมีการขยับขยาย รวมถึงมอบหน้าที่และอำนาจในการทำงานที่ชัดเจน เพื่อที่จะสามารถดูแลและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างเต็มที่
3.สามารถปรับ Job Description ได้ตลอดเวลา
ถ้าต้องการจะ Scale up ทีม นั้นจะต้องมีความยืนหยุ่นในการทำงานสูงมาก รวมถึงสามารถปรับ Job Description ได้ตลอดเวลา เนื่องจากระหว่างที่บริษัทเติบโตขึ้น สโคปงานนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
มีวิธีคัดเลือกตำแหน่งที่เราไม่มีความรู้และความถนัดอย่างไร
ในบางครั้งเมื่อทีมถึงเวลาต้อง Scale up ทำให้บริษัทจำเป็นต้องเปิดรับตำแหน่งใหม่ๆ มาช่วยดูแลในเรื่องต่างๆ มากขึ้น แต่จะทำอย่างไรเมื่อต้องคัดเลือกตำแหน่งที่เราไม่มีความรู้หรือความถนัดในด้านนั้นๆ มาก่อน
- เล่า Business ให้ผู้สมัครฟัง
หนึ่งในปัญหาในการหาคนทำงานที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งคือ การเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยไม่ตอบความต้องการของตลาดแรงงาน โดยเฉพาะงานที่ต้องการทักษะเฉพาะด้านค่อนข้างมาก จึงทำให้บางครั้งแม้จะระบุ Job Descriptio ไปอย่างชัดเจน แต่ผู้สมัครก็ยังรู้สึกไม่แน่ใจในรายละเอียดงานเท่าไหร่นัก
ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องหาวิธีแมชต์ ระหว่าง Skill ของผู้ที่มาสัมภาษณ์ กับตัว Business ที่เป็นอยู่ด้วยการเล่าให้ผู้สมัครเข้าใจเกี่ยวกับ Business ของเรา รวมถึงขอบเขตงานต่างๆ ที่ต้องทำ แล้วจึงค่อยมองหาคนที่มีความรู้ความสามารถที่ใกล้เคียงกับสิ่งที่บริษัทกำลังตามหามากที่สุดทำหน้าที่ในตำแหน่งนั้นๆ
- รับคนทั้งๆ ที่ Business ไม่รองรับ
เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นในกรณีที่เราเปิดรับสมัครตำแหน่งหนึ่ง แต่มีผู้สมัครที่เข้ามาสัมภาษณ์เป็นคนเก่งมาก แต่อาจจะไม่ตรงกับทักษะที่เรากำลังหาอยู่ ซึ่งในกรณีนี้ถ้าเขาเจ๋ง เขาเก่งมากพอ ทาง Sellsuki ก็จะเปิด Business Unit ใหม่เพื่อรองรับความสามารถของเขาที่เรามองเห็นว่าสามารถเติบโตและต่อยอดได้
ในข้อนี้ฟังแล้วอาจจะดูแปลกไปเสียหน่อย และอาจจะเป็นสิ่งที่หลายบริษัทไม่ได้ทำกัน แต่นี่อาจจะเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ Sellsuki ขยายธุรกิจออกไปได้ไกลขึ้นและกว้างขึ้น แบบคิดในมุมกลับโดยพยายามไม่มองหาแต่สิ่งที่เราต้องการ แต่ทำการคิดโซลูชั่นใหม่ๆ ให้กับลูกค้าเลยโดย Based on Skill ของผู้ที่มาสมัคร
Culture องค์กรสร้างได้ ไม่จำเป็นต้องรอให้บริษัทโต
หลายคนอาจจะมองว่าการจะสร้าง Culture ขององค์กรได้นั้นจะต้องรอให้บริษัทเติบโตเป็นองค์กรที่ใหญ่ขึ้นก่อน บางคนมองว่าบริษัทของเรายังมีขนาดเล็กอยู่ ยังไม่ต้องรีบทำก็ได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วเราจำเป็นต้องทำเพื่อให้รองรับกับการเติบโตของบริษัทที่จะใหญ่ขึ้นต่างหาก
สำหรับ Culture ของ Sellsuki นั้นจะประกอบไปด้วย 4 ข้อหลักๆ ด้วยกัน ได้แก่
- Empower
- Teamwork
- No Superman
- Customer Centric
Empower
การ Empower เป็นการให้อำนาจหรือเพิ่มพลังให้พนักงานนั้นเป็นคำที่เราอาจจะเคยได้ยินกันบ่อยๆ จนคุ้นหู ฟังดูแล้วเหมือนเป็นคำที่พูดง่ายแต่ทำจริงๆ ได้ยาก ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องมาดูในรายละเอียดว่า คำว่า Empower นั้นมันคืออะไร และพยายามแตกออกมาเป็นหัวข้อย่อยๆ เพื่อให้มันทำได้ง่ายขึ้น ดังนี้
- innovative from bottom up
เนื่องจาก Sellsuki เป็นบริษัท Tech เราจึงจำเป็นต้องมี Innovation แต่นวัตกรรมในที่นี้ไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นจากคนที่มีอำนาจสั่งการเสมอไป แต่อาจจะเกิดจากคนทำงานจริงที่จะนำเสนอไอเดียต่างๆ ในการแก้ไขปัญหา เพื่อให้ความกระตือรือร้น และความภาคภูมิใจในการทำงาน
- Hear or Say
การที่จะทำให้บริษัทพัฒนาได้และมีไอเดียใหม่ๆ อยู่เสมอเราจำเป็นต้องเป็นทั้งผู้พูดและผู้ฟังที่ดี รู้ว่าตอนไหนควรจะพูดและตอนไหนควรจะฟัง เพื่อที่จะได้ไอเดียใหม่ๆ จากคนทำงาน ถ้าเรารู้จักรับฟังคนทำงานก็จะเกิดความภาคภูมิใจในไอเดียที่นำเสนอและกล้าที่จะนำเสนอไอเดียใหม่ๆ มากขึ้น
- Empathy
การเอาใจเขามาใส่ใจเราก็เป็นอีกเรื่องสำคัญที่จะทำให้พนักงานรู้สึกว่าเรานั้นพยามเข้าใจในสิ่งที่เขากำลังทำ หรือไอเดียที่เขานำเสนอ ทำให้พนักงานรู้สึกว่าเราอยู่ในทีมเดียวกับเขา ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้พนักงานรู้สึกอยากทำเพื่อองค์กร หรือทำเพื่อบริษัทมากขึ้น
- Sandbox
เป็นเรื่องปกติที่บริษัทไม่ต้องการให้มีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นเราจึงต้องลดปัญหาจากความผิดพลาดนั้น ดังนั้นเราจึงควรมี Sandbox ที่ดี เพื่อให้ให้คนได้มีโอกาสในการโชว์ของ โชว์ไอเดียใหม่ๆ เพื่อที่ถ้ามีอะไรผิดพลาดเราจะได้รู้ว่ามันผิดพลาดตรงไหน ซึ่งถ้าเกิดความผิดพลาดนั้นขึ้นก็ต้องไม่โทษกันเองภายในทีมด้วย
- Priority Alignment
ในระหว่างการทำงานมักจะมีหลากไอเดีย หลายความคิดแทรกเข้ามา แต่คำถามก็คือ แล้วเราควรจะต้องทำอะไรก่อน?
ดังนั้นมันจึงควรจะต้องมีการจัด Priority Alignment ทั้งในเชิงความเห็นร่วมกันกับทางองค์กร ทั้งแนวตั้งและแนวนอน เพื่อที่ทั้งทีมสามารถไปด้วยกันโดยที่เห็นภาพเดียวกันได้ แล้วจึงค่อยทำมันออกมา ไม่ว่าจะเป็นการประชุมเพื่อหาความเห็นร่วม การโหวตการ์ด การให้คะแนน หรือความเห็นต่างๆ เป็นต้น
Teamwork
การมี Teamwork ที่ดีนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก โดยการสร้างทีมที่แข็งแรงนั้นเราจะพยายามโอบอุ้มปัญหาเอาไว้ก่อน และเนื่องจากปัญหานั้นสามารถตลอดเวลา ทุกปัญหาจึงเป็นปัญหาของทีมจะต้องเปิดใจและช่วยกันแก้ไข เพื่อไม่ให้ปัญหาที่เกิดขึ้นกลายเป็นความผิดของใครคนใดคนหนึ่ง เพราะถ้ามีการโทษกันหรือตำหนิกันก็อาจเกิดกำแพงขึ้นภายในทีมได้
No Superman
ในความเป็นจริงแล้วการมี Superman ในองค์กรนั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่นั่นก็หมายความว่าาคนๆ นั้นจะต้องเก่งมาก ดังนั้นโอกาสการเปลี่ยนงานของ Superman ก็จะมีสูงเช่นกัน
ซึ่งวิธีที่จะแก้ปัญหานี้ได้ก็คือ เราต้องทำให้ Superman อยู่ในองค์กรในรูปแบบที่เพิ่มความสามารถขององค์กรได้ด้วยการเฉลี่ยความสามารถของเขาไปหาคนอื่น นั่นแปลว่าสิทธิพิเศษ หรือคำชมที่เขาจะได้รับนั้นจะไม่ได้ขึ้นอยู่ที่กับทักษะและความสามารถรที่เขามี แต่จะขึ้นอยู่กับทักษะที่แขาแชร์มากกว่า
Customer Centric
Customer Centric นั้นคือการที่เรามองลูกค้าเป็นที่ตั้ง ซึ่งการจะมองลูกค้าเป็นที่ตั้งได้เราจำเป็นต้องเลิกนิสัยหนึ่งคือ เราต้องเลิกมองว่าเราอยากให้อะไรลูกค้า แต่ให้มองว่าลูกค้าอยากได้ในสิ่งที่เรานำเสนอไหมมากกว่า
- Avoid HIPPO (Highest Paid Person’s Opinion) On Pain/Gain
ในบางครั้งความคิดเห็นของลูกค้ามักหลุดร่วงไปพร้อมกับคน เช่น เมื่อ AE ที่ดูแลโปรเจกต์ของลูกค้าลาออกไป Feedback ต่างๆ ของลูกค้าก็มันจะหายไปพร้อมกันด้วย ดังนั้น เราจึงจำเป็นต้องมีการสร้าง Customer Feedback อย่างเป็นระบบ โดยอาจจะมีโปรแกรม หรือเทคโนโลยีมาช่วย เพื่อป้องกันการสูญหายของข้อมูลเหล่านั้น
- Over deliver and under promise
สิ่งต่อมาที่เราทำก็คือ เราพยายามจะทำให้ได้มากกว่าสิ่งที่ลูกค้าต้องการเสมอ และก็ไม่พยายามเคลมในสิ่งที่เราทำไม่ได้
- Bypass Decission
การทำงานในบางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องรอการตัดสินใจจากหัวหน้าเสมอไป หากความต้องการเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ลูกค้าต้องการ และมันอยู่ในความรับผิดชอบที่เราสามารถทำได้ ซึ่งการตัดสินใจแบบ Bypass Decission นี้นอกจากจะถูกใจตามความต้องการของลูกค้าแล้ว ยังทำให้การดำเนินงานเป็นไปได้อย่างรวดเร็วด้วย
- Optimize Convertion
นอกจากปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวมาแล้ว เราควรให้ความสำคัญในเรื่องของ Matrix ต่างๆ ที่จะใช้ในการเทิร์นลูกค้า ไปตาม funnel ของเรา แล้วนำมาวิเคราะห์เพื่อวัดความต้องการของลูกค้า
ซึ่งเครื่องมือเหล่านั้นก็คือการวัดผลที่เป็นตัวเลข คือการดูว่าลูกค้าที่เข้ามาตามช่องทางต่างๆ นั้นเข้ามาด้วยอัตราส่วนเท่าไหร่ เช่น ถ้าลูกค้าเข้ามาในเว็บไซต์ 100 คนแต่กดคลิกแค่ 10 คน นั้นอาจจะเป็นอัตราส่วนที่ไม่ดีนัก ดังนั้นเราจะ Optimize ตัวเลข Conversion นี้ได้อย่างไร เป็นต้น
ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เป็นขั้นตอนและวิธีการในการวางระบบองค์กรที่ Sellsuki ทำกันจริงๆ และยังคงใช้งานกันอยู่จนถึงปัจจุบัน ซึ่งถ้าผู้ประกอบการท่านไหนที่ยังไม่มีการวางระบบ จัดระเบียบ หรือสร้าง Culture ให้กับองค์กรเลย ก็สามารถนำความรู้จากการแชร์ประสบการณ์ และลงมือทำจริงของ Sellsuki ไปใช้ได้นะคะ
สำหรับใครที่ต้องดูวิดีโอการสัมภาษณ์ SellSuki EP2 แบบเต็มๆ สามารถรับชมเพิ่มเติมได้ ที่นี่
ในบทความหน้าจะมีอะไรมาอัปเดตอีกบ้าง สามารถติดตามได้ผ่านเพจการตลาดวันละตอน รวมถึง Twitter และ Blockdit ของการตลาดวันละตอนนะคะ